เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
นางฟ้าตกสวรรค์
  • ณ ดินแดนแห่งหนึ่งที่ไกลแสนไกล เหล่าคนบาปเดินสวนทางกันวกวน บางคนวิตกกังวลเกินกว่าปกติ บางคนร้องไห้ตลอดเวลาด้วยความเศร้า บางคนร้องไห้อย่างรุนแรงผสมไปกับหัวเราะอย่างร่าเริง บางคนนอนจมกองเลือดที่ไหลออกมาจากร่างกาย ฉันคือหนึ่งในนั้น เลือดสีแดงสกปรกไหลนองพื้น ตัวของฉันซูบซีดน่าเวทนา ทุกคนในดินแดนนี้ต่างแหงนหน้ามองท้องฟ้า รอคอยให้ท้องฟ้าเปิดทางออก เมื่อถึงเวลานั้นก้อนเมฆขมุกขมัวที่ปกคลุมดินแดนแสนเศร้าแห่งนี้จะเปิดออก เห็นเหล่านางฟ้าและเทพบุตรบินไปมาขวักไขว่อยู่บนสวรรค์ นางฟ้าและเทพบุตรเหล่านั้นไม่ได้อยู่กินสุขสบายเหมือนอย่างในเทพนิยายอื่นๆเคยกล่าวเอาไว้ พวกเขาต้องทำงานและเล่าเรียนทุกวัน เพื่อให้รู้ซึ่งจิตใจของเหล่าคนบาป เมื่อสวรรค์เปิดทางเหล่านางฟ้าและเทพบุตรจะประจำอยู่ที่แท่นสารภาพบาป คอยรับฟังเหล่าคนบาปสารภาพถึงสิ่งที่ตนได้กระทำลงไป และคอยให้คำปรึกษาและแก้ปัญหาชีวิตให้เหล่าคนบาปเหล่านั้น ฉันเองได้แต่นั่งรอคอยวันที่สวรรค์เปิดอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
    แล้ววันนั้นก็มาถึง ฉันไปเข้าคิวที่แท่นสารภาพบาปเป็นคนแรกๆ ฉันสารภาพทุกแผลทุกคมมีดที่ได้กระทำกับตัวเอง ร้องห่มร้องไห้ให้กับความเศร้าที่เข้ามารุมเร้าในจิตใจ เทพบุตรประจำตัวฉันรับฟัง พยักหน้า และให้คำแนะนำแก่ฉันอย่างดี เมื่อเสร็จธุระที่แท่นสารภาพบาปแล้วฉันเดินไปเข้าคิวรับอาหารทิพเยียวยาจิตใจ ก่อนจะมานั่งจมกองเลือดเกรอะกรังที่ฉันลงมีดกับแขนซ้ายของตัวเองเอาไว้เมื่อวาน 
         "กรี๊ดดดดดด" เสียงนางฟ้าตนหนึ่งกรีดร้องออกมาสุดเสียง ฉันแหงนหน้าขึ้นไปดูยังสวรรค์ว่าเกิดเหตุอะไรขึ้น ฉับพลันสายตาก็สบเข้ากับกองเลือดสีทองของนางฟ้าเอมิเลียที่ฉันคุ้นเคยเป็นอย่างดี คนบาปนางหนึ่งยืนอยู่ที่หน้าแท่นสารภาพบาปพร้อมกับกริชอันใหญ่ หน้าอกของนางฟ้าเอมิเลียเปิดออก เลือดสีทองพุ่งไหลออกมาไม่ขาดสาย เทพบุตรเจมส์บินผละจากแท่นสารภาพบาปเพื่อไปห้ามเลือดและประคองนางฟ้าเอมิเลียไปยังน้ำตกศักดิ์สิทธิ์เพื่อรักษารอยแผลนั้น
    คนบาปนางนั้นฉันเคยเห็นนางเดินไปมาด้วยความเครียด ในมือมีหนังสือที่นางต้องใช้เรียนในแต่ละวัน อายุนางยังอ่อนเยาว์นักเมื่อเทียบกับความเครียดที่นางต้องแบกรับเอาไว้ แต่ในวันที่สวรรค์เปิดฉันไม่นึกเลยว่าแทนที่จะเป็นหนังสือ นางกลับถือกริชสีเงินเพื่อไปแทงนางฟ้าเอมิเลียผู้มีเมตตา 
         "ใครในที่นี้มีเลือดสีทองบ้าง เอมิเลียขาดเลือดจำนวนมาก จำเป็นต้องใช้เลือดของผู้อื่นมาทดแทน" เทพบุตรตนหนึ่งประกาศหานางฟ้าหรือเทพบุตรที่มีเลือดสีทองเหมือนนางฟ้าเอมิเลีย ฉันอยากขึ้นไปบนสวรรค์เพื่อช่วยนางฟ้าผู้ที่เคยเมตตาต่อฉัน แต่ฉันไม่มีเลือดสีทอง เหล่าคนบาปเองก็ไม่มีใครมีเลือดสีทอง เลือดของเราต่างสกปรกจนไม่สามารถเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ ถึงอย่างนั้นฉันมารู้ทีหลังว่ามีชาวบ้านจากดินแดนอื่นที่มีเลือดสีทองมาบริจาคเลือดให้แก่นางฟ้าเอมิเลียมากมาย นางฟ้าผู้มีเมตตาผ่านวิกฤตอันตรายได้อย่างหวุดหวิด ก้อนเมฆลอยเข้ามาปกคลุมดินแดนของคนบาปอีกครั้ง สวรรค์ปิดลงแล้ว ฉันไม่รู้ว่านางฟ้าเอมิเลียจะเป็นอย่างไรบ้าง ฉันนั่งกัดกลุ้มอยู่ในกองเลือดของตัวเองโดยไม่รู้เลยว่ามีความรู้สึกประหลาดกำลังก่อตัวขึ้นในหัวใจของฉัน 'ความอิจฉา' , 'ความหึงหวง' , 'ความปรารถนาไม่มีที่สิ้นสุด' ฉากที่เทพบุตรเจมส์ประคองนางฟ้าเอมิเลียออกไปจากแท่นสารภาพบาปหลังถูกแทงวกวนในสมองของฉัน หากฉันบาดเจ็บบ้างเทพบุตรเจมส์ผู้หล่อเหลาจะลงจากสวรรค์มาช่วยฉันไหม ฉันรู้ว่าไม่มีเทพบุตรหรือนางฟ้าตนใดลงมาถ้าสวรรค์ไม่เปิด ถึงอย่างนั้นฉันก็ยังเอามีดที่ติดตัวมาแต่กำเนิดแทงท้องแขนของตัวเองไม่หยุด เลือดสีแดงที่เคยเกรอะกรังบัดนี้เหนียวข้นและเหม็นสาปคละคลุ้งไปทั่ว อาหารทิพย์ที่ได้รับมาหลังสารภาพบาปไม่ช่วยให้ฉันหยุดทำร้ายตัวเองได้เลย
    ...........................................................................
    ฉันปิดหนังสือเทพนิยายที่กำลังอ่านลง
         "หมอต้องไปเรียนต่อที่อังกฤษนะครับ" หมอ C บอกกับฉันในวันหนึ่ง แน่นอนว่าฉันช็อก รับไม่ได้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้เช่นกัน หมอ C ต้องไปเรียนต่อปริญญาเอกตามหน้าที่ของอาจารย์หมอทั่วไป
         "เดือนหน้าหมอต้องออกไปตรวจข้างนอกนะครับ หมอคงต้องฝากเคสของคุณไว้กับหมอ W" หมอ N บอกกับฉันในอีก 2 วันถัดมา
    'ใครๆก็ทิ้งฉันไปหมด'
    ฉันรู้ว่าความคิดนี้มันไม่ถูกต้อง หมอทุกคนไม่ได้ต้องการทิ้งฉันไป หมอแค่ไปทำหน้าที่ของตัวเอง ฉันเองก็มีหน้าที่ของคนไข้ที่ดีต้องทำเหมือนกัน ไม่ว่าจะรักษากับหมอคนไหน ฉันต้องกินยาให้ตรงเวลา อัพเดตอาการกับหมออยู่เสมอตามความเป็นจริง และเข้าบำบัดทุกอาทิตย์เพื่อประคับประคองจิตใจให้สงบ ถึงอย่างนั้นฉันก็อดมีความคิดว่า 'ใครๆก็ทิ้งฉันไปหมด' เข้ามารบกวนในสมองอยู่เสมอ ในแต่ละวันนอกจากฉันจะต้องห้ามใจไม่ทำร้ายตัวเองแล้วฉันยังต้องคอยกำจัดความคิดไม่จริงนี้ออกไปจากสมองอีกด้วย เพราะอย่างนี้แทนที่ฉันจะได้ใช้เวลาว่างที่มีไปกับการขายหนังสือ อัพเดตหนังสือ กลับต้องเอาเวลาเหล่านั้นมาเช็ดน้ำตา เลือด และน้ำหนองออกจากแผลอยู่ไม่ขาด
    อีกไม่นานเหล่าหมอประจำบ้านที่รักษาฉันแทนหมอ C ก็จะเรียนจบและแยกย้ายกันไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆ ไม่รู้ว่าไปไหนบ้าง ถึงตอนนั้นไม่ว่าจะหมอ A ผู้เมตตา, หมอ J ที่รัก, หมอ N ผู้สุภาพเรียบร้อย และหมอ W สุดเถื่อนแต่ตรงไปตรงมา ไม่ว่าใครก็ต้องทิ้งฉันให้ต่อสู้กับโรคซึมเศร้าตามลำพัง ถึงแม้ฉันจะมีเพื่อนผู้ป่วยที่เข้าใจกันเป็นอย่างดี แต่ฉันไม่รู้เลยว่าวันหนึ่งเพื่อนคนไหนจะฆ่าตัวตายสำเร็จและจากฉันไปอีกคน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองลอยเคว้งคว้างอยู่ในอวกาศ ไม่มีจุดหมาย ไม่มีทิศทาง ไม่มีเข็มทิศ มืด และโดดเดี่ยว
    เช้าวันที่สดใสวันหนึ่ง ฉันตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกรังเกียจตัวเอง รังเกียจสิ่งที่ตัวเองเป็น รังเกียจความคิดที่ก่อเกิดในสมองของฉัน ความคิดที่ว่าฉันมันเหม็นเน่าเหมือนขยะเปียกที่ต้องเอาไปกำจัดโดยเร็วมันเข้ามาวกวนอยู่ในสมอง ฉันรู้สึกพะอืดพะอมคล้ายจะอ้วกออกมาให้รู้แล้วรู้รอด ฉันอิจฉานางฟ้าเอมิเลียผู้เมตตาของฉัน นางเป็นคนที่คอยให้คำปรึกษาแก่ฉัน คอยรับฟังคำสารภาพบาปของฉัน และคอยให้คำแนะนำที่เป็นประโยชน์อย่างจริงใจ ฉันรู้สึกกลัวมากเมื่อรู้ข่าวของนางฟ้าเอมิเลียในตอนแรก ฉันขอพรให้ชื่อในข่าวไม่ใช่ชื่อของนางทั้งๆที่ฉันจำชื่อและนามสกุลของนางได้ขึ้นใจ 'ทำไมฉันไม่อยู่ตรงนั้น ฉันช่วยอะไรนางฟ้าไม่ได้หรอก แต่อย่างน้อยไอ้คนบาปนั้นก็จะไม่รอดมือฉันไปได้' ฉันพร้อมจะทำเลวได้เพื่อแก้แค้นให้นาง ถึงแม้นางจะไม่ยินยอมหรือไม่รู้สึกแค้นเลยก็ตาม ฉันเพิ่งรู้ว่าเทพบุตรเจมส์ที่เข้ามาช่วยนางในวันนั้นคือใคร ฉันอิจฉานางฟ้า ฉันรังเกียจความคิดอย่างนี้ ฉันรู้ดีว่าไม่ควรมีความคิดอย่างนี้ในสมองเลย ฉันรู้สึกอิจฉาและเป็นห่วงนางฟ้าเอมิเลียในเวลาเดียวกัน
         "แกร้สึกเป็นห่วงและอิจฉาคนๆเดียวกันในเวลาเดียวกันได้เว่ย มันเป็นอารมณ์ปกติของมนุษย์" เพื่อนผู้เรียนจิตวิทยาบอกกับฉันหลังจากฟังฉันสารภาพบาปออกไป
         "แต่ในความคิดแล้วมันรู้สึกว่าไม่ควรมีความอิจฉานี้อ่า ไม่มีใครอยากไปอยู่ในตำแหน่งนั้น ไม่มีใครอยากถูกแทง ยกเว้นตัวกู แค่คิดว่าถ้าเค้าเข้ามาเคียงข้างกูในช่วง hard life ที่สุดของชีวิตก็คงจะดี"
         "มันเป็นอารมณ์ปกติจริงๆ มึงเชื่อกู"
    เราถกเถียงกันอยู่นาน 2 ชั่วโมง สุดท้ายมาจบที่ว่า ฉันมีความรู้สึกไม่ไว้ใจหมอคนไหนเลยนอกจากหมอ C (ไม่รู้มาเข้าประเด็นนี้ได้ยังไงเหมือนกัน) หมอทุกคนที่อยู่ในชั้นปีเดียวกันกับหมอ J ล้วนเป็นหมอที่มีอายุไล่เลี่ยกันกับฉันทั้งนั้น และฉันรู้ดีว่าในวัยนี้เมื่อเหล้าเข้าปาก ต่อให้เป็นผู้ชายก็นินทาใครก็ได้ที่แวบเข้ามาในหัวท่ามกลางวงเหล้า แล้วถ้าหมอนินทาฉันล่ะ ถ้าหมอเอาฉันไปพูดและมองฉันเป็นตัวตลกล่ะ ฉันรู้ว่าความคิดนี้มันบั่นทอนความไว้ใจที่มีต่อหมอมากมายขนาดไหน แต่ขอขอบคุณที่มันก็ทำให้ฉันรู้สึกรักหมอ J น้อยลง ในความเป็นจริงหมอ J ผู้เคร่งครัดในจรรญาบรรณแพทย์คงไม่เอาฉันไปพูดเสียๆหายๆอยู่แล้ว แต่ฉันไม่สามารถไว้ใจใครได้อีกเลย

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in