เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ห้องตรวจหมายเลข 5นักเล่าเรื่อง
ไตวายเฉียบพลัน!
  • ฉันจำได้ว่าวันนั้นเป็นวันที่ฝนตกปริยๆตั้งแต่เช้า และทิ้งเม็ดฝนแหมะๆน้อยๆเมื่อพ่อของฉันไปส่งฉันที่สนามบิน ฉันทั้งจูบทั้งหอมหลานสาวคนเล็กด้วยความคิดถึงที่ต้องลาจาก หลานสาวเบ้ศีรษะหนีด้วยความไม่รู้ ฉันสะพายกระเป๋าลายมิกกี้เมาส์คู่ใจขึ้นไปบนรถปาเจโร่ของพ่อ เสียงล้อรถเบียดถนนขับออกไปสนามบินที่ไม่ไกลจากบ้านนัก ฉันสวัสดีลาพ่อ ส่วนแม่สั่งลาตั้งแต่ที่บ้าน “เสร็จธุระแล้วรีบกลับมานะ” แม่ตะโกนบอกก่อนที่ฉันจะปิดประตูรถ ไม่มีใครรู้ว่าในหัวของฉันมีแผนการอะไรซักอย่างอีกแล้ว คราวนี้มันต้องสำเร็จ หรือถ้าไม่สำเร็จมันก็คงไม่หนักหนาถึงขั้นต้องไปโรงพยาบาล ตั้งกี่ครั้งกี่หนแล้วที่แม่ต้องซื้อตั๋วเครื่องบินด่วนขึ้นไปกรุงเทพเพื่อไปจัดการค่าใช้จ่ายของฉันที่ห้องฉุกเฉินของโรงพยาบาล กินยาเกินขนาดบ้าง รมควันตัวเองบ้าง กรีดแขนขาบ้าง สารพัดจะพูดถึงได้หมด 
    ฉันเดินลงมาจากเครื่องบินพร้อมกระเป๋าเป้มิกกี้ใบนั้นและเดินอย่างมั่นใจไปขึ้นรถเมล์ที่ทางออก 8 บรรยากาศทุกอย่างช่างคุ้นเคย ฉันต้องเทียวไปเที่ยวมากรุงเทพ-กระบี่นับครั้งไม่ถ้วน เพราะฉันต้องกลับไปอยู่บ้าน ในขณะที่หมอก็นัดฉันทุก 2 อาทิตย์ บางครั้งนัดเพื่อพูดคุยเช็คสภาพจิตใจและให้ยา บางครั้งหลังพูดคุยแล้วฉันต้องเข้าวอร์ดจิตเวชผู้ป่วยใน ซึ่งแม่ก็ต้องบินด่วนขึ้นมาอีก บางครั้งก็มารับยาเคตามีนตามนัด อากาศร้อนแห้งและสายลมร้อนพัดวูบมาพร้อมกับรถเมล์สาย A1 ฉันขึ้นไปนั่งบนรถและมีความรู้สึกว่า นี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันจะได้เห็นภาพนี้ ฉันถ่ายภาพทุกอย่างที่ขวางหน้าและที่เห็นว่ามันอาร์ตซะเหลือเกิน ฉันถ่ายรูปป้ายทางออกฉุกเฉิน, รางรถไฟฟ้าหลังคอนโด, ท้องฟ้าขมุกขมัวที่ริมระเบียง ฉันกำหนดแพลนเอาไว้หมดแล้วว่าฉันจะทำอะไรบ้างในแต่ละวัน
    “Enjoy the moment!
    K มีความตั้งใจดีเยอะอยู่แล้ว
    ขอให้รับรู้ และอยู่กับความรู้สึกนั้น
    ให้นานมากขึ้น

    แล้วมันจะค่อยๆดีขึ้นนะ
    แล้วมาเล่าให้หมอฟังว่าไปเจออะไร
    ไปทำอะไรมาบ้าง ✌?“
    11.00 นาฬิกาของวันต่อมาฉันเดินไปร้านสักที่ได้นัดแนะเอาไว้ แล้วสลักคำพูดของหัวหน้าหมอในวอร์ดที่เคยเขียนไว้ให้ฉัน คำพูดนั้นสลักอยู่ที่ขาอ่อนด้านซ้ายบนรอยแผลเป็นของฉันที่เคยใช้มีดผ่าตัดกรีดเสียจนเป็นริ้วรอยและคีลอยด์ “อย่าให้โดนสบู่นะคะ” พนักงานสักบอกแค่นั้นก่อนที่ฉันจะแต่งเนื้อแต่งตัวให้เรียบร้อยก่อนจ่ายเงินแล้วเดินออกจากร้านไป ฉันขึ้นรถไฟฟ้าไปที่ร้านขายยาเพื่อซื้อยาลดความดันมา 3 แผง หลังจากนั้นจึงไปร้านดอกไม้ สั่งดอกคาเนชั่นสีชมพู 1 ดอก สีขาว 2 ดอก “ช่วยจัดช่อให้หน่อยค่ะ ห่อแบบกลมๆธรรมดาก็ได้ค่ะ เอาแบบผู้ชายถือแล้วไม่เขิน” ฉันสั่งไปอย่างนั้น แล้วได้ดอกไม้ช่อขนาดปานกลางห่อกระดาษด้วยหนังสือพิมพ์ภาษาอังกฤษสีน้ำตาลและผูกริบบิ้นสีน้ำตาลเข้ม
    ดอกไม้ช่อนี้ฉันตั้งใจจะมอบให้หมอ C ในฐานะที่เราไม่ได้เจอกันเสียนาน เพราะ Covid-19 ทำให้คลินิกพิเศษต้องปิดไปชั่วคราว
    “สวัสดีค่ะ คิดถึงจังเลย อันนี้ให้หมอค่ะ” ฉันพูดและยื่นช่อดอกไม้ให้ในวันต่อมาซึ่งเป็นวันอาทิตย์ที่สดใส เราคุยเรื่องสรรพเพเหระกันก่อนครู่หนึ่ง ก่อนที่จะเข้าเรื่องอาการของฉันที่ยังมีอาการอยากทำร้ายร่างกายตัวเองและคิดฆ่าตัวตายอยู่ “คุณรู้แล้วรึยังว่าผมต้องไปเรียนต่อกันยายนนี้นะ” หมอพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ ฉันมัวแต่อึ้งปากค้างจนลืมถามว่าหมอจะไปประเทศไหนและจะไปนานเท่าไหร่ จะกลับมารักษาฉันอีกมั้ย (ถึงเวลานั้นฉันจะยังมีชีวิตอยู่อีกมั้ยก็ไม่รู้) เมื่อหมอพิจารณาแล้วว่ายังไม่น่าห่วงเท่าไหร่ก็ปล่อยฉันออกจากห้องไป เราใช้เวลาอยู่ในห้องนั้น พูดคุยกันเกือบชั่วโมงจนคนไข้ที่รอคิวด้านนอกหน้ายู่จนตากับจมูกแทบจะติดกัน
    วันจันทร์ต่อมาฉันก็ต้องไปโรงพยาบาลเดิมอีก เพื่อไปทำเคตามีน ฉันอธิษฐานเหลือเกินขอให้ได้เจอหมอ J แต่มันก็เป็นได้เพียงคำอธิษฐานของคนโชคร้ายคนหนึ่ง ฉันต้องทำเคตามีนกับหมอ P ที่คราวนี้มีหมอมือใหม่อีก 2 คนเข้ามาเรียนรู้งานด้วย ฉันนอนให้ยาเคตามีนคลอไปกับเสียงเพลง ในหัวคิดเรื่องหมอ C ที่ต้องไปเรียนต่างประเทศวนไปวนมา น้ำตาไหลจนฉันต้องสูดน้ำมูกเสียงดัง หมอ P เอากระดาษทิชชู่มาให้และบอกว่าพรุ่งนี้เดี๋ยวเราคุยกัน
    ต่อมาวันอังคารฉันมีนัดคุยกับหมอ P ในคลินิกในเวลาราชการ เราคุยกันเรื่องความคิด Self harm และเรื่องหมอ C กำลังจะไปเรียนต่อและฉันยอมรับไม่ได้ ถึงอย่างนั้นฉันก็ได้รับการปล่อยตัวออกมาจากห้อง ถึงแม้ฉันจะสารภาพกับหมอว่าเมื่อวานฉันโกหกน้ำหนักตัวเองไป 2 กิโลเพื่อให้ได้ยาเคตามีนมากขึ้น ฉันมีความคิดอยากกินเหล้าและอยากลองยาเสพติด (ที่หาซื้อได้ยากมาก และฉันหาซื้อไม่ได้) ฉันกลับบ้านมาพร้อมกับยาถุงใหญ่
    แผนที่อยู่ในหัวฉันก็คือกินยาลดความดันให้ความดันตก เหงื่อแตกและเกิดอาการเหมือนเมาเหล้า จากนั้นจึงเอามีดพับที่ฉันเตรียมไว้ (และผ่านด่านที่สนามบินอย่างประหลาด) มาเฉือนข้อมือที่เส้นเลือดใหญ่ รอคอยเวลาให้เลือดไหลจนหมดตัว จะตายหรือไม่ก็แล้วแต่ คราวนี้ฉันจะไม่ไปโรงพยาบาลหรือห้องฉุกเฉินใดๆอีก
    “ขอบริจาคเลือดกรุ้ป B Rh+ ด่วนเพื่อให้ พญ. …… ซึ่งถูกผู้ป่วยจิตเวชใช้มีดผลไม้แทงที่เหนือหัวใจ” ฉันเช็คเฟสบุ๊คแล้วเห็นข้อความนี้เข้า ฉันรีบแคปหน้าจอแล้วเอาไปถามพี่ T ว่านี่ใช่ชื่อหมอ A รึเปล่า คำตอบคือใช่ หมอที่โดนแทงคือหมอ A ส่วนคนแทงคือเด็กอายุ 24 ปีที่เครียดเรื่องเรียน ความรู้สึกวิตกกังวล ห่วงใย โกรธแค้น และสับสน ฉันซัดยาลดความดันขนาด 20 มิลลิกรัมเข้าไป 40 เม็ด และนั่งรอให้ยาออกฤทธิ์ ฉันรู้ว่าการทำอย่างนี้ไม่ได้ช่วยหมอ A ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น แต่ฉันก็ยังกินยาเข้าไปด้วยมือที่สั่นเทา แปลก คราวนี้เหมือนฉันจะดื้อยา ฉันไม่รู้สึกเวียนหัว เหงื่อแตกหรือเมายา ฉันเช็คความดันของตัวเองแล้วเห็นว่าความดันตกจนเหลือ 65 แต่ก็ยังไม่มีอาการผิดปกติใดๆ คืนนั้นฉันเข้านอนตามปกติโดยมีถังขยะตั้งไว้ข้างหัวเตียง เพราะรู้สึกพะอืดพะอม 5 ทุ่มของคืนนั้นฉันลุกขึ้นมาอ้วก สิ่งที่ออกมามันไม่ใช่ข้าวผัดอินเดียที่ฉันกินเข้าไปเมื่อเที่ยง แต่มันคือน้ำสีน้ำตาลเข้มกลิ่นเหม็นหึ่ง คืนนั้นฉันร้องโอดโอยด้วยความคลื่นเหียนและปวดท้องด้านซ้าย ฉันปวดฉี่แต่ฉี่ไม่ออกเป็นสิบๆครั้ง เช้าวันต่อมาฉันจึงโทรหาพี่ T (ทั้งๆที่คิดว่าจะไม่โทรหาใครแล้ว) อธิบายอาการให้พี่ T ฟัง “นี่คือฉุกเฉินแล้วยังคะ ตอนนี้ความดันขวัญดีขึ้นแล้วนะคะ มันขึ้นมาเป็น 88 แล้วค่ะ” พี่ T แนะนำให้มาที่ห้องฉุกเฉินก่อน หลังจากนั้นฉันจึงตัดสินใจนั่งรถแท็กซี่ไปห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลที่ฉันรักษาซึมเศร้าอยู่ หลังจากบรรยายอาการไปแล้วฉันถูกจับให้เปลี่ยนเป็นชุดสีม่วงซึ่งเป็นชุดประจำของผู้ป่วยจิตเวช แล้วนอนรอหมออยู่ในมุมหนึ่งของห้องฉุกเฉิน มีหมออายุรกรรมเวียนกันมาถามอาการเพิ่มเติม และโดนสวนท่อฉี่ไปตามระเบียบ “หมอ A เป็นยังไงบ้างคะ” ฉันถามหมอ V ทันทีที่หมอเดินเข้ามา “หมอ A ปลอดภัยแล้วค่ะ อาจารย์หมอกำลังช่วยกันรักษาอยู่ ไม่ต้องห่วงนะ มีคนมาบริจาคเลือดให้หมอตั้ง 300 กว่าคนแน่ะ” น้ำตาของฉันหยดเผาะ ฉันทำอะไรที่มีประโยชน์กับหมอ A ไม่ได้เลยซักนิดเดียว “เราต้องรีเฟอร์คุณไปโรงพยาบาลสิรินธรนะ” หมอเตี้ยๆคล้ำๆคนหนึ่งเดินมาบอกฉัน ฉันขอหมอปฏิเสธการรักษาทุกวิิถีทางถ้าฉันต้องโดนรีเฟอร์ หมอต่างๆทำเหมือนให้ความหวังฉันว่าฉันจะได้กลับบ้าน แต่ไม่มีใครยอมรับการปฏิเสธการรักษาของฉันซักคน “คุณอาจจะตายได้นะ” “ได้ค่ะ” ฉันตอบด้วยความมั่นใจ ฉันเป็นผู้ป่วยจิตเวชนี่นะ ความตายเหมือนเป็นเพื่อนฉันไปเสียแล้วฉันจะต้องกลัวอะไรอีก เมื่อไม่มีพยาบาลคนไหนมาแกะสายน้ำเกลือให้ฉันจึงแกะมันออกเอง เลือดพุ่งปรี๊ดออกมาจนฉันเองก็ตกใจ ฉันรีบกดห้ามเลือดด้วยผ้าห่ม ยังดีที่ผ้าห่มเป็นสีม่วงเข้ม จึงมองไม่เห็นเลือดที่ฉันกดเอาไว้ ไม่ใช่แค่นั้นฉันยังดึงท่อฉั่ออกมาด้วยตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่เจ็บมากถึงมากที่สุด “อวัยวะเพศคุณอาจฉีกขาดได้นะ” พยาบาลคนหนึ่งมาเห็นและพูดขึ้นอย่างอารมณ์เสีย “ก็ฉันบอกพยาบาลตั้งหลายคนแล้ว ไม่มีใครมาแกะให้เลยนี่คะ” ฉันเถียงทันควัน หลังจากนั้นไม่นานชายประมาณ 10 คนวิ่งเข้ามารุมจับฉันกดไว้ ฉันขัดขืนสุดฤทธิ์เท่าที่ทำได้ ทั้งปัดป่ายมือไปทั่วและถีบขาไปมา รวมทั้งดึงเนคไทของผู้ชายคนหนึ่ง หวังให้มันผู้คอผู้ชายคนนั้นจนหายใจไม่ออด ฉันถูกจับกดให้ติดกับเตียงก่อนจะเข็นขึ้นรถโรงพยาบาลของสิรินธร แวเลี่ยมขนาด 5 มิลลิกรัมที่โดนพยาบาลปักเข้าไปเพิ่งจะออกฤทธิ์ตอนที่ฉันไปถึงโรงพยาบาลสิรินธรแล้ว ฉันตื่นมาแล้วต้องเปลี่ยนชุดคนไข้อย่างช่วยไม่ได้ อาการป่วยของฉันดีขึ้นนอกจากอาการฉี่ไม่ออก ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงคืนแล้ว ฉันหลับไปอย่างอ่อนแรง
    เช้าวันต่อมาจึงมีหมออายุรกรรมมาเช็คอาการของฉันและบอกฉันว่า “คุณไตวายเฉียบพลัน แต่ตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว ผมให้น้ำเกลือกับยาไปแล้ว” และเดินไปเตียงคนไข้ต่อไป ไม่น่าเชื่อเลยว่าในชีวิตของฉันจะมีประสบการณ์ไตวายเฉียบพลันกับเขาด้วย ซึ่งจะแตกต่างกับไตวายเรื้อรัง เพราะถ้าไตวายเรื้อรังเมื่อไหร่ฉันต้องฟอกไตบ่อยๆ เข้าออกโรงพยาบาลเหมือนบ้านตัวเอง แผนกินยาเกินขนาดถูกพับเก็บไปในก้นลึกของสมองตลอดกาล

    ไตวายเฉียบพลัน : เกิดจากการคั่งของของเสีย มีอาการหิวน้ำ ฉี่น้อยหรือฉี่ไม่ออกเลย ปวดท้อง อาเจียน เบื่ออาหาร หายใจลำบาก ปริมาณน้ำและเกลือแร่ในร่างกายผิดปกติ 
    ไตวายเรื้อรัง : ภาวะที่มีการทำลายเนื้อไตอย่างต่อเนื่องช้าๆ ทำให้ไตมีขนาดเล็กลงๆและไม่สามารถกลับมาทำงานได้อีก ส่งนใหญ่จะไม่มีอาการที่ชัดเจน

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in