ขอท้าวความย้อนกลับไปตอนวางแผน ผมวางแผนไว้ว่าจะเที่ยวประเทศในยุโรปให้ได้มากเท่าที่สุดเท่าที่จะทำได้หลังจากที่ผมเสร็จโปรเจคที่โปแลนด์เรียบร้อยแล้ว ถือเป็นการตัดสินใจที่มีความลังเลอยู่น้อยมาก เพราะความพร้อมในการเดินทางจากผลพวงของความฝันที่กำลังจะเป็นจริง ผมเริ่มลิสท์รายชื่อประเทศและเมืองที่อยากไป ซึ่งมีเยอะมาก อันได้แก่ ฝรั่งเศส, เยอรมนี, โปแลนด์,ออสเตรีย, เช็ก, อิตาลี, เนเธอร์แลนด์ และ เบลเยี่ยม
ใช่แล้ว เยอะมาก ผมทำการเช็คสายรถไฟการเดินทางในยุโรป ทำให้ผมพอจะทราบคร่าวๆว่า มันสะดวกมาก แต่ปัญหาที่หนักหน่วงที่สุดก็คือ อีที่ปารีสเนี่ยซิ เนื่องจากผมได้ยินว่าการจองตั๋วรถไฟจากเยอรมันไปปารีสราคาค่อนข้างสูง (ผมยึดการเที่ยวประเทศเยอรมันเป็นประเทศหลัก) อีกทั้งในตอนนั้นความเข้าใจเกี่ยวกับการเดินทางโดยรถไฟในยุโรปถือว่าเป็นศูนย์ ผมเลยมีความลังเลอย่างมากในการที่จะตัดฝรั่งเศส ประเทศอันดับแรกๆที่นักท่องเที่ยวทุกคนใฝ่ฝันออกไป
ผมไม่อยากจะนั่งรถไฟย้อนมาปารีสหลังจากจบโ๕รงการแล้ว สุดท้ายผมเลยจองตั๋วจากไทยไปลงที่ปารีสแทน ผมจึงมีเวลาเที่ยว 3 วันก่อนโปรเจคจะเริ่ม และหลังจากนั้น ผมจะบินไปที่โปแลนด์เพื่อเริ่มงาน
ก่อนออกเดินทางผมพอรู้จักคนฝรั่งเศสอยู่
ย้อนกลับมาที่เครื่องบินที่กำลังรอผู้โดยสารเพื่อพาผมมุ่งหน้าไปยังอิสตัลบูลเพื่อไปต่อเครื่องไปยังปารีสอีกที กับสาวผิวสี ผมเคอรี่แฮร์นางช่างเป็นคนที่เฟรนลี่ยิ่งนัก หลังจากทักทายปราศรัย รู้จักมักจี่ซักนิด ทำให้รู้ว่านางเป็นนักเรียนอเมริกา มาพักร้อนที่ไทย แอนด์ ยูโนวไทยแลนด์อีสอะเมซซิ่งมากๆ สาวผิวสีชื่นชมความสวยงามของประเทศไทย ฮ่าๆขอบใจนะที่อวยประเทศฉันแล้วนางก็ถามกลับด้วยคำถามซิมเปิลๆ ว่าแล้วยูละ “Where are you going?”
ต้องบอกก่อนว่าเครื่องบินที่ผมนั่งเนี่ยเป็นสายการบินประจำชาติตุรกี ผมเลือกสายการบินนี้เพราะว่า ผมจะมีโอกาสเที่ยวอิสตันบูล ระหว่างการรอเปลี่ยนเครื่อง ส่วนสำหรับที่นั่งนั้น ทางสายการบินได้แบ่งเป็นสามแถว โดยแบ่งเป็นที่นั่ง
ผมต้องรอต่อเครื่อง 3 ชม. เพื่อต่อเครื่องไปปารีสช่วงนี้ไม่มีอะไรน่าสนใจ นอกจากการตามหาเกท การรอเครื่องบินกับอาการที่รู้สึกว่านี่คิดถูกจริงๆหรอที่มาแบบนี้ มีความกังวลตลอดการเดินทางจริงๆ
เมื่อเวลาผ่านไปผมได้บินเป็นระยะเวลา 3 ชม.ในที่สุดผมก็มาถึงปารีสฝรั่งเศส มีความตื่นเต้น ตกใจ และกลัว ปนๆกันไป เมื่อลงจากเครื่องบินแล้วสิ่งแรกที่ทำคือเข้า ตรวจคนเข้าเมือง แล้วก็ไปรับกระเป๋าก็ไม่มีอะไรยาก ชิลมากๆ จนกระทั่งการนั่งรถไฟเข้าเมืองมันเหมือนไม่มีอะไรซับซ้อนนะ
แต่ว่านะ....ตั๋วนี่มันซื้อยังไงละเนี่ย (จะบอกว่าระบบการคิดอัตราค่าโดยสารมันจะแตกต่างจากไทยหรือญี่ปุ่นเลยมีการแบ่งโซน มีการแบ่งเวลาการใช้ตั๋ว ราคามีแตกต่างกันไปมากมาย) พอไปกดๆบนเครื่องขายตั๋วก็ทำให้ผมรู้ว่าการซื้อตั๋วรถไฟในไทยแม่งใช่ไม่ได้กับที่นี่ เชี่ยจริงๆ ตอนนั้นในหัวหมุนๆๆๆ มีอาการเหมือนเป็นใบ้ ไม่กล้าพูดกับใครไม่กล้าสบตาใคร นั่งยืนจ้องที่ขายตั๋วเป็นครึ่งชั่วโมง จนแล้วจนเล่าแล้วในที่สุดมันก็มีความคิดขึ้นมาว่า "ถ้าไม่ทำอะไร ก็จะต้องอยู่ตรงนี้ตลอดไป" เที่ยวก็ไม่ได้เที่ยวแค่นี้ทำไม่ได้ก็นอนเป็นขอทานมันตรงนี้แหละ ผมเลยรวบรวมความกล้าไปต่อแถวซื้อตั๋วที่ห้องขายตั๋วและวิธีที่ง่ายที่สุดคือบอกคนขายตั๋วเลยว่าจะไปสถานี Gare du Nord เออยืนบื้อมาตั้งนาน สติกลับมาซักที
พอซื้อตั๋วเสร็จแล้วปัญหาที่ตามมาคือ....จะต้องขึ้นชาญชราไหนวะ โอย อ่านป้าย ไม่เข้าใจดูแผนที่ ก็ไม่เข้าใจ ทางรถไฟ สถานีจะเยอะไปไหน แล้วยังจะมีกระเป๋าใบใหญ่อีก สติ สตางค์ไม่อยู่กับตัวเมื่อมองไปรอบๆก็เห็นลุงที่นั่งอยู่ใกล้ๆเอาละวะไปถามลุงที่อยู่ตรงหน้าให้มันรู้แล้วรู้รอดไปเลย ลุงข้างหน้าแต่งชุดเหมือนคนกวาดขยะบ้านเราสีส้มๆสะท้อนแสงแบบนี้ไม่มีพิษไม่มีภัยแน่นอน ถามได้เชื่อสัญชาตญาณตัวเองสุดๆ
ผมเดินเข้าไปหาคุณลุงและถามเป็นภาษาอังกฤษอย่างสุภาพว่า
ส่วนตัวเคยไปเที่ยวปารีสมาสองครั้ง เป็นเมืองที่สวยแต่ไม่ค่อยประทับใจในผู้คนเท่าไหร่
อ่านไปลุ้นไปนะคะเนี่ยว่าจะเจออะไรมั้ย 555