เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Europe First TimeKanSiri
ปราสาทในเทพนิยาย ฟุซเซ่นและมิวนิค
  •             รถไฟเยอรมันเลทตามเคย ทำให้ผมถึงมิวนิคราวๆ 4 ทุ่มท่าจะได้ แม้เยอรมนีจะขึ้นชื่อเรื่องตรงเวลาก็ตาม แต่ขอร้องแหละ อย่าไว้ใจรถไฟที่นี่เด็ดขาด เมื่อมาถึงผมรีบตรงไปที่โฮสเทลที่ได้จองไว้ทันที เหมือนเดิมผมเลือกโฮสเทลติดสถานีหลัก และเดินไม่ถึงสิบนาที

                                                                       (มิวนิคยามค่ำคืน)

                โชคดีที่คราวนี้ผมจองห้องสำหรับ 4 คนแต่ที่ดีกว่านั้นคือ ในห้องมีผมกับผู้หญิงชาวอเมริกัน คืนนี้มีเราแค่ 2 คน “เยี่ยมไปเลย” รู้สึกถึงความเป็น Private Room ขึ้นมาบ้าง

                ที่ผมต้องรีบเที่ยวออสเตรียให้จบภายใน 3-4 วันมานี่คงหนีไม่พ้นเรื่องที่ผมนัดเจอกับน้องสอง เอาไว้ ใช่น้องสองคนไทยที่ไปโปรเจคเดียวกันที่โปแลนด์นั่นแหละ

                สองมีเวลาเที่ยวในมิวนิคอีกแค่ 3 วันเห็นจะได้ก่อนบินกลับไทย ผมไม่อยากเสียโอกาสบอกลา เลยต้องจำใจเที่ยวออสเตรียแบบไม่เต็มที่นัก (แม้จะรู้สึกเต็มที่แล้วก็ตาม เอ๊ะยังไง?)

                หลังจากจัดการตัวเองที่โฮสเทลเรียบร้อยผมโทรไปหาสองเพื่อนัดเจอที่สถานีหลักกับการนัดวันไปเที่ยว วันเดย์ทริป ที่ฟุซเซ่น (Füssen) หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเยอรมนี แน่นอนว่าพอได้เจอคนรู้จักปุ๊บ มันเป็นอะไรที่ฟีลกู๊ดสุดๆไปเลยก่อนแยกกันพวกเรานัดเจอกันพรุ่งนี้ตอน 7 โมงเช้า

                                                                     (ทางเดินที่ฟุซเซ่น)

                เนื่องจากรถไฟที่ผมจะไปฟุซเซ่นนั่นออกเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ตัวผมเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ 7 โมงตามเวลาที่สองนัด เลยถือโอกาสไปจองที่นั่งไปเวนิส อิตาลี ตอนนี้สองจิตสองใจมาก เนื่องจากผมเที่ยวต่อเนื่องกันแบบไม่หยุดเลยมา 2 อาทิตย์เต็มๆ ซึ่งก็ค่อนข้างเหนื่อยล้า กับเวลาอีก 10 กว่าวันในยุโรป สุดท้ายผมคว้าโอกาสไปเหยียบอิตาลีซักครั้งหนึ่ง เอาเป็นว่าหลังจากมิวนิคแล้วผมต้องนั่งรถไฟไปอิตาลี ผมเจอกับสองและไปทานอาหารเช้าที่โฮสเทลสอง

                ผมถามสองถึงเวลาที่รถไฟออกอีกครั้ง

                “รถไฟออกกี่โมงนะสอง?

