มนุษย์ทุกคนบนโลกใบนี้ไม่มีใครหลีกหนีความตายพ้น แม้แต่ตัวผู้เขียนเองสิ่งที่เกิดขึ้น คือ หลายคนหวาดกลัวความตายและพยายามทำทุกอย่างทุกวิถีทางเพื่อใช้ชีวิตให้คุ้มที่สุดแต่บางคนเลือกที่จะนั่งเฉยๆปล่อยวันเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้จุดหมาย
..................................................................................
เราก็เป็นคนหนึ่งที่กลัวความตายเหมือนกันแม้จะรู้ว่ามันเป็นเรื่องธรรมดาที่ไม่ว่าจะคนรวย คนจน คนสวยคนขี้เหร่ล้วนแต่จะต้องเจอมันด้วยกันทั้งนั้น หลายครั้งเรามักนั่งคิดเงียบๆอยู่คนเดียวว่าก่อนจะตายขอให้ได้ทำอะไรสักอย่างที่อยากทำก่อนแต่ตอนนี้กลับนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าอะไรคือสิ่งที่อยากทำที่ว่านั่น
ชีวิตคนเรามันสั้น และเราว่ามันคงน่าเสียดายมากหากว่าเราจะตายไปโดยที่ยังไม่ทันได้ทำอะไรสักอย่างเลยจึงไม่แปลกที่เราจะได้ยินใครหลายๆคนพูดว่า “โธ่ อายุยังน้อยอยู่เลย ไม่น่ารีบด่วนจากไป” นั่นเพราะว่าหลายคนเชื่อว่าคนที่อายุยังน้อยสามารถทำอะไรได้อีกหลายอย่าง ได้วิ่งตามความฝันและลงมือทำอะไรตามที่ใจต้องการ
เรามีเรื่องนึงจะเล่าให้ฟัง ที่เล่าเรื่องนี้ไม่ได้มีข้อคิดสอนใจหรือต้องการจะสื่ออะไรหรอก แค่อยากจะเล่ามันออกมาผ่านตัวหนังสือ มันเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับความตาย เป็นครั้งแรกที่เราได้เข้าใกล้เรื่องนี้ซึ่งมันก็สอนอะไรเราได้หลายอย่าง แต่ถ้าใครไม่อยากอ่านเรื่องแบบนี้ก็ผ่านไปได้เลย
- ส่วนใครยังว่างอยู่ก็มานั่งฟังสักหน่อยก็ได้นะ -
Cr. LINE DECO
แด่เธอที่รัก
เมื่อไม่กี้วันมานี้เราได้เจอกับเรื่องหนักหน่วงเรื่องหนึ่งในชีวิตนั่นคือ การเสียชีวิตของพ่อเรา
เดิมทีเรากับพ่อไม่ได้สนิทกันเท่าไรไม่ค่อยได้คุยกันด้วยซ้ำในวันๆหนึ่ง พอคุยกันทีก็ดูเหมือนจะเข้ากันไม่ค่อยได้เลยกลายเป็นว่าเราสองคนมักจะไม่ได้มีเวลาร่วมกันซักเท่าไหร่...
แต่ไม่กี่ปีที่ผ่านมาพ่อเราล้มป่วยด้วยโรคหลายโรค ทั้งเรากับแม่พยายามหาทุกวิธีมารักษาวิธีไหนที่ใครบอกว่าดีก็ลองหมด พึ่งทั้งไสยศาสตร์และวิทยาศาสตร์ ทั้งยาไทย ยาเทศยาจีน แต่ดูเหมือนความหวังที่มีริบหรี่ลงไปเรื่อยๆตัวพ่อเองก็หมดกำลังใจที่จะรักษา บ่นลอยๆว่าอยากตาย บางครั้งก็บ่นกับคนรู้จักว่าตัวเองจะอยู่ได้ไม่ถึงสิ้นปีนี้ด้วยซ้ำลักษณะของแกดูอดอาลัยตายอยาก ดูท้อแท้สิ้นหวังนั่นทำให้แม่กับเราพลอยสิ้นหวังไปด้วย
แต่เพราะอาการป่วยของป๊าด้วยแหละที่ทำให้เรากับพ่อเริ่มสนิทกันมากขึ้นเราเริ่มรู้ว่าความจริงแล้วพ่ออยากคุยกับเรามากขนาดไหน แต่เพราะความเขินอายสไตล์ผู้ชายเลยทำให้ไม่รู้จะเข้าหาลูกสาวยังไงส่วนตัวเราเองก็ดันคิดไปว่าพ่อไม่อยากคุยด้วยซะยังงั้น
กลายเป็นว่าช่วงระยะหลังมานี้เรามักจะหาเรื่องไปคุยกับพ่อต่างๆนาๆ ไร้สาระบ้าง จริงจังบ้างโดยเฉพาะเวลาที่นั่งรอเข้าพบหมอ เพราะเรารู้ว่ามันเป็นช่วงเวลาที่แสนทรมาน อย่างน้อยก็อยากให้เขาได้คลายกังวลลงบ้างเท่านั้นเอง
..................................................................
เวลาไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เวลาไม่ได้มาปลอบใจเรา
แต่เวลาจะช่วยฝึกให้เราปลอบใจตัวเองเป็น*
Cr:-nattawut teerawatkasem
..................................................................
ช่วงสี่อาทิตย์ก่อนพ่ออาการหนักขึ้นจนต้องเรียกรถโรงพยาบาลมารับถึงบ้าน ส่งเข้าฉุกเฉิน พยาบาลถามความสมัครใจจากเราว่ายินดีให้ใส่เครื่องช่วยหายใจทางปากไหมถ้าใส่แกจะเจ็บมาก แต่ถ้าไม่ใช่แกอาจจะช็อคเพราะหายใจเองลำบาก นาทีนั้นบอกตามตรงว่าคิดอะไรไม่ออกขออย่างเดียวให้เขารอดกลับมา พยาบาลยังย้ำคำเดิม พร้อมเหตุผลว่าจำเป็นต้องใส่เพราะแกหายใจเองไม่ได้...
จนถึงตอนนี้ที่เรานั่งเขียนเรื่องนี้อยู่เรายังคงคิดอยู่เสมอว่าเราเองรึเปล่าที่เป็นคนทำให้พ่อเจ็บ เราเป็นสาเหตุของเหตุการณ์ทั้งหมดรึเปล่าทุกคนรอบตัวพยายามไม่ให้เราโทษตัวเอง แต่มันก็อดไม่ได้จริงๆวินาทีที่เห็นพ่อโดนพยาบาลหลายคนมารุมล้อมพยายามจะใส่เครื่องมือทางปากแกดิ้นรนเท่าที่กำลังจะพอมี เลือดไหลออกมาเต็มเสื้อ จากสีขาวกลายเป็นสีแดงจากคนที่ดูอ่อนแรงอยู่แล้ว กลายเป็นคนที่ดูอ่อนแรงและหมดหวังไปกว่าเดิม
.................................................................................
พ่อรักษาอาการอยู่ที่โรงพยาบาล 3 สัปดาห์ทุกวันจันทร์-ศุกร์ที่เราทำงาน เลิกงานเราก็จะแวะเข้าไปเยี่ยม ไปคุยเล่นกับแกแม้จะไม่มีเสียงตอบกลับมา แต่เราก็เชื่อว่าพ่อยังรับรู้ว่าเรามาหา เรากับแม่รอเขาอยู่เราเชื่อแบบนั้นมาตลอด
แต่แล้วสี่วันก่อนการจากไปคุณหมอโทรตามเราให้รีบมาที่โรงพยาบาล พร้อมกับเล่าอาการทุกอย่างของพ่อให้ฟังและจบประโยคทุกอย่างด้วยการพูดว่า “หมอว่าญาติคนไข้ต้องทำใจไว้นะครับ”
เวลาที่เราดูละครฉากที่หมอเดินออกมาบอกตัวละครในเรื่องว่าให้ทำใจ คนไข้อาจจะไม่รอด - เราไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าสักวันจะเป็นเราเองที่ต้องมาได้ยินเรื่องแบบนี้มันเป็นประโยคสั้นๆที่ฟังแล้วใจสลาย บรรยายความรู้สึกตอนนั้นไม่ออกจำได้อย่างเดียวว่าร้องไห้หนักที่สุดในชีวิต
ตลอดสี่วันนั้นเราลางาน และอยู่เป็นเพื่อนพ่อตลอดคุยกับเขาทุกเรื่องเท่าที่จะนึกออกในตอนนั้น ไม่มีเสียงตอบกลับมา มีแต่ลมหายใจบางๆกับเสียงอุปกรณ์การแพทย์ที่ต่อโยงเข้ากับตัวพ่อเรา ทั้งเรากับแม่ไม่มีใครทำใจได้ แต่สิ่งที่ทุกคนแสดงออกตอนนั้นคือพยายามไม่ร้องไห้ให้พ่อเห็น ยิ้มแย้มและคุยกับเขาเหมือนเขายังปกติอยู่...
