รถไฟเยอรมันเลทตามเคย ทำให้ผมถึงมิวนิคราวๆ
โชคดีที่คราวนี้ผมจองห้องสำหรับ 4 คนแต่ที่ดีกว่านั้นคือ ในห้องมีผมกับผู้หญิงชาวอเมริกัน คืนนี้มีเราแค่ 2
ที่ผมต้องรีบเที่ยวออสเตรียให้จบภายใน 3-
สองมีเวลาเที่ยวในมิวนิคอีกแค่ 3 วันเห็นจะได้ก่อนบินกลับไทย ผมไม่อยากเสียโอกาสบอกลา เลยต้องจำใจเที่ยวออสเตรียแบบไม่เต็มที่นัก (แม้จะรู้สึกเต็มที่แล้วก็ตาม เอ๊ะยังไง?)
หลังจากจัดการตัวเองที่โฮสเทลเรียบร้อยผมโทรไปหาสองเพื่อนัดเจอที่สถานีหลักกับการนัดวันไปเที่ยว วันเดย์ทริป ที่ฟุซเซ่น (Füssen) หนึ่งในแลนด์มาร์คสำคัญของเยอรมนี แน่นอนว่าพอได้เจอคนรู้จักปุ๊บ มันเป็นอะไรที่ฟีลกู๊ดสุดๆไปเลยก่อนแยกกันพวกเรานัดเจอกันพรุ่งนี้ตอน 7 โมงเช้า
เนื่องจากรถไฟที่ผมจะไปฟุซเซ่นนั่นออกเวลาประมาณ 8 โมงเช้า ตัวผมเตรียมตัวเสร็จเรียบร้อยตั้งแต่ 7
ผมถามสองถึงเวลาที่รถไฟออกอีกครั้ง
“รถไฟออกกี่โมงนะสอง
“อีกสักพักแหละพี่ไม่ต้องรีบมีเวลาเหลือเฟือ”
ตอนนั้นเวลาเจ็ดโมงจวนจะแปดโมงละผมจำได้ว่าที่เช็ค รถไฟจะออกราวๆแปดโมงต้นๆ
“แน่ใจนะ” ผมถามกันเหนียว
“แน่ใจพี่ไม่ต้องรีบๆ”
ด้วยความชะล่าใจของผมจึงไม่ได้เช็คอีกรอบนึง จนกระทั่งไปค้นชาญชราที่ต้องขึ้นรถไฟ
“สองรถไฟที่จะขึ้นน่ะ อยู่ตรงนี้”
พวกเรามองไปที่เวลาออกของรถไฟพร้อมดูเวลา
“โอ้ยเวรกรรม อีก 5
พวกเราวิ่งเต้นอย่างไม่คิดชีวิตสุดท้ายน้องสองวิ่งไม่ไหว เพราะชาญชรามันไกลมาก ผมจึงหยุด
“พี่ ขอโทษ หนูคิดว่ากว่าจะออกอีกซักพัก”
สองขอโทษเป็นการใหญ่โตรู้สึกผิดจริงจัง จนบรรยากาศมันแย่ไปหมด
“เอาน่ารอบต่อไปก็อีกแค่ 40 นาที (เอ๊ง) พี่ไม่ได้ว่าอะไรเลย ไม่ได้โกรธด้วย สบายๆ”
ใจจริงผมก็รู้แหละว่ามันควรไปตั้งแต่เช้าเพราะนักท่องเที่ยว โดยเฉพาะซัมเมอร์นั้น ค่อนข้างหนาแน่น แต่การรักษาน้ำใจคนรู้จักมันสำคัญกว่านี่หว่าจริงไม๊? คำตอบคือ "จริงสิ"
รถไฟที่พวกเราไปรอบถัดไปมีปัญหาดังนั้นจาก วิ่งตรง ก็เลยต้องวิ่งอ้อมไปเปลี่ยนรถไฟอีกสถานีทำให้พวกเราเสียเวลาไปอีกนิดหน่อย (เอ๊ง)
และก็อย่างที่คิดไว้ไม่มีผิดพวกเรามาถึงฟุซเซ่นตอนที่หางแถวซื้อตั๋วเข้าชมปราสาทยาวเหยียดอย่างกับหางว่าว แต่วินาทีนั้นผมไม่พูดอะไรเลยนอกจาก “รีบไปต่อคิวดีกว่า” แล้วในที่สุดพวกเราก็ได้ตั๋วบรรยายภาษาอังกฤษมา 2
การมาเที่ยวด้วยกันครั้งนี้ทำให้ผมรู้ว่าผมมีไลฟ์สไตล์การเที่ยวคล้ายๆสอง ชอบแทร็กกิ้ง ชอบชมธรรมชาติ ชอบลุยๆ และระหว่างทางสองก็พูดขึ้นมาว่า “รู้อย่างนี้เที่ยวกับพี่กันตั้งแต่แรกดีกว่า”
