เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Cineflixvividswift
Glass (2019)
  • "This is not a cartoon. This is the real world."

    - Elijah Price


    *บทความนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวล้วนๆ ขอย้ำว่า ล้วนๆ


    จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดโลกธรรมดาๆของเรา ดันมีผู้ที่มีพลังวิเศษปะปนอยู่กับเรา แต่คนๆนั้นดันไม่รู้ตัวเองว่ามีพลังวิเศษ ลองคิดดูเล่นๆนะว่า จะเป็นอย่างไร ถ้าเกิดซูเปอร์แมน ไม่รู้ว่าตัวเองบินได้ หรือมีความสามารถเหนือมนุษย์? 

    เชื่อว่าหลายๆคนคงเคยผ่านตาหนังเรื่อง Unbreakable ที่เข้าฉายเมื่อปี 2000 (หรือปี พ.ศ. 2543) กำกับโดย M. Night Shyamalan ที่เพิ่งแจ้งเกิดสดๆมาเลยตอนกำกับ The Sixth Sense (1999) จนฉากหักมุมในตำนาน (ที่ทุกคนบนโลก ณ ปัจจุบันคงทราบกันดีว่ามันจบอย่างไร) ดังไปทั่วบ้านทั่วเมือง ส่วน Unbreakable เนี่ย เล่าเรื่องของชายหนุ่มธรรมดาๆคนนึง ที่เป็นเพียงคนเดียวที่รอดจากอุบัติเหตุรถไฟตกรางครั้งใหญ่ จนมาค้นพบตอนหลังว่า เฮ้ย ฉันมีพลังวิเศษนี่หว่า ซึ่งหนังเรื่องนี้ ไม่ได้เป็นหนังฮีโร่บู๊แหลกและเป็นมิตรกับผู้ชมทุกวัยเหมือนหนังมาร์เวลยุคหลังๆแบบ The Avengers (2012) แต่กลับเป็นหนังดราม่า-ทริลเลอร์-จิตวิทยา ที่พาเราไปสำรวจอีกแง่มุมของการเป็นซูเปอร์ฮีโร่ ซึ่งหนังก็ค่อนข้างเป็นที่รู้จักในระดับนึง และค่อยๆสั่งสมบารมีมาจนถึงปัจจุบัน

    เดวิด ดันน์

    ต่อมาในปี 2016 หนังแนวทริลเลอร์เรื่องที่สอง (หลังทำ The Visit (2015) ซึ่งก็ได้รับผลตอบรับที่โอเค) ในรอบหลายปีของผกก. Shyamalan หลังเบนไปทำหนังหลากหลายแนวแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ (The Last Airbender (2010), After Earth (2013)) อย่าง Split ที่ว่าด้วยชายที่มีถึง 24 บุคลิก ก็ได้รับเสียงฮือฮาพอหอมปากหอมคอ ไม่ใช่แค่ตัวหนังที่เสียงวิจารณ์ดี หรือจะรายรับที่เรียกได้ว่าประสบความสำเร็จเกินทุนสร้างหลายเท่าตัว แต่ยังเป็นตอนจบของมันที่มีความเชื่อมโยงไปยัง Unbreakable ชนิดที่ว่าสร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับหลายๆคนเลย ก็เป็นที่แน่ชัดแหละว่า Split นั้นเป็นหนังในจักรวาลเดียวกันกับ Unbreakable

    มาเข้าเรื่องกันบ้าง กับ Glass ที่หลายๆคนต่างรอคอยกันมา เรื่องนี้ก็ยังไม่ทิ้งประเด็นการมีตัวตนของซูเปอร์ฮีโร่ไปไหน และก็ดูเหมือนว่าผกก.พยายามอย่างมากที่จะหาทางสรุปจุดนี้ให้ได้ดีที่สุด (เท่าที่จะทำได้) โดยเนื้อเรื่องหลักๆก็ว่าด้วย เดวิด ดันน์ (ไอ้หนุ่มคนนั้นที่รอดจากรถไฟตกรางอะแหละ) ที่ต้องหาทางหยุดยั้งสองวายร้าย เควิน (หนุ่ม 24 บุคลิก) และมิสเตอร์กลาส (ชายผิวดำที่กระดูกแตกหักง่ายมาก fragile ขั้นสุด แต่ฉลาดโคตร) ก่อนที่แผนร้ายบางอย่างของพวกเขาจะสำเร็จ

