เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Miscellaneoushaveasunnydae
Day23: Breaker








  • สะบั้นอาวรณ์ ช่างเป็นนามที่ยโส อวดอ้างสรรพคุณเกินราคาของเจ้าของ เขาไม่เคยเข้าใจว่าเหตุใดเยี่ยหยางจิ่วจึงมอบกระบี่ซึ่งมีชื่อเช่นนี้ให้ศิษย์ ในเมื่อทั้งฝ่ายอาจารย์และฝ่ายสหายสนิทของเขาต่างเป็นมีอุปนิสัยถ่อมตัวและซ่อนคมยิ่งนัก แต่ก็หาใช่วิสัยตนที่ซอกแซกถาม จนราตรีหนึ่งกลางฤดูร้อน ผู้ครองกระบี่ก็แถลงไขให้เสียเอง



    “สะบั้นอาวรณ์เอ๋ย สะบั้นอาวรณ์” มันลูบฝักกระบี่ไปมา จอกไม้หวายในมือเอียงกระเท่เร่น่ากลัว แต่ก่อนที่เขาจะได้ฉวยออก สหายของเขาก็ชิงยกจอกขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด “ข้าเคยเล่าให้เจ้าฟังบ้างไหม ว่าเหตุใดมันจึงชื่อสะบั้นอาวรณ์”



    คุณชายสามแห่งสกุลหรงสั่นศีรษะ แม้ใจจะลังเลว่านี่ใช่เรื่องที่ควรถามในยามที่สหายมีสัมปชัญญะไม่ครบถ้วนหรือไม่ แต่มันก็คงจะรู้เท่าทัน ผู้คุมกฎสวี่จึงยิ้มขัน



    “ข้าไม่ได้เมามายขนาดนั้น สหายเอ๋ย” มันเหยียดแขนออก แล้วรินสุราอีกจอก เหล้าหมักจากบ๊วยเปรี้ยวกระทบไม้หวายก็พรายฟองขึ้นมา มันมองดูอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเปิดปากเล่า “เดิมแล้ว ตอนที่อาจารย์ ท่านเยี่ยหยางจิ่วมอบให้ข้า มันไม่ได้ชื่อสะบั้นอาวรณ์หรอก”



    “แล้วมันเปลี่ยนชื่อเมื่อไหร่”



    “ตอนที่ท่านอวี้หย่งเหรินตีมันขึ้นมา หกปีก่อน” มันแกว่งข้อมือช้าๆ “หากข้าไม่เคยเล่าว่ามันชื่อนี้เพราะอะไร ข้าก็ไม่น่าจะเคยเล่าว่าสะบั้นอาวรณ์เป็นกระบี่เล่มที่สองของข้า”



    เขารินสุราให้ตนเองบ้าง พอสหายกล่าวเช่นนี้ ก็นึกออกเลือนรางว่ากระบี่ที่ศิษย์สกุลเยี่ยติดตัวมาเมื่อศึกษาเล่าเรียนด้วยกันกับกระบี่คู่มือที่ใช้ในยามนี้มีจุดต่างอยู่บ้าง อย่างน้อยก็เป็นความยาวที่ผิดกันสักสามชุ่น



    “กระบี่เล่มแรกที่ท่านเยี่ยมอบให้ข้า ท่านให้ข้าเลือกชื่อเอง แต่ข้าไม่เก่งเชิงอักษร ให้ศิษย์น้… เอ้อ ประมุขเยี่ยคนปัจจุบันช่วย เขาก็แย่ยิ่งกว่าข้า… คิดกันอยู่นาน จวนกำหนดที่ต้องแจ้งท่านอวี้หย่งเหริน ท่านสวี่คงจะ …รำคาญ ก็เลยบอกข้าว่า เจ้าเด็กไม่เอาไหน แค่ชื่อกระบี่ก็ยังคิดเองไม่ได้ พิรี้พิไรนักอาจารย์จะตั้งให้เจ้า!” มันเลียนเสียงสวี่ฟูเหรินเสียเหมือนจนเขาหลุดขำ ต้องนึกขอขมาเซียนหญิงผู้นั้นอยู่ในใจ “ระหว่างรอ ข้าก็นึกไปร้อยแปดแล้วว่าจะต้องเป็นชื่อแย่มากแน่ๆ สมัยนั้นท่านสวี่ไม่ค่อยจะ… อา… เอ็นดูข้าเท่าใดนัก ในความคิดข้าน่ะนะ แต่พอได้กระบี่จริงๆ แล้ว…” มันยกจอกเหล้าขึ้นจิบเพียงน้อย ทว่าเสียงที่ตามมากลับแหบพร่า “มันมีนามว่า สะบั้นวายุ”



    “ชื่อนี้ไม่เลว…” คนแซ่หรงตอบรับ “แล้วเหตุใดจึงเปลี่ยน”



    คนแซ่สวี่ทอดสายตามองโลกเบื้องล่างระเบียงโรงเตี๊ยม เสียงจากหอคณิกาที่อยู่ถัดไปอีกหนึ่งถนนแว่วมาเข้าหู



    “กระบี่เล่มนั้นท่านเยี่ยให้มันทนทานอย่างถึงที่สุด แต่ไม่อาจรับปราณมารของผู้ใช้ได้เพียงส่วน เมื่อท่านสวี่ทราบเช่นนั้น จึงให้ชื่อสะบั้นวายุ… เย่อหยิ่งนัก”



    “วายุที่ว่า ไม่ใช่ลมธรรมชาติ แต่เกิดในใจเจ้าอย่างนั้นเองหรือ”



    มันผงกศีรษะรับ



    “สะบั้นมัน ก่อนที่ลมนั้นจะขยี้ตัวตนของข้าแหลกลาญไป” นิ้วแตกด้านนั้นก็ขยับในอากาศไปด้วย “ข้ากล่าวเช่นนี้… เจ้าก็คงจะเดาได้”



    เขาก้มหน้า ยอมรับว่าหลายปีก่อนเคยได้ยินข่าวลือ ศิษย์รักของเยี่ยหยางจิ่วมุ่งสู่ทางมาร เข่นฆ่าผู้คนในถิ่นเหนือ หมายหาประตูเข้าแดนมาร จนส่วนกลางต้องส่งมือปราบและผู้คุมกฎไปจับตัวกลับมา แล้วมันก็หายไปจากหน้ายุทธจักรจนพาให้คนคิดว่าคงตกตายจากทัณฑ์ไปเสียแล้ว  

    ทว่า หกปีก่อน มันกลับปรากฏตัวอีกครั้งในชุดดำดั่งน้ำหมึก สวมกวาน ห้อยป้ายหยกผู้คุมฎสลักนามสวี่ ชื่อเสียงขจรขจาย ฝีมือเชิงยุทธเฉียบขาดสมเป็นศิษย์เยี่ยหยางจิ่วผู้ล่วงลับ ยึดมั่นต่อกฎยิ่งกว่าใคร ข่าวลือว่าผู้แซ่สวี่มุ่งสู่ทางมารจึงจางหาย 



    “เจ้า…”



    สำหรับเขา ข่าวลือเหล่านั้นคือเรื่องผายลมมาแต่ต้น





    “จริงตามที่พูดกันสักหนึ่งส่วนในสิบส่วน อย่าได้กังวล”



    แล้วมันก็ดื่มสุราบ๊วยจอกแล้วจอกเล่า ไม่ยอมกล่าวอะไรต่อ จนเป็นเขาเองที่ต้องทวงถาม



    “เจ้ายังไม่ได้ตอบข้าว่าเหตุใดสะบั้นวายุจึงกลายเป็นสะบั้นอาวรณ์”



    ผู้คุมกฎสวี่ถอนหายใจ มันรินสุราดื่มอีกจอก แล้วล้มตัวลงนอนกับพื้นกระดานเสียดื้อๆ พลางกอดกระบี่ไว้ด้วยแขนซ้าย ใบหน้าที่มีไรหนวดเคราขึ้นบางๆ แดงเพราะฤทธิ์เหล้า ดวงตาดำจัดมองฝ้ากันสาด แต่ไม่เห็นฝ้ากันสาด



    “สะบั้นวายุสะบั้นเป็นชิ้นๆ ไปแล้วตอนที่ข้าขาดสติ หันมันใส่ท่านสวี่ เมื่อข้าต้องมีกระบี่เล่มใหม่ จึงขอพวกเขา ไหว้วานท่านอวี้หย่งเหริน ตีกระบี่ให้อีกเล่มหนึ่ง กระบี่ที่มีคุณสมบัติเช่นเดิมไม่ผิดเพี้ยน อันที่จริงข้าจะให้นามเดิมกับมันด้วยก็ย่อมได้ แต่คงไม่ดีเท่าใดนัก คืนคมให้กระบี่ที่ทำลายตัวเองเพราะเจ้าของหลงผิดไปอึดใจหนึ่งแบบนั้น ข้าจึงถามเขาว่าให้มันชื่อ สะบั้นอาวรณ์ จะได้ไหม”



    เยี่ยหยางจิ่วเคยมอบกระบี่ สวี่ฟูเหรินเคยมอบนามให้





    มันไล้นิ้วกับฝักไม้ดำ ลวดลายเปลวไฟเซาะเลื้อยเต็มเนื้อไม้ สีดำวาวของฝักนั้นตัดกับสีดำด้านของชุดผู้คุมกฏ



    “คนก็เข้าใจกันไปตามแต่อยากจะเข้าใจ สะบั้นอาวรณ์คือตัดสิ้นแล้วทุกสิ่งอย่าง รัก โลภ โกรธ หลง คิดว่าข้าหมายตั้งต้นใหม่ จากนี้สั่งสมบุญบารมี มุ่งสู่พุทธภูมิ ฟังแล้วบางคราก็น่าขัน  ข้ายังยึดในรัก ติดในโกรธ มีความโลภความหลงกับเรื่องทางโลกอยู่แท้ๆ และไม่เคยแอบซ่อนมันเลยสักนิด ความสุขทางกายมันยากจะตัดนะ คุณชายสาม”



    คุณชายสามแซ่หรงพ่นหัวเราะ



    “เช่นที่เจ้าช่างสรรหาอาหารชั้นดี สุราชั้นยอดหลากชนิดอย่างนั้นน่ะหรือ”



    “อา… นั่นก็ส่วนหนึ่ง” ผู้คุมกฎสวี่หัวเราะตาม มันพลิกตัวนอนตะแคง กระบี่ยังอยู่ในอ้อมแขน กวานที่สวมครอบมวยผมเอียงกระเท่ นิ้วมือข้อแตกของมันครูดกับพื้นกระดานเบาๆ



    “เซียนที่ไม่ชอบข้าหยันว่าสะบั้นอาวรณ์เป็นนามอวดอ้างสรรพคุณ ฟังราวจะหามีกระบี่ใดในใต้หล้าคมไปกว่ากระบี่ที่สะบั้นความอาวรณ์ให้ขาดได้” มันพ่นลมหายใจ “แท้จริงแล้วนามนั้นมีไว้เพื่อย้ำเตือนต่างหาก ว่าจะหอก ดาบ กระบี่วิเศษปานใดก็ไม่อาจสะบั้นความอาลัยอาวรณ์ที่ข้ามีต่อชีวิตเดิมที่เคยมี” ดวงตาดำเข้มหลุบลง “ไม่มีวันใดที่ข้าไม่คิดถึงอาจารย์ ไม่มีวันใดที่ข้าไม่คิดถึงประมุขเยี่ย คิดถึงท่านสวี่ ศิษย์พี่ศิษย์น้อง คิดถึงบ้านที่ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะ...”



    กฎของผู้คุมกฎเคร่งครัดนัก มีมากยิ่งกว่ากฎที่ผู้คุมกฎต้องรักษาเสียอีก การข้องเกี่ยวกับบ้านเกิดเรือนนอนก็เป็นสิ่งหนึ่งในนั้น เขาเข้าใจว่าผู้ตรากฎแต่โบราณเกรงคนที่มีอำนาจในมือจะใช้มันเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องตนได้ แต่ก็ประหลาดในอยู่หลายส่วนทีเดียว ที่สหายสนิทต่างสำนักเช่นเขาจัดอยู่ในข้อยกเว้น



    “ข้าเข้าใจ” เขาแตะบ่ามัน



    “ก็มีแต่เจ้านี่ล่ะที่เข้าใจข้า”



    “ข้ายังไม่ลืมสัญญา”



    มันยันตัวขึ้นโงนเงน ปัดเสื้อผ้าที่ยับยู่  ชายพู่ไหมสีฟ้าดังตาแมวก็แลบยาวออกมาจากอกเสื้อ เขาแสร้งไม่เห็นกิริยาอาลัยยามสหายตนสัมผัสมันแล้วม้วนเก็บเข้าไปดังเก่า ผู้คุมกฏสวี่เอื้อมคว้าป้านดินเผา แล้วรินสุราบ๊วยเปรี้ยวที่เหลือน้อยนิดลงจอกแบ่งกับเขาจนหมดกาแล้วตวัดข้อมือขึ้นดื่ม



    “ข้าก็ไม่ลืมหรอก คือเกียรติยศเชียวนะ”




    คุณชายสามแห่งตระกูลหรงมองสหายสนิท รอยยิ้มหวานและขื่นเช่นรสสุราปรากฏบนใบหน้าฝ่ายนั้น เขาเชื่อว่ามันต้องมีอยู่บนใบหน้าของเขาเช่นกัน








    รักโลภโกรธหลง ข้าไม่อาจตัดสิ่งใดออกได้สักอย่าง 



    หลักการที่ยึดถือ คุณธรรมน้ำมิตร เรื่องทางโลกอีกนั่นเล่า 



    ข้ายังโกรธเกรี้ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นเสมอ ยังละโมบไขว่หาชีวิตอันสงบสุขสมบูรณ์ดังที่เคยได้รับมาเพียงชั่วครั้งคราวต่อไปไม่สิ้นสุด  ยังรักในประมุขเยี่ยไม่เคยคลาย ยังระลึกถึงท่านสวี่เฉกมารดา ยังหวงแหนในบ้านที่ไม่มีสิทธิ์ขาดจะเรียกว่าบ้านตน 



    แลกเปลี่ยนกันเถิด สหายเอ๋ย ข้าจะตามหาเขาจนสุดหล้ามาคืนให้เจ้า ระหว่างนั้นช่วยรักษาบ้านเดียวทีข้ามีอยู่ไว้ด้วยก็แล้วกัน





















    [Note]

    - ชุ่น เป็นหน่วยวัดของจีน ประมาณกับหน่วยวัดตะวันตกได้เท่ากับ 1 นิ้ว ดังนั้น 3 ชุ่นจึงยาวประมาณ 3 นิ้ว

    - ฟูเหริน แปลว่าภรรยา อย่างในเรื่องที่คุณชายหรงเรียกท่านสวี่ว่าสวี่ฟูเหริน คือสตรีแซ่สวี่ที่แต่งงานแล้ว (คิดว่าเขียนไม่ค่อยชัด แต่ท่านสวี่เป็นภรรยาของเยี่ยหยางจิ่ว และเป็นอาจารย์อีกคนของผู้คุมกฎสวี่ค่ะ)

    - กวาน เป็นเครื่องประดับศีรษะของผู้ชายในสมัยโบราณ มีลักษณะคล้ายหมวกที่สวมครอบมวยผมอีกที ของขุนนางอาจจะประดับประดามากหน่อย ของคนทั่วไปอาจใช้เพียงกวานผ้า หรือผ้าธรรมดาครอบมวยผม ผู้ที่สวมกวานแปลว่าเป็นผู้ใหญ่แล้ว ในอดีต ผู้ชายจะเข้าพิธีสวมกวานตอนอายุ 20 (บางถิ่นก็ 16) ส่วนผู้หญิง จะมีพิธีเกล้าผมปักปิ่นตอนอายุ 15 แทน





    (ช่วงนี้ติดนิยายจีนน่ะ ซีรี่ส์จีนด้วย... Rise of Phoenix มันดีย์อะคุณ)

    (มีเรื่องที่อยากลองเขียนอยู่ด้วย แต่ขอเก็บสกิล เก็บความรู้ด้านจีนๆ ก่อนนะ เรื่องจีนที่รู้ตอนนี้มีแต่เรื่องศิลปะจีน oTL)

    (เออ จริงๆ ก็ตลกดี ตอนแรกบอกพี่ชุนไว้ว่าอยากเขียนเรื่องเกี่ยวกับศิลปะจีน แต่ไม่กล้าเขียน เพราะไม่มีความรู้อะไรเลยยกเว้นที่เคยดูในหนังกำลังภายในตอนเย็นๆ แล้วดูตอนนี้สิคะ...)

    (เรื่องนี้ได้แรงบันดาลใจมาจากตอนฟังเพลงยิ้มเย้ยยุทธจักร (https://www.youtube.com/watch?v=kQctCFdsWOk) อะ เพลงมันดีมากๆ ดีแบบโคตรรรรรดี ฮือ ใครไม่เคยฟังอยากให้ลอง)


    (ผู้คุมกฎสวี่กับคุณชายหรงก็คือไม่มีอะไรในกอไผ่ เป็นเพิ่ลรักกันเฉยๆ)
    (จริงๆ อิเรื่องนี้มันก็แค่คนกินเหล้า เมา แล้วก็พูดจาไม่ค่อยรู้เรื่องแค่นั้นเอง....)
    (จะเรียกว่าตอนไพล็อตก็ยังไม่อยากเรียกเลย... เทสคาร์แรกเตอร์ละกันนะฮะ)
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in