อีกสองปีถัดมาฉันใจกล้าพอที่จะนำเรื่องนี้ไปพูดในคลาสspeakingที่เรียนอยู่ มองย้อนกลับไปก็เป็นอีกช่วงหนึ่งที่คิดเหมือนกันว่า เราก็กล้าเหมือนกันนะเนี่ย ฉันรู้สึกขอบคุณอาจารย์คนนั้นมาก ๆ ที่เปิดโอกาสให้ได้ทำพรีเซ้นท์เรื่องของตัวเอง ตอนที่ฉันไปฟังฟีดแบคฉันก็บ่นกับอาจารย์ว่า รู้สึกว่าทำได้ไม่ดีเลย แถมไปพูดเรื่องลบ ๆ ให้คนอื่นรู้สึกแย่อีก (มีคนน้ำตาซึมในคลาสวันนั้นจริง ๆ) แล้วฉันก็ร้องไห้ในห้องทำงานเขาแบบไม่อายฟ้าอายดิน
ฉันยังจำที่อาจารย์ตอบกลับได้ว่า คุณเล่าเรื่องได้ดีมากไง คนฟังถึงมีอารมณ์ร่วมขนาดนั้น แล้วที่มาพูดเรื่องนี้ก็เก่งมากแล้ว เพราะคุณพิสูจน์ได้ว่าคุณได้ก้าวข้ามเรื่องแย่ ๆ ในชีวิตแล้วมาอยู่ตรงนี้ แค่นี้คุณก็สุดยอดแล้วล่ะ
วันนั้นฉันค้นพบความสามารถพิเศษอย่างหนึ่ง ฉันสามารถสติแตกไปด้วยพูดภาษาที่สองไปด้วยแบบไม่ติดขัด เพราะบทสนทนาเมื่อกี้ฉันแปลคร่าว ๆ เท่าที่จำได้จากภาษาอังกฤษ
ครั้งนั้นก็เป็นก้าวหนึ่งที่ฉันสามารถเปิดใจพูดเรื่องนี้กับคนไม่รู้จักได้ แล้วฉันก็กลายเป็นคนที่ค่อนข้างเปิดกว้างกับอาการป่วยของตัวเองไปเลย แต่เอาเข้าจริง จะพูดหรือเขียนกี่รอบ ๆ ก็รู้สึกว่าไปสะกิดแผลเก่าเมื่อหลายปีก่อนอยู่ดี แค่มันเจ็บน้อยลงเท่านั้นเอง
การเขียนแบบ stream of consciousness นี่ทำให้เรื่องความสุขเป็นเรื่องสุขภาพจิตแบบยาวเหยียดได้ ตลกดีเหมือนกัน
ถ้าจะให้กลับมาพูดเรื่องความสุขต่อ ทุกวันนี้ฉันพยายามหาอะไรเป็นความสุขเล็ก ๆ น้อย ๆ ในแต่ละวัน ชีวิตจะได้ดูไม่ดิ่งเกินไปนัก
กาแฟตอนเช้าอร่อยเป็นความสุข
แมวจรขาประจำมาที่บ้านก็เป็นความสุข
ต้นไม้ที่ปลูกไว้งอกใบใหม่ก็เป็นความสุขเหมือนกัน
ส่วนตอนนี้ ฉันควรจะตบบ่าตัวเองและบอกว่า หลายปีมานี้ทำได้ดีแล้วล่ะ และสักวันหนึ่งฉันก็สามารถมีชีวิตที่ "เกี่ยวเนื่องกับความสุข" เหมือนชื่อตัวเองได้ ฉันเชื่ออย่างนั้นแหละ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in