เช้าวันที่สองในปารีสไม่มีอะไรหวือหวาเท่าไหร่ การพักกับโฮสผ่านทางอินเตอร์เน็ตครั้งนี้ถือว่าไม่เลว ราฟาเอลเป็นคนที่ติสๆดูมีโลกส่วนตัว แต่ก็เปิดรับผู้อื่นในขณะเดียวกัน (งงมะ เออผมก็งง เขียนเอง งง เอง) เอาเป็นว่าราฟาเอลเป็นคนที่ชอบเปิดรับสิ่งใหม่ๆ ชอบคุยกับผู้คน แต่ก็จะมีบางมุมที่ว่าเขาก็ดูมีเวลาเป็นส่วนตัวของเขา
หลังจากเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยแล้วราฟาเอลแนะนำผมเที่ยวปารีส 2-3 ที่ แต่ขอโทษด้วยราฟาเอล วันนี้ต้องขอตัวไปเดินชมแวร์ซายน์ก่อน การไปก็คือเดินจากที่ที่ผมอยู่ไม่ถึง 500 เมตร ก็จะถึงหน้าพระราชวัง ระหว่างที่คุยกันไปคุยกันมาก็จวนเวลาออกจากบ้านแล้ว 9 โมงสำหรับผมแล้วไม่ถือว่าสายไป แต่ราฟาเอลบอกว่าแวร์ซายน์คนเยอะทุกวัน ถ้าจะไปก็น่าจะไปให้เช้ากว่านี้ แล้วก็จริงๆด้วยคนต่อแถวยาวออกมาจนไม่อยากจะไปต่อคิวเลย ก่อนหน้านี้ก็ไม่ได้เช็คทางอินเตอร์เน็ตหรืออะไร ผมเลยตัดสินใจเดินแค่รอบๆพอเป็นพิธี เอาจริงๆส่วนตัวผมชอบการถ่ายรูปวิว หรือสถานที่มากกว่าการเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ผมจึงไม่ได้ซีเรียสกับเรื่องพวกนี้นัก อย่างที่เคยบอกไปนั่นแหละ
การชมพระราชวังก็กินเวลาไปราว 2-3 ชม. เดินจนครบก็รู้สึกถึงความอลังของปราสาท สวนข้างในที่ใหญ่มากๆ ผู้คนหลั่งไหลมาไม่หยุด หลากหลายเชื้อชาติ หลากหลายวัฒนธรรมเลยไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมปารีสถึงเป็นเมืองท่องเที่ยวลำดับต้นๆของโลก ด้วยความไฮโซ ดูมีคลาสและชาติตระกูล ความงดงามก็ไม่รองใครจริงๆ
พอบ่ายปุ๊บ ผมก็หยุดพักตัวเองโดยการไปกินอาหารกลางวัน มื้อนี้ผมทานอาหารของพวกตะวันออกกลาง แต่ไม่ใช่เคบับนะ คือมันหน้าตาคล้ายๆกับไก่จากเคบับแต่จะมาเสิร์ฟพร้อมกับข้าวที่ไม่หอมมะลิอะ ข้าวแบบร่วนๆ แปลกๆโดยรวมก็โอเคนะราคาตกราวๆ 14 ยูโร แพงไหม ก็แพงแหละ แต่ปริมาณมันเหมือนให้ควายกินมากกว่าคนกิน ถือว่าเยอะใช้ได้
มื้อกลางวันผ่านไปผมมีเวลาอีก 4 ชม. ก่อนราฟาเอลจะกลับบ้าน เนื่องจากวันนี้ผมตั้งใจว่าจะไม่เข้าไปในตัวเมืองปารีส ภารกิจเดินทัวร์รอบๆแวร์ซายน์จึงเกิดขึ้น ตึกรามบ้านช่องที่ดูคลาสสิคทำผมอึ้งๆไปอยู่เหมือนกัน แต่ทุกการเดินทางล้วนมีอุปสรรคเมื่อเช้าท้องฟ้าแจ่มใสแต่ตอนนี้มันบูดบึ้งครึ้มเขียวมาแต่ไกล อีฝนเจ้ากรรมดันตกลงมาซะได้ แล้วอะไรหรอ “กูไม่มีร่มไง” โอ้ยยยย เมื่อเช้ายังดีๆอยู่เลย แล้วตกแบบหนักมากตอนนั้นคือไม่มีที่หลบฝนเลย เห็นก็แต่โบสถ์ แล้วเข้าใจใช่มะความคิดตอนนั้นแบบ ต้องเข้าไปหลบฝนในโบสถ์ มีความจินตนาการเจอบาทหลวงใจดี ให้ฟีลแบบวัดไทยเจอพระไทยใจงาม ความคิดตอนนั้นมันก็น่าตื่นเต้นจริงๆนะ เฮ้ยฟีลในหนังเลยอะ หาที่หลบฝน ไปหลบในโบสถ์ต้องมีอะไรในโบสถ์ให้ไขปริศนาแบบดาวินชี พอไปถึงหน้าประตูโบสถ์เท่านั้นแหละ “ปิด” โอ้โห พังทลาย ทำได้ก็แต่หลบในซอกหลืบ ก็ยังดีอะนะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in