                “อีกสักพักแหละพี่ไม่ต้องรีบมีเวลาเหลือเฟือ”

                ตอนนั้นเวลาเจ็ดโมงจวนจะแปดโมงละผมจำได้ว่าที่เช็ค รถไฟจะออกราวๆแปดโมงต้นๆ

                “แน่ใจนะ” ผมถามกันเหนียว

                “แน่ใจพี่ไม่ต้องรีบๆ”

                ด้วยความชะล่าใจของผมจึงไม่ได้เช็คอีกรอบนึง จนกระทั่งไปค้นชาญชราที่ต้องขึ้นรถไฟ

                “สองรถไฟที่จะขึ้นน่ะ อยู่ตรงนี้”

                พวกเรามองไปที่เวลาออกของรถไฟพร้อมดูเวลา

                “โอ้ยเวรกรรม อีก 5 นาทีออก” ในใจผม "กูว่าและ แม่งแปลกๆ"

                พวกเราวิ่งเต้นอย่างไม่คิดชีวิตสุดท้ายน้องสองวิ่งไม่ไหว เพราะชาญชรามันไกลมาก ผมจึงหยุด

                “พี่ ขอโทษ หนูคิดว่ากว่าจะออกอีกซักพัก”

                สองขอโทษเป็นการใหญ่โตรู้สึกผิดจริงจัง จนบรรยากาศมันแย่ไปหมด

                “เอาน่ารอบต่อไปก็อีกแค่ 40 นาที (เอ๊ง) พี่ไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ได้โกรธด้วย สบายๆ”

                                                                     (ทะเลสาบ Alpsee)

                ใจจริงผมก็รู้แหละว่ามันควรไปตั้งแต่เช้าเพราะนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะซัมเมอร์นั้น ค่อนข้างหนาแน่น แต่การรักษาน้ำใจคนรู้จักมันสำคัญกว่านี่หว่าจริงไม๊? คำตอบคือ "จริงสิ"

                รถไฟที่พวกเราไปรอบถัดไปมีปัญหาดังนั้นจาก วิ่งตรง ก็เลยต้องวิ่งอ้อมไปเปลี่ยนรถไฟอีกสถานีทำให้พวกเราเสียเวลาไปอีกนิดหน่อย (เอ๊ง)

                และก็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดพวกเรามาถึงฟุซเซ่นตอนที่หางแถวซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทยาวเหยียดอย่างกับหางว่าว แต่วินาทีนั้นผมไม่พูดอะไรเลยนอกจาก “รีบไปต่อคิวดีกว่า” แล้วในที่สุดพวกเราก็ได้ตั๋วบรรยายภาษาอังกฤษมา 2 ใบ จาก 4 ใบสุดท้าย และทันกลับรถไฟรอบบ่ายห้าโมง ทำให้สองใจปลอดโปร่งขึ้นมาอีก

                การมาเที่ยวด้วยกันครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมมีไลฟ์สไตล์การเที่ยวคล้ายๆสอง ชอบแทร็กกิ้ง ชอบชมธรรมชาติ ชอบลุยๆ และระหว่างทางสองก็พูดขึ้นมาว่า “รู้อย่างนี้เที่ยวกับพี่กันตั้งแต่แรกดีกว่า”


                ข้อดีของการมีเพื่องเที่ยวคือมีเพื่อนคุย มีเพื่อนถ่ายรูปให้ (อันนี้สำคัญสุด ฮ่าๆ) มีคนช่วยเหลือกันไม่เหงาเลย แถมยังเก็บรายละเอียดบางอย่างได้มากขึ้น แต่การเที่ยวคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่ดี มาถึงตรงนี้ผมบอกเลยว่ามันดีคนละแบบเที่ยวคนเดียวเราสบายใจ อยากทำอะไรก็ได้ เจอเพื่อนใหม่ หรืออาจจะไม่ได้เจอ แต่เที่ยวคนเดียวทำให้เราเก่งขึ้นแน่นอน

                ที่ฟุซเซ่นนั้นนอกจากปราสาทนอยชวานสไตน์ที่โด่งดังแล้ว ยังจะได้เจอกับปราสาทโฮเฮนชวานเกาสีเหลืองเด่น ทะเลสาบริมปราสาท และพื้นที่ป่าอันร่มเย็นซึ่งจะบอกว่าการเดินเล่นริมทะเลสาบนั้นก็สร้างความประทับใจให้ผมกับสองไม่น้อยเหมือนกัน

                                                            (Hohenschwangau Castle)

                บนภูเขา ณ ที่ปราสาทตั้งอยู่มีจุดชมวิวสำหรับนักท่องเที่ยว และจุดปีนเขา ผมกับสองตัดสินในไปปีนเขาก่อนที่จะถึงเวลาเข้าชมปราสาท การแทร็กกิ้งผ่านจุดชมวิวนั้น ถือได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่คุ้มค่ามากที่สุดของทริปนี้ เบื้องหน้าคือปราสาทที่โด่งดัง ต้นแบบของปราสาทในเทพนิยาย ในที่สุดมันก็มาอยู่ตรงหน้าแล้วปราสาทนอยชวานสไตน์....
                                                                  (Neuschwanstein Castle)
  •             ทริปฟุซเซ่นจบลงอย่างสวยงาม สำหรับผมแล้วทริปนี้เป็นทริปที่สนุกที่สุดปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าการมีเพื่อนเที่ยวนั้นมันสนุกกว่าที่คิด พวกเรากลับมาถึงมิวนิคราวๆ 1 ทุ่ม เวลานั้นเป็นเวลาที่ดีในการหาดินเนอร์รับประทานและเดินเที่ยวเล่นในยามราตรี แสงสีกับคนเปิดหมวกที่มิวนิคถือว่าเป็นสเน่ห์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้

                ต้องขอเล่าคร่าวๆว่าผมตั้งใจจะเดินเล่นที่มิวนิคอีกวันก่อนที่จะไปเวนิสแต่เป้เจ้ากรรมดันมาซิปแตกซะนี่

                “ควรจะซื้อตั้งแต่อยู่บอนน์แล้วจริงๆไม่น่าปล่อยให้เป็นแบบนี้เลย” กูละเซ็ง

                ค่ำคืนในมิวนิคจบลงด้วยการที่เป้แหกกลับโฮสเทลและต้องตื่นแต่เช้ามารอร้านขายกระเป๋าเปิด เพราะถ้าไม่มีเป้ผมก็จะขนของไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น อย่าว่าแต่จะไปต่อเลย กลับบ้านยังจะกลับไม่ได้เลยของเยอะแยะไปหมด

                                                                                  (มิวนิค)

                เช้ารุ่งขึ้นผมต้องตามหาร้านขายเป้ ผมตื่นตั้งแต่ 7 โมง จัดการชีวิตและออกมาเดินที่เซนเตอร์อีกครั้งซวยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ร้านเปิด 10 โมง กูตื่นเช้ามาเพื่อ??? ผมใช้เวลาชั่วโมงกว่าๆที่รอ เดินกลับไปโรงแรมเพื่อทำการเช็คเอ้าท์ก่อน 11 โมง หากรอร้านเปิดจน 10 โมงกว่าจะซื้อกว่าจะเลือกคงกลับมาเช็คเอ้าท์ไม่ทันแน่นอน และความคิดผมก็ถูกต้อง การเลือกเป้ใช้เวลาราวๆ 1 ชั่วโมงจริงๆด้วย ราคาเป้ก็ราวๆ 50 ยูโรเห็นจะได้ เพราะราคาถูกกว่านี้แบบมันไม่ถูกใจผมเลย ซื้อทั้งทีก็เอาแม่งถูกใจไปเลย

                ทุกอย่างกว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่า ผมไม่มีเวลามากพอที่จะทำอย่างอื่นนอกจากหามื้อเที่ยงกินก่อนที่จะนั่งรถไฟไปเวนิส การเที่ยวมิวนิคครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามแผนเลย

                “เออช่างมันเหอะ”

                ผมส่งข้อความไปบอกสองว่าคงต้องเจออีกทีที่ไทยแล้วแหละ

                หลังจากแทร็กกิ้ง ปีนป่ายที่ฟุซเซ่นเมื่อวาน ร่างกายผมมีสัญญาณเหนื่อยล้านิดหน่อยแต่ก็ตั้งใจที่จะไปเวนิสจริงๆ

    รถไฟค่อยๆออกจากสถานี ในใจผมได้แต่บอกว่า “ไว้เจอกันอีกนะ...มิวนิค”

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in