ข้อดีของการมีเพื่องเที่ยวคือมีเพื่อนคุย มีเพื่อนถ่ายรูปให้ (อันนี้สำคัญสุด ฮ่าๆ) มีคนช่วยเหลือกันไม่เหงาเลย แถมยังเก็บรายละเอียดบางอย่างได้มากขึ้น แต่การเที่ยวคนเดียวก็ใช่ว่าจะไม่ดี มาถึงตรงนี้ผมบอกเลยว่ามันดีคนละแบบเที่ยวคนเดียวเราสบายใจ อยากทำอะไรก็ได้ เจอเพื่อนใหม่ หรืออาจจะไม่ได้เจอ แต่เที่ยวคนเดียวทำให้เราเก่งขึ้นแน่นอน
ที่ฟุซเซ่นนั้นนอกจากปราสาทนอยชวานสไตน์ที่โด่งดังแล้ว ยังจะได้เจอกับปราสาทโฮเฮนชวานเกาสีเหลืองเด่น ทะเลสาบริมปราสาท และพื้นที่ป่าอันร่มเย็นซึ่งจะบอกว่าการเดินเล่นริมทะเลสาบนั้นก็สร้างความประทับใจให้ผมกับสองไม่น้อยเหมือนกัน
(Hohenschwangau Castle)ทริปฟุซเซ่นจบลงอย่างสวยงาม สำหรับผมแล้วทริปนี้เป็นทริปที่สนุกที่สุดปฏิเสธไม่ได้จริงๆว่าการมีเพื่อนเที่ยวนั้นมันสนุกกว่าที่คิด พวกเรากลับมาถึงมิวนิคราวๆ 1 ทุ่ม เวลานั้นเป็นเวลาที่ดีในการหาดินเนอร์รับประทานและเดินเที่ยวเล่นในยามราตรี แสงสีกับคนเปิดหมวกที่มิวนิคถือว่าเป็นสเน่ห์ของเมืองนี้เลยก็ว่าได้
ต้องขอเล่าคร่าวๆว่าผมตั้งใจจะเดินเล่นที่มิวนิคอีกวันก่อนที่จะไปเวนิสแต่เป้เจ้ากรรมดันมาซิปแตกซะนี่
“ควรจะซื้อตั้งแต่อยู่บอนน์แล้วจริงๆไม่น่าปล่อยให้เป็นแบบนี้เลย” กูละเซ็ง
ค่ำคืนในมิวนิคจบลงด้วยการที่เป้แหกกลับโฮสเทลและต้องตื่นแต่เช้ามารอร้านขายกระเป๋าเปิด เพราะถ้าไม่มีเป้ผมก็จะขนของไปไหนไม่ได้ทั้งนั้น อย่าว่าแต่จะไปต่อเลย กลับบ้านยังจะกลับไม่ได้เลยของเยอะแยะไปหมด
เช้ารุ่งขึ้นผมต้องตามหาร้านขายเป้ ผมตื่นตั้งแต่ 7 โมง จัดการชีวิตและออกมาเดินที่เซนเตอร์อีกครั้งซวยกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว ร้านเปิด 10 โมง กูตื่นเช้ามาเพื่อ???
ทุกอย่างกว่าจะเสร็จเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเที่ยงกว่า ผมไม่มีเวลามากพอที่จะทำอย่างอื่นนอกจากหามื้อเที่ยงกินก่อนที่จะนั่งรถไฟไปเวนิส การเที่ยวมิวนิคครั้งนี้ ดูเหมือนจะไม่เป็นไปตามแผนเลย
“เออช่างมันเหอะ”
ผมส่งข้อความไปบอกสองว่าคงต้องเจออีกทีที่ไทยแล้วแหละ
หลังจากแทร็กกิ้ง ปีนป่ายที่ฟุซเซ่นเมื่อวาน ร่างกายผมมีสัญญาณเหนื่อยล้านิดหน่อยแต่ก็ตั้งใจที่จะไปเวนิสจริงๆ
รถไฟค่อยๆออกจากสถานี ในใจผมได้แต่บอกว่า “ไว้เจอกันอีกนะ...มิวนิค”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in