*รีวิวนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวของผู้เขียนล้วนๆ ขอย้ำว่า ล้วนๆ
**ส่วนไหนผิดพลาดยังไง ขออภัยมา ณ ที่นี้ด้วยครับ หรือจะคอมเมนต์ติชมที่ด้านล่างก็ได้ครับ _/\_
Directed by: Chris Smith
Genre: Documentary
Runtime: 97 mins
ขอเกริ่นก่อนละกันนะครับว่าไอ้สารคดีนี้มันมีที่มาที่ไปยังไง เพราะดูจากโปสเตอร์อย่างเดียวคงเดาไม่ออกแน่ๆว่ามันจะมาไม้ไหน แต่นี่ไม่ใช่สารคดีที่เกี่ยวกับการรณรงค์ลดขยะแต่อย่างใดนะครับ =v=
เอาแบบรวบๆเลยละกันนะครับ :
Fyre Festival เนี่ย มีเจ้าของไอเดียของงานก็คือ
Billy McFarland ซึ่งก็คงไม่รู้จักกันหรอก Billy เนี่ยเป็น enterpreneur ของแบรนด์ Magnises (ซึ่งก็คงไม่รู้จักกันอีกแหละ) ก็คงจะรวยประมาณนึงเลยแหละ ส่วนเจ้าของไอเดียอีกคนก็คือ
Ja Rule เขาคือแรปเปอร์ชาวอเมริกันที่ผู้เขียนไม่ทราบเลยว่าเขามีผลงานเด่นๆอะไรบ้าง แต่เอาเป็นว่า ทั้งสองคนนี้คิดจะ organize เทศกาลดนตรีอันนึงขึ้นมา ก็คือ Fyre Festival นี่แหละ ทั้งสองคุยกันเป็นจริงเป็นจังเลยว่า '
เราอยากทำเทศกาลดนตรีที่มันจะต้องปฏิวัติวงการเทศกาลดนตรีทุกงานบนโลกไปเลย' แพลนของงานคือ งานจะจัดที่เกาะๆนึงที่บาฮามาส มีวงดนตรีและศิลปินดังๆเช่น Blink-182, Major Lazer มาแสดง มี services และ utilities หลักๆคือ ห้องพักระดับวิลล่าที่หรูเลิศ อาหารเกรดพรีเมี่ยม และเครื่องสาธารณูปโภคครบเครื่อง เรียกว่าสบายสุดๆไปเลย
Billy McFarland และ Ja Rule (photo credit: hiphopDX)
ต่อมา ทั้งสองคนก็จ้าง influencer ชื่อดังระดับโลก เพื่อให้โปรโมตไอ้งานนี้ให้หน่อย ซึ่งเหล่า influencer ก็มีแบบ Kendall Jenner เอย Bella Hadid เอย Hailey Baldwin เอย หรือจะ Emily Ratajkowski โดยทั้งหมดนี้ก็รับเงินจากทั้งสอง organizer มาแล้วก็จัดการโพสต์โปรโมตลง
Instagram คนก็มาไลค์ สนอกสนใจกันมาก ก็มีซื้อตั๋ว early bird ตั๋ว VIP อะไรก็ว่าไป (ไอ้บัตร VIP เนี่ยราคา $250,000 เลยนะครับถ้าจำไม่ผิด) Billy กับ Ja ก็จ้างคนมาจัดการอะไรเสร็จสรรพ มั่นใจมากว่าเทศกาลของพวกเขาจะต้องออกมาเพอร์เฟกต์อย่างที่คิดไว้แน่นอน
ตัดภาพมาวันงานจริงๆ คนที่หวังจะได้นอนสบายๆในห้องพักวิลล่าสุดหรูที่ organizer ตัวดีได้โฆษณาไว้ ก็เป็นว่าต้องมานอนเป็นผักบุ้งบนที่นอนเปียกๆในเต็นท์ที่เอามาจากเมื่อครั้งที่พายุถล่มสหรัฐอเมริกา (พายุอะไรอันนี้ผู้เขียนไม่ทราบจริงๆ TvT)
หรือจะอาหารสุดหรูจากฝีมือเชฟระดับโลก ก็กลายเป็นแซนด์วิชชีส + สลัดผักธรรมดาๆที่ชวนให้อ้วกใส่เหลือเกิน
นอกจากนั้นก็ยังมีเหตุการณ์เกินคาดเดาต่างๆนาๆมากมาย (เช่น มีศิลปินยกเลิกงานแสดงกะทันหันก่อนงานเริ่มไม่กี่ชั่วโมง) ที่ชวนให้สงสัยมากว่า พวก organizer เอาเงินไปทำอะไรกันหมด จนไม่สามารถเตรียมตัวจัดงานที่พวกเขาให้คำมั่นสัญญาไว้ว่ามันจะต้องเป็นประสบการณ์ VIP ที่พวกคุณๆจะไม่มีวันลืม (ก็จริงของเขาอะแหละ ไม่มีวันลืมแน่นอน แต่มันไม่ใช่แบบนี้ไง!!) สุดท้ายก็มีแคนเซิลงานกันไป ยกเลิกกันตรงนั้นเลยนะ ระหว่างที่คนยังอยู่ที่นั่นเลย ผิดหวังกันถ้วนหน้า จากเทศกาลดนตรีบนชายหาด สู่หายนะบนเกาะห่างไกลผู้คนที่มีคนเปรียบเหตุการณ์นี้เสมือนในนิยาย
Lord of the Flies เลยทีเดียว
ในเวลาต่อมาผู้เสียหายก็ยื่นฟ้องร้องทั้ง Billy และ Ja ก็ขึ้นศาลไปตามระเบียบ
สิ่งที่หวัง vs. ความจริง (photo credit: Metro)
ตัวสารคดีนี้ หลักๆก็เล่าถึงที่มาที่ไปของงานนี้ มี interview จากผู้ที่เกี่ยวข้องกับงาน ไปจนถึงคนที่ไปเผชิญเหตุการณ์ตรงนั้นมาจริงๆ ตัดสลับกับวิดีโอจริงๆในช่วงขั้นตอนเตรียมงานบนเกาะที่ดูจริงจังและเป็นงานเป็นการมาก ดูแล้วเชื่อเลยว่างานมันจะต้องออกมาดีอย่างที่พวกเขาพูดไว้จริงๆ ตัวหนังเล่าเรื่องค่อนข้างฉับไว สนุกทีเดียวเลยล่ะ ดูแล้วก็ทึ่งกับความซับซ้อนของจิตใจคน ว่ามันทำกันได้ขนาดนี้เลยหรือ เข้าข่ายหลอกลวงเต็มๆ (Billy โดนข้อหา wire fraud ก็มีตัดสินคดีให้เข้าคุกไป และเหมือนจะโดนแบนจากการเป็นเจ้าของธุรกิจไปตลอดชีวิต) โดยรวมคิดว่าเป็นสารคดีอาชญากรรมที่คุณภาพโอเคเลยนะสำหรับ Netflix ดูเพลินๆ ได้ความรู้ทางประวัติศาสตร์ไปด้วย
ตัวผู้เขียนเองไม่เคยมีโอกาสได้ไปเทศกาลดนตรี หรือแม้แต่ไปดูคอนเสิร์ตเลย จริงๆก็อยากไปมากนะ แต่ด้วยเวลาและทรัพยากรที่มีไม่เพียงพอ (เงินนั่นแหละ55555) ก็เลยไม่มีทีท่าว่าจะได้ไปสักครั้ง แต่ถ้าได้ไปจริงๆ ขอเป็นงานที่ organizer ไม่ต้องมาสัญญาอะไรกับคนดู ขอคุณภาพเต็มๆเน้นๆให้เห็นเถอะครับ สงสารคนที่เค้าเสียเงินเข้าไปดูเนาะ ถ้าเจองานแบบนี้ คนที่พลาดเข้าไปคงเข็ดไปอีกยาว
ลิงค์สำหรับคนที่อยากดู (Netflix) :
Fyre ขอบคุณทุกๆคนที่เข้ามาอ่านครับ ^ ^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in