    เควิน

    อืมม... รู้นะว่าผกก.เค้ามีสไตล์ที่ค่อนข้างเฉพาะตัวมาก มันปรากฏให้เห็นมาตั้งแต่หนังเรื่องแรกของเขาแล้วแหละ คือเค้าจะเล่าเรื่องเนิบมาก เน้นให้คนดูซึมซับบรรยากาศของหนัง อย่างใน Signs (2002) ผกก.ก็พาเราไปเจอเอเลี่ยนในทุ่งข้าวโพด และบรรยากาศก็คือ ดีมาก ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเหมือนกัน ก็คือเล่าเนิบอะแหละ แต่มันไม่ควรจะเป็นแบบนี้น่ะสิ... ส่วนตัวมองว่า นี่คือหนังที่จะเป็นบทสรุปของทุกๆสิ่งที่คุณสร้างเอาไว้เมื่อ 19 ปีก่อน มันควรจะเป็นหนังที่เต็มไปด้วยพลังงาน freshๆ และมาพร้อมเนื้อหาแบบ mind-blown ที่จะทำให้คนดูงงเป็นไก่ตาแตกสิ (หรือว่าเราคาดหวังกับมันเกินไป?) แต่เรารู้สึกว่า Glass เป็นหนังที่ขาดพลังในการที่จะโน้มน้าวคนดูให้เข้าไปสู่โลกของซูเปอร์ฮีโร่เหมือนอย่างที่เคยทำในสองเรื่องก่อนหน้า และอย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่าผกก.ทำหนังเนิบ Glass เนิบมาก เนิบจนน่าเบื่อ เรียกได้ว่าถ้าคนทำงานมาหนักๆแล้วซื้อตั๋วมาดูเนี่ย นี่คือยานอนหลับชั้นดีเลยครับ นอกเหนือจากนี้บทยังมั่วมากในหลายๆจุด ขอยกตัวอย่าง ในเรื่องจะมีตัวละครใหม่ที่เป็นหมอ โดยหมอคนนี้ พยายามจะ convince ตัวละครทั้งสามให้เชื่อว่าพวกเขาไม่ได้มี super-human power อย่างที่พวกเขาคิด ซึ่ง มันจะเป็นไปได้ไงอะในเมื่อคนดู (หรือแม้แต่ตัวละครในหนังเอง) ก็ได้เห็นแล้วว่าทั้งสามคนมีพลังเหนือมนุษย์จริงๆ

    แต่โดยรวมเราว่าหนังไม่ได้แย่เลยนะ (ถ้าอ้างอิงจากเว็บไซต์วิจารณ์หนังชื่อดัง Rotten Tomatoes หนังมีเปอร์เซ็นต์เฉลี่ยจากคะแนนทั้งหมดอยู่ที่ 42% ณ ขณะที่เขียน ซึ่งเคสนี้เห็นมาหลายเรื่องแล้วว่า คะแนนไม่ได้มีผลต่อความสนุกของหนังหรือลดความอยากดูของคนดูเลยแม้แต่น้อย (ก็อาจจะมีบางคนที่เค้า sensitive อะนะ)) ประเด็นการมีอยู่ของซูเปอร์ฮีโร่ยังคงทำหน้าที่ต่อยอดเรื่องราวได้ดีอยู่ ซึ่งเราชอบมากๆเลย เหมือนอย่าง The Incredibles (2004) หรือหนังตระกูล X-Men ที่พูดถึงการเมืองที่ว่าด้วยกฎหมายและความจำเป็นของซูเปอร์ฮีโร่ บทสรุปของ Glass เรามองว่าก็ค่อนข้างแฟร์ดีเมื่อเทียบกับการสูญเสียและเหตุผลต่างๆที่เกิดขึ้นในหนัง

    สรุปเลยว่า Glass เหมาะสำหรับคนที่เคยดู Unbreakable หรือ Split มา แล้วรู้สึกอินกับโลกซูเปอร์ฮีโร่หม่นๆของ Shyamalan ส่วนใครไม่เคยดูแล้วอยากจะลองรสชาติของหนังฮีโร่ติดดินดูบ้าง ก็ลองดูได้ไม่เสียหายเลยครับ แต่หนังไม่ได้ friendly กับทุกคนนะ

    จริงๆบางทีเราก็ควรตระหนักได้แล้วว่า หรือโลกใบนี้ของเราควรจะมีีซูเปอร์ฮีโร่ในอุดมคติสักคนไว้ปกป้องและเฝ้าดูแลเหตุการณ์ต่างๆบนโลก เพราะเมื่อมองดูดีๆแล้ว โลกของเรามันไม่ยุติธรรมกับพวกเราเลยแม้แต่น้อย อยากให้มีคนแบบซูเปอร์แมนมากำจัดคอร์รัปชั่นออกไป คนแถวๆนี้แหละ ฮึ่ย! รำคาญ!!


    Score: 6.5/10

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in