สามวันผ่านไปทุกอย่างยังเหมือนเดิมพ่อยังนอนนิ่งอยู่บนเตียงสีขาวตามตัวมีเครื่องมือแพทย์ต่อระโยงระยางยามีมาแขวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนคุณหมอแวะมาพูดคุยด้วยบ่อยขึ้น ให้คำแนะนำว่าช่วงนี้ให้พ่อฟังบทสวดของพระจะได้ให้แกไปอย่างสงบเราเลยแซวพ่อไปว่าปกติชอบฟังคาราบาวไม่ใช่หรอ เร็ว ลุกขึ้นมาร้องบัวลอยกัน
ย่างเข้าสู่วันที่สอง อาการพ่อแย่ลงหายใจลำบาก ร่างกายไม่ตอบสนองต่อยาเนื้อตัวเริ่มบวมเพราะร่างกายระบายไม่ได้บวกกับได้ยาเข้าไปเยอะทำให้ร่างกายติดเชื้อและมีโรคแทรกซ้อนแต่ถึงยังไง เรากับแม่ก็ยังมีความหวัง สู้เต็มที่ แม้หมอจะบอกแล้วว่าความหวังเป็นศูนย์แต่เราคงทนไม่ได้ที่จะเห็นพ่อจากไปแบบที่เราไม่ทันได้ทำอะไรเลย ทั้งแม่ เราเองและญาติๆปรึกษาหมอถึงแนวทางการรักษา คุณหมอก็แนะนำว่าถึงจะทำไปก็ไม่มีอะไรดีขึ้นถึงจะเป็นอย่างนั้น...แต่จะให้เรานั่งรอวันที่เขาจากไปโดยไม่ทำอะไรเลยจริงๆน่ะหรอเราคงทำไม่ได้หรอก เราเลยตกลงกับคุณหมอว่าให้ทำเต็มที่ อะไรที่พอทำได้ ทำไปเลยคุณหมอรับปากและบอกว่าจะรีบดำเนินการให้ในวันถัดไป
เชื่อแล้วว่าอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน
วันสุดท้าย:-
เวลา 06.30 น.เราได้รับโทรศัพท์จากทางโรงพยาบาลว่า คุณพ่อหัวใจหยุดเต้น จะให้หมอปั๊มหัวใจไหมไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายที่ก่อนหน้านั้นหลายวัน เราได้คุยกับแม่และญาติไว้ก่อนแล้วว่าถ้าเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นจริงๆจะทำยังไงซึ่งทุกคนก็ลงความเห็นตรงกันว่าจะไม่ปั๊ม จะให้แกได้ไปอย่างสงบ ไม่ต้องฝืนไม่ต้องทรมาน เราเลยตอบหมอไปว่าไม่ต้องทำอะไร เวลา 06.47 น. ก็ได้รับโทรศัพท์อีกครั้งแจ้งว่า “....คุณพ่อเสียชีวิตแล้ว...”
แม่กับเราและญาติๆเดินทางไปที่โรงพยาบาลเพื่อจัดการเรื่องพ่อ และคุยกับเขาเป็นครั้งสุดท้าย ร่างกายของพ่อที่นอนอยู่บนเตียงยังดูปกติดีทุกอย่างเหมือนคนหลับลึก อุปกรณ์ทุกอย่างยังอยู่ที่จุดเดิม แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้ว่าเขาไม่อยู่กับเราแล้วคือ การไม่มีลมหายใจบางๆนั้นอีกแล้ว ไม่มีสัญญาณชีพจร ไม่มีเส้นหยักขึ้นลงมีแต่เส้นที่วิ่งตรงบอกให้รู้ว่า เขาไม่อยู่กับเราแล้วจริงๆ ความรู้สึก ณตอนนั้นมันบอกไม่ถูก มันแย่ หดหู่ไปหมด ไม่มีกำลังใจ ไม่มีแรงจะพูดกับใครด้วยซ้ำ ได้แต่ร้องไห้อยู่เงียบๆยืนมองร่างของพ่อทั้งน้ำตา
..................................................................................
เรื่องที่เราเขียนมาทั้งหมดเราไม่ได้หวังอะไรจากการเขียน แค่อยากระบายความอัดอั้นละมั้ง แต่คิดไปคิดมาเรื่องที่เขียนคงจะเตือนสติใครหลายคนได้ดีว่า บ้านคือสถานที่ที่ดีที่สุดในโลกครอบครัวคือเกราะป้องกันที่แข็งแรงที่สุด ต่อให้เราไปเจอเรื่องแย่อะไรมาจากไหนก็ตามครอบครัวจะชาร์ตแบตให้เรา รักพ่อแม่ให้มากๆ คุยกับพวกเขาเยอะๆ ใช้เวลาที่ยังมีร่วมกันให้มากที่สุดเราเชื่อว่าหลายคนเป็นเหมือนเรา อยากจะสนิทกับพ่อให้มากกว่านี้แต่ก็ไม่รู้จะทำยังไง ไม่รู้จะเข้าหาวิธีไหน อะไรก็ได้แต่อย่ารอให้ทุกอย่างมันสายไปเหมือนเรา
ซูเปอร์ฮีโร่ที่ยิ่งใหญ่
เป็นได้ทุกอย่างที่เราต้องการ
พ่อเป็นมนุษย์ที่น่ารักที่สุดในโลก
รักพ่อนะ
ยัยบื้อ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in