เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Somewhat assortedSilapa Junior
เรื่องสั้น
  • หนึ่งในความสุขพื้นฐานของใครก็ตามคือการมีคนชื่นชมในสิ่งที่เราทำ

    สิ่งนี้เป็นสัจจะนิรันดร์

    นักอบขนมยิ้มแก้มปริเหมือนเห็นลูกค้ากินคุ้กกี้ชิ้นโตจนหมด
    คุณหมอดีใจที่คุณยายยกมือขอบคุณที่ช่วยรักษากายบรรเทาทุกข์
    หรือนักข่าวนอนหลับสนิทเมื่อมีคนพูดถึงการรายงานข่าวของเขาในทางที่ดี

    ใช่ครับในฐานะนักเขียนมือสมัครเล่นคนหนึ่งก็เช่นกัน การชื่นชมของคนรอบข้างเป็นสิ่งที่ทำให้ผมมีแรงที่จะทำตามความฝันของผมต่อไป พอดีมีเพื่อนคนหนึ่งออกปากว่าอยากอ่านเรื่องสั้นผมก็ต้องอยากเขียนอยู่แล้ว ว่าจะเขียนเรื่องสั้นเกี่ยวกับเรื่องสั้นนี่แหละ

    หนังสือรวมเรื่องสั้นมักเป็นหนึ่งในขั้นแรกของนักเขียนบางท่านซึ่งผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าทำไม “ถ้าการเขียนนิยายเปรียบเสมือนการปลูกป่า การเขียนเรื่องสั้นก็คงคล้ายกับการจัดสวน”ฮารุกิ มุราคามิ เจ้าพ่อนักเขียนแห่งญี่ปุ่นได้บอกไว้ เดาว่าการเขียนเรื่องสั้นน่าจะเป็นหนึ่งในแบบทดสอบที่สามารถลับเหลาทักษะการเขียนอย่างครบครันในสเกลที่เล็กลงไม่โหดร้ายกับผู้เขียน(และผู้อ่าน) จนมากเกินไป

    เพื่อนผมเคยตั้งข้อสังเกตถามถึงหัวใจของเรื่องสั้น ทำไมเรื่องสั้นต้องแปลก ทำไมเรื่องสั้นต้องจบห้วนหรือมีองค์ประกอบของความเหนือจริงอยู่ตลอด ผมตอบไปว่า อาจจะไม่จำเป็นหัวใจของเรื่องสั้นก็คงเหมือนกับงานสร้างสรรค์อื่นๆ คือทำให้ผู้เสพย์ ‘รู้สึก’ แต่ด้วยความยาวไม่กี่หน้าเรื่องสั้นจึงมักได้รับอนุญาต ให้ปล่อยของได้อย่างไม่ต้องขี้เหนียว

    เวลาผมเขียนเรื่องสั้น ผมสนุกมันเหมือนเราได้ปูดโป้แต่งเรื่องได้ตามใจ สร้างสถานการณ์ที่อาจจะธรรมดาหรือพิลึกกึกกือและให้บทสรุปที่สอดคล้องหรือไม่ก็ได้ ขอแค่มันจบลง และสื่อบางอย่างออกไปได้

    สเน่ห์อีกอย่างของเรื่องสั้น ผมชอบที่เราไม่ต้องรู้ทุกอย่างมันช่างคล้ายกับการรู้จักคนคนหนึ่งในเวลาไม่เท่าไร มันสมจริง เปิดโอกาสให้ตีความและเพิ่มความน่าสนใจของเรื่องราวได้ดีไม่ต้องไปรู้ภูมิหลังและผังเครือญาติของตัวเอกให้มันหมดความขลังซะเปล่า ยกตัวเช่นการ์ตูนญี่ปุ่นชุดหนึ่งที่ผมซื้อเล่มที่ 3 มาอ่านก่อนแล้วรู้สึกชอบมากตกหลุมรักเลยก็ว่าได้ แต่พอไปตามอ่านเล่ม 1 2 4 กลับรู้สึกชอบน้อยลงเรื่อยๆเพราะเล่มที่ตามมา ให้ได้เพียงแค่ข้อมูลส่วนเติมเต็มของเล่มแรก ที่ไม่จำเป็นหรือไม่ผมก็อนุมานเอาเองไปแล้วเรียบร้อย

    ผมมักจะได้ไอเดียการเขียนมาจากชิ้นส่วนของความจริง หรือเศษเสี้ยวของเรื่องราวที่เคยได้ยินได้ฟังมา โดