‘Never thought that you would be standing here so close to me…’
“แล้ววันนี้นะ ทานากะเซ็มไปก็พาไปซื้อข้าว” คุณเล่าพลางก็โบกตะเกียบไปด้วย “แถวนั้นมันมีร้านข้าวหน้าปลาดิบแบบซื้อกลับบ้านอยู่ กล่องละห้าร้อยเยน ดีงามน้ำตาไหล ได้กินอูนิแล้วโว้ย”
“อะไรกัน อยู่ญี่ปุ่นมาจะสองปีแล้วยังไม่ได้กินไข่หอยเม่น” คนที่อีกฟากจอส่ายหน้า คุณหัวเราะ
“ก็มันแพง!” คุณร้อง “แค่ค่ากินค่าอยู่ก็เอาเรื่องแล้ว ดูสิ ฉันจะทำอาหารเองทุกเย็นไปเพื่ออะไรวะ”
“เพื่อให้ได้บรรยากาศเหมือนตอนยังอยู่กับฉันมั้ง”
“ไม่ใช่!” เขาหัวเราะบ้าง ส่วนคุณถอนหายใจ แล้วพุ้ยข้าวคำใหญ่เข้าปาก มื้อเย็นวันนี้เป็นแฮมเบิร์กกับข้าว มีมิโสะหอยตลับเป็นมาตรฐาน ส่วนของเขาเป็นกะเพราปลาหมึกที่เห็นแล้วชวนคิดถึงบ้าน แถมเจ้าตัวยังตักหมึกชิ้นโตมาแกว่งล่อใกล้ๆ กล้องอีก กวนประสาทสิ้นดี
‘Since I can’t remember when. It’s been a long, long time…’
เขากับคุณนัดกินมื้อเย็นด้วยกัน แทบจะวันเว้นวัน -- ด้วยกันในที่นี้หมายถึงคนละฝั่งของหน้าจอวิดีโอคอล -- เขาไม่อยากให้คุณทำแบบนี้ในวันธรรมดานัก เพราะกว่าตัวเองจะกลับจากงานก็ร่วมสองทุ่ม กลัวคุณหิ้วท้องดึกดื่น ส่วนคุณก็ต้องย้ำว่าไม่เป็นไร ช่วงว่างตรงนั้นคุณทำงานอื่นรอได้อีกมาก คุณรู้ว่าเขาไม่ชอบกินข้าวเย็นคนเดียว ส่วนคุณ... เอาเป็นว่ามันก็คุ้มค่า ที่ได้เห็นหน้ากันบ่อยๆ โดยที่ไม่ต้องหาข้ออ้างอีก
“เพลงวันนี้เพราะดีนะ” จู่ๆ เขาก็พูดขึ้นมาหลังจากที่กินข้าวกันเงียบๆ อยู่นาน
“สปอติฟายมันสุ่มมา” คุณไหวไหล่ “ชอบเหรอ เดี๋ยวดูชื่อเพลงให้”
“ไม่เป็นไร แค่ฟังแล้วก็คิดขึ้นมาว่าฉันไม่ได้กินข้าวกับแกมานานแล้วแฮะ”
“แล้วทุกวันนี้คืออะไร”
“หมายถึงกินแบบต่อหน้า” คุณเลยหัวเราะใส่เขา “ให้ตายสิ ทำไมเราอยู่ไกลกันจัง”
“ห่างแค่สองชั่วโมงเอง”
“สองชั่วโมงไทม์โซน! ไม่ใช่สองชั่วโมงขับรถ”
“สองชั่วโมงขับรถนี่ในกรุงเทพประมาณเพลินจิตไปเอ็มโพเรียมหรือเปล่า”
“ตลกละ...” เขาตักข้าวคำสุดท้ายเข้าปากแล้วรวบช้อน ส่วนคุณ แฮมเบิร์กยังเหลือครึ่งจาน “อยากเจอแก”
“ก็มา ญี่ปุ่นไม่ได้มายากเหมือนก่อนแล้ว” คุณเท้าคาง ปลายตะเกียบแตะกับริมฝีปาก “มาอยู่กับฉันได้ แล้วจะทำมิโสะให้กินทุกเช้าเลย”
“ไม่รู้สิ” เขาเกาจมูก “คือแฟนฉันอยากไปไทเปน่ะ ถ้าไป ก็คงไม่เหลือเงินไปญี่ปุ่นในเร็วๆ นี้หรอก”
คุณกะพริบตา
“แฟน?”
“อ้าว ไม่ได้บอกเรอะ” เขาทำหน้าตาตื่นจนดูตลก “คบกันมาจะเดือนแล้ว”
“ม่ายอะ” คุณคีบเนื้อชิ้นใหญ่เข้าปาก พูดอู้อี้ “เล่ามาเลย ผู้โชคร้ายคนนั้นเป็นใคร”
“อย่าใช้คำว่าโชคร้ายสิวะ” จู่ๆ เขาก็ดูขัดเขิน “น้องที่ทำงานน่ะ น่ารักดี ก็คุยๆ กันมาสักพักแล้ว พอน้องเขาถาม ฉันเลยบอก งั้นลองคบกันก่อนไหม”
คุณพยักหน้าหงึกหงัก พูดหน้าตาย “ขอแสดงความเสียใจกับน้องผู้โชคร้าย ขอแสดงความยินดีกับตัวฉัน หมดเวรหมดกรรมสักที”
“เวรกรรมอะไรวะ” ปลายสายโวยวาย คุณฉีกยิ้ม
“เวรกรรมที่ต้องมากินข้าวเย็นตอนสี่ทุ่มไง” ว่าพลางก็พุ้ยข้าวคำใหญ่ “เหลือแค่อาทิตย์ละวันสองวันก็พอเนอะ”
กลายเป็นอีกฝ่ายที่ชะงักแทน “แกโอเคเหรอ ไม่กลัวเหงาเหรอวะ”
“โอเคสิ” คุณพยักหน้ายืนยัน “อยู่นี่มาจะสองปีแล้ว เพื่อนฝูงก็มี ไม่ต้องห่วงน่า”
“แล้วทนอดข้าวรอฉันอยู่แบบนี้ได้ไงเป็นปีๆ”
‘Or just how empty they all seemed without you…’
คุณเอาแต่หัวเราะ ไม่ตอบอะไร คีบเนื้อแฮมเบิร์กชิ้นสุดท้ายเข้าปาก ก่อนยกถ้วยซุปขึ้นดื่ม
เสียงโนติฟิเคชั่นดังจากฝั่งไทย คุณย่นคิ้ว
“แฟนไลน์มาล่ะสิ”
“เออ...” อีกฝ่ายตอบอ้อมแอ้ม
“วางสายแล้วไปคุยกับแฟนไป๊” คุณส่ายศีรษะ “แกนี่ก็นะ”
เขายังทำหน้าลำบากใจ คุณเลยไล่ซ้ำอีกครั้ง บอกว่าตัวเองจะได้ทำงานต่อ เขาจึงยอม
“ไม่โกรธนะ” ก็ยังไม่วายถามซ้ำ
“ไม่”
“หมายถึงเรื่องลืมบอกว่ามีแฟน”
“จะไปโกรธทำไมวะ” พอได้คำตอบแบบนั้น เขาเลยดูโล่งใจขึ้นมา
“อา... โอเค งั้นไปล่ะ” แล้วภาพในจอก็ตัดไป
เพลงจากคอมพิวเตอร์ยังคงเล่นอยู่ มันวนซ้ำกลับมาที่เพลงแรกที่เปิดไว้อีกครั้งหนึ่ง คุณนิ่งฟังอยู่สักพัก แล้วก็ถอนหายใจ ยกถ้วยซุปขึ้น
“…It’s been a long, long time”
คุณพึมพำตามเพลง
มิโสะวันนี้เค็มชะมัด
- เรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น สำหรับลงสูจิบัตรนิทรรศการ Before Dinner: เรื่องเล่าบนโต๊ะอาหาร (11.05 - 08.06 ที่ร้านไดอะล็อก ถ.พระสุเมรุ) ก็เลยออกจะสั้นสักหน่อยนะคะ เพราะโควต้าหน้ากระดาษสำหรับบทความของคิวเรเตอร์มีแค่ 1 หน้ากระดาษไซส์ A4 ในต้นฉบับเกินมานิดหน่อย ตอนส่งไปหวั่นใจจะถูกน้องที่เป็นคนทำกราฟฟิคกัดคอจริงๆ 555
- เราไม่ค่อยได้ไปต่างประเทศเท่าไหร่ นับๆ ดูก็สามครั้งได้ แต่ทุกครั้งที่ไป ด้วยความที่เป็นคนติดเพื่อน ก็เลยจะนับเวลาเพื่อให้ได้คุยกัน ทางดีเอ็มก็ยังดี ครั้งที่ตลกที่สุดน่าจะเป็นตอนที่เราอยู่เนเธอร์แลนด์ GMT+1 (แต่พอเป็นช่วงเดย์ไลท์เซฟวิ่งเลยช้ากว่าไทย 5 ชั่วโมง) ส่วนเพื่อนเราไปญี่ปุ่น GMT+9 เวลาคุยกันเลยต้องส่งข้อความทิ้งไว้ ยิ่งตอนข้ามมาอังกฤษ เรานอนดึก ส่วนเพื่อนตื่นเช้า ก็จะได้คุยกันนิดหน่อยก่อนเราไปนอนและเพื่อนออกไปเที่ยว เป็นการคุยที่ลำบากลำบนดีจริงๆ (ฮา)
- โจทย์ของบทความ/เรื่องสั้นที่ลงในสูจิบัตรนี้เป็นเรื่องอาหาร อะไรก็ได้ แต่ต้องเกี่ยวกับอาหาร เราเลยเลือกเอามื้ออาหารที่คนต่างเวลากินด้วยกันมาเขียนถึง ไม่รู้สิ มันน่ารักดีมั้ง
- ทีแรกกะจะเขียนแบบไทย - อเมริกา / ไทย - อังกฤษ แต่คิดอีกที แค่ 2 ชั่วโมงนี่ล่ะ ดีแล้ว เหมือนไม่ห่าง แต่ก็ห่าง เหมือนไม่ไกล แต่จริงๆ แล้วไกล
- เพลงในเรื่องคือ It's been a long, long time ค่ะ เราชอบเพลงนี้มากเลยล่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in