*บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ขอย้ำว่า ล้วนๆ
จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดโลกธรรมดาๆของเรา ดันมีผู้ที่มีพลังวิเศษปะปนอยู่กับเรา แต่คนๆนั้นดันไม่รู้ตัวเองว่ามีพลังวิเศษ ลองคิดดูเล่นๆนะว่า จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดซูเปอร์แมน ไม่รู้ว่าตัวเองบินได้ หรือมีความสามารถเหนือมนุษย์?
เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยผ่านตาหนังเรื่อง Unbreakable ที่เข้าฉายเมื่อปี 2000 (หรือปี พ.ศ. 2543) กำกับโดย M. Night Shyamalan ที่เพิ่งแจ้งเกิดสดๆมาเลยตอนกำกับ The Sixth Sense (1999) จนฉากหักมุมในตำนาน (ที่ทุกคนบนโลก ณ ปัจจุบันคงทราบกันดีว่ามันจบอย่างไร) ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ส่วน Unbreakable เนี่ย เล่าเรื่องของชายหนุ่มธรรมดาๆคนนึง ที่เป็นเพียงคนเดียวที่รอดจากอุบัติเหตุรถไฟตกรางครั้งใหญ่ จนมาค้นพบตอนหลังว่า เฮ้ย ฉันมีพลังวิเศษนี่หว่า ซึ่งหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นหนังฮีโร่บู๊แหลกและเป็นมิตรกับผู้ชมทุกวัยเหมือนหนังมาร์เวลยุคหลังๆแบบ The Avengers (2012) แต่กลับเป็นหนังดราม่า-ทริลเลอร์-จิตวิทยา ที่พาเราไปสำรวจอีกแง่มุมของการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งหนังก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในระดับนึง และค่อยๆสั่งสมบารมีมาจนถึงปัจจุบัน
ต่อมาในปี 2016 หนังแนวทริลเลอร์เรื่องที่สอง (หลังทำ The Visit (2015) ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่โอเค) ในรอบหลายปีของผกก. Shyamalan หลังเบนไปทำหนังหลากหลายแนวแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ (The Last Airbender (2010), After Earth (2013)) อย่าง Split ที่ว่าด้วยชายที่มีถึง 24 บุคลิก ก็ได้รับเสียงฮือฮาพอหอมปากหอมคอ ไม่ใช่แค่ตัวหนังที่เสียงวิจารณ์ดี หรือจะรายรับที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเกินทุนสร้างหลายเท่าตัว แต่ยังเป็นตอนจบของมันที่มีความเชื่อมโยงไปยัง Unbreakable ชนิดที่ว่าสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับหลายๆคนเลย ก็เป็นที่แน่ชัดแหละว่า Split นั้นเป็นหนังในจักรวาลเดียวกันกับ Unbreakable
มาเข้าเรื่องกันบ้าง กับ Glass ที่หลายๆคนต่างรอคอยกันมา เรื่องนี้ก็ยังไม่ทิ้งประเด็นการมีตัวตนของซูเปอร์ฮีโร่ไปไหน และก็ดูเหมือนว่าผกก.พยายามอย่างมากที่จะหาทางสรุปจุดนี้ให้ได้ดีที่สุด (เท่าที่จะทำได้) โดยเนื้อเรื่องหลักๆก็ว่าด้วย เดวิด ดันน์ (ไอ้หนุ่มคนนั้นที่รอดจากรถไฟตกรางอะแหละ) ที่ต้องหาทางหยุดยั้งสองวายร้าย เควิน (หนุ่ม 24 บุคลิก) และมิสเตอร์กลาส (ชายผิวดำที่กระดูกแตกหักง่ายมาก fragile ขั้นสุด แต่ฉลาดโคตร) ก่อนที่แผนร้ายบางอย่างของพวกเขาจะสำเร็จ
เควิน
อืมม... รู้นะว่าผกก.เค้ามีสไตล์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัวมาก มันปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่หนังเรื่องแรกของเขาแล้วแหละ คือเค้าจะเล่าเรื่องเนิบมาก เน้นให้คนดูซึมซับบรรยากาศของหนัง อย่างใน Signs (2002) ผกก.ก็พาเราไปเจอเอเลี่ยนในทุ่งข้าวโพด และบรรยากาศก็คือ ดีมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนกัน ก็คือเล่าเนิบอะแหละ แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้น่ะสิ... ส่วนตัวมองว่า นี่คือหนังที่จะเป็นบทสรุปของทุกๆสิ่งที่คุณสร้างเอาไว้เมื่อ 19 ปีก่อน มันควรจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยพลังงาน freshๆ และมาพร้อมเนื้อหาแบบ mind-blown ที่จะทำให้คนดูงงเป็นไก่ตาแตกสิ (หรือว่าเราคาดหวังกับมันเกินไป?) แต่เรารู้สึกว่า Glass เป็นหนังที่ขาดพลังในการที่จะโน้มน้าวคนดูให้เข้าไปสู่โลกของซูเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างที่เคยทำในสองเรื่องก่อนหน้า และอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าผกก.ทำหนังเนิบ Glass เนิบมาก เนิบจนน่าเบื่อ เรียกได้ว่าถ้าคนทำงานมาหนักๆแล้วซื้อตั๋วมาดูเนี่ย นี่คือยานอนหลับชั้นดีเลยครับ นอกเหนือจากนี้บทยังมั่วมากในหลายๆจุด ขอยกตัวอย่าง ในเรื่องจะมีตัวละครใหม่ที่เป็นหมอ โดยหมอคนนี้ พยายามจะ convince ตัวละครทั้งสามให้เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้มี super-human power อย่างที่พวกเขาคิด ซึ่ง มันจะเป็นไปได้ไงอะในเมื่อคนดู (หรือแม้แต่ตัวละครในหนังเอง) ก็ได้เห็นแล้วว่าทั้งสามคนมีพลังเหนือมนุษย์จริงๆ
แต่โดยรวมเราว่าหนังไม่ได้แย่เลยนะ (ถ้าอ้างอิงจากเว็บไซต์วิจารณ์หนังชื่อดัง Rotten Tomatoes หนังมีเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยจากคะแนนทั้งหมดอยู่ที่ 42% ณ ขณะที่เขียน ซึ่งเคสนี้เห็นมาหลายเรื่องแล้วว่า คะแนนไม่ได้มีผลต่อความสนุกของหนังหรือลดความอยากดูของคนดูเลยแม้แต่น้อย (ก็อาจจะมีบางคนที่เค้า sensitive อะนะ)) ประเด็นการมีอยู่ของซูเปอร์ฮีโร่ยังคงทำหน้าที่ต่อยอดเรื่องราวได้ดีอยู่ ซึ่งเราชอบมากๆเลย เหมือนอย่าง The Incredibles (2004) หรือหนังตระกูล X-Men ที่พูดถึงการเมืองที่ว่าด้วยกฎหมายและความจำเป็นของซูเปอร์ฮีโร่ บทสรุปของ Glass เรามองว่าก็ค่อนข้างแฟร์ดีเมื่อเทียบกับการสูญเสียและเหตุผลต่างๆที่เกิดขึ้นในหนัง
สรุปเลยว่า Glass เหมาะสำหรับคนที่เคยดู Unbreakable หรือ Split มา แล้วรู้สึกอินกับโลกซูเปอร์ฮีโร่หม่นๆของ Shyamalan ส่วนใครไม่เคยดูแล้วอยากจะลองรสชาติของหนังฮีโร่ติดดินดูบ้าง ก็ลองดูได้ไม่เสียหายเลยครับ แต่หนังไม่ได้ friendly กับทุกคนนะ
จริงๆบางทีเราก็ควรตระหนักได้แล้วว่า หรือโลกใบนี้ของเราควรจะมีีซูเปอร์ฮีโร่ในอุดมคติสักคนไว้ปกป้องและเฝ้าดูแลเหตุการณ์ต่างๆบนโลก เพราะเมื่อมองดูดีๆแล้ว โลกของเรามันไม่ยุติธรรมกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย อยากให้มีคนแบบซูเปอร์แมนมากำจัดคอร์รัปชั่นออกไป คนแถวๆนี้แหละ ฮึ่ย! รำคาญ!!
Score: 6.5/10
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in