หลังจากที่ได้เจอกับ แอนโทนี่ วัยรุ่นชาวปารีสบนรถไฟ ก็ทำให้รู้จักปารีสขึ้นมาอีกนิด แอนโทนี่ทำงานที่อเมริกาใต้ตอนนี้พักร้อนเลยกลับบ้านมาที่ปารีส พอดีจังหวะเดียวกับที่ผมก็เพิ่งมาถึงปารีสบทสนทนาเริ่มจากการที่ผมถามแอนโทนี่ว่า
“This train goes to this station right?” รถไฟมันไปสถานีนี้จริงๆใช่ไหม คือไม่มั่นใจเลย
ผมชี้ไปที่แผนที่พร้อมกับยกให้แอนโทนี่ดูแอนโทนี่พยักหน้า พร้อมบอกว่าเขาก็จะไปสถานีนี้เหมือนกัน และ ฟังดูก็ตลกๆนะ อยู่ดีๆแอนโทนี่ได้เสนอผมว่าถ้าถึงที่นั่นแล้วเดี๋ยวตัวเขาเองจะพาเที่ยวปารีสสักแปปหนึ่งด้วย ยังพอมีเวลาพาผมเที่ยวเล่นในเมืองได้ใจตอนนั้นคือ เห้ย....จริงหรอทำไมใจดีขนาดนี้ เอาจริงๆ ก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมาย แต่ในเมื่อต้นสายเขาเสนอมาแบบนี้มีหรอจะปฏิเสธ ฮ่าๆ
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปรถไฟกลับมาวิ่งได้ตามปกติระหว่างทางแอนโทนี่ถามผมหลายอย่างเกี่ยวกับประเทศไทย แพลนการเที่ยวของผมในปารีสผมก็เล่าคร่าวๆให้ฟัง จนกระทั่งถึงสถานีแอนโทนี่เดินพาไปฝากกระเป๋าใบใหญ่พร้อมกับแนะนำร้านอาหารถูกๆอร่อยๆในย่านปารีส ผมก็ฟังนั่นแหละแต่ในใจจะบอกว่ากูไปไม่เป็นอะแอนโทนี่ หลังจากนั้นแอนโทนี่ก็พาเดินวนรอบสถานีสักพัก
ไม่นานเขาก็บอกว่าเขาต้องไปแล้วอยากจะพาเดินเล่นให้มากกว่านี้แต่เพราะเวลาที่เสียไปกับรถไฟที่พังกลางทางเลยทำให้เขาต้องไปแล้วจริงๆแอนโทนี่บอกขอโทษผม และดีใจที่ได้รู้จักกัน พร้อมทิ้งท้ายว่าถ้าคืนนี้ว่างมาหาผมได้นะที่สถานีนี้ แอนโทนี่ชี้ลงไปในแผนที่
แต่แอนโทนี่มึง กูอยากจะบอกว่ากูไม่รู้จักแล้วก็ไปไม่เป็นด้วย แต่ก็เอาเถอะผมเลยตอบไปว่าไว้ดูก่อนแล้วกัน ในที่สุดผมกับแอนโทนี่ก็แยกจากกัน
หลังจากแอนโทนี่จากไปทุกอย่างคือ ว่างเปล่า แบล็งค์ เออ เอาไงต่อว่ะ จะเริ่มจากตรงไหนหาอะไรกินก่อนแล้วกัน แต่ก็ต้องเซ็งไปอีกรอบ เพราะร้านอาหารที่นี่นั้นไม่เหมือนร้านอาหารที่ไทยเลยเมนูก็ภาษาฝรั่งเศส รูปอาหารก็ไม่มีให้ดู เดินงงๆซักพัก ก็เลยหยุดที่หน้าร้านขนมปัง
เมื่อถึงที่โบสถ์ผมมีความรู้สึกหมดอารมณ์เที่ยว เวลาเหลือนิดหน่อยก่อนจะไปหาโฮส เลยรู้สึกเสียดายเวลาไหนๆมาทั้งที ผมเลยเปิดแผนที่ดูอีกครั้งเพื่อที่จะหาสถานที่เที่ยวใกล้ๆและก็พบว่าพิพิธภัณฑ์ Louvre นี่แหละไปได้แน่นอน ผมได้เดินตามอากู๋มาซักพัก ก็ทำให้ตระหนักว่า แม่งไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย ในสภาพที่ความรู้โลว์เทค กิโลม้ง กิโลเมตรไม่อ่าน ดูแค่รูปมันจะไปรู้ได้ไงวะ ห้วย โง่แท้ เลยถือโอกาสเดินชมเมืองชิลล์ๆไปละกัน ซึมซับ บรรยากาศเต็มที่เลย รวมถึงอากาศร้อนๆ นี่ด้วย ถ้าใครมาบอกว่าซัมเมอร์เหมาะกับคนไทยกูจะเขกกะโหลดเดี๋ยวนี้แหละ
มาถึงมิวเซียมด้วยสภาพล้มลุกคลุกคลาน เหงื่อเต็มตัว อาบแทนน้ำไปเลย เดินชมบรรยากาศรอบๆก็ถือว่างามแต้ งามหลายๆ สมแล้วที่เป็นแหล่งยอดนิยม ผมได้แต่เดินดูรอบๆนั่นแหละ ไม่ได้เข้าไปในพิพิธภัณฑ์เพราะแถวที่ยาวเหยียด แต่ถึงกระนั้นผมก็พอใจมากจริงๆ กับการชมวิวรอบๆ จะว่าไป ผมก็ไม่ใช่คนเที่ยวสายพิพืธภัณฑ์เท่าไหร่ จะชอบก็แต่เดินชมวิว ถ่าพภาพ เนี่ยแหละ
จากที่นี่ ผมสามารถมองเห็นหอไอเฟลได้ ความคิดตอนนั้นคือ ผมไม่อยากนั่งรถไฟแล้ว เพราะ ผม งง กับสถานี ชาญชรา การซื้อตั๋วมาก ไม่อยากคุยกับใคร เพราะอาการบ้าๆแบบนี้แหละ กูเลยตัดสินใจเดินเลยจ้า และก็ต้องมาตระหนักว่า บางทีการเดินไปไหนโดยไม่เช็คระยะทางก่อน มันก็เป็นเรื่องโง่ๆที่เกิดได้เหมือนกันนะเนี่ย เวรกรรมจริงๆ
ระหว่างเดินไปหอไอเฟลนั้นจิตใจเริ่มอ่อนละทวย นึกถึงคำพูดของเพื่อนที่ชื่อแม็กซิมว่า
“
การเดินกินเวลาไปเกือบ 1 ชม. แต่พอเห็นหอไอเฟลตรงหน้าทุกอย่างมันหายไปเลยความเหนื่อยมันถูกแทนที่ด้วยความประทับใจ วินาทีนั้นผมสามารถตอบโจทย์ได้ทันทีเลยว่า ทำไมปารีสถึงเป็นเมืองที่ทุกคนใฝ่ฝัน หอไอเฟลนั้นหากได้มาเห็นด้วยตาตัวเองแล้ว จะรู้เลยว่ามันมีความอลังการจริงๆคุ้มค่ามาก แต่จะดีกว่านี้ถ้าไม่ได้เดินมา ตอบ! เมื่อเวลาเดินเล่นหมดลง ก็ถึงเวลาเดินทางไปหาโฮสที่ แวร์ซายน์และทางเดียวที่จะถึงที่นั่นได้ก็คือต้องนั่งรถไฟไป ซึ่งก็ไม่ได้มีปัญหาอะไร ผมมาถึงบ้านโฮสโดยปลอดภัย แล้วการที่ผมได้เจอกับโฮสนั้นก็ทำให้ผมรู้ว่าปารีสนั้นไม่ได้มีแต่นักล้วงกระเป๋าอย่างแน่นอน อย่างน้อยๆก็โฮสของผมกับแอนโทนี่สองคนล่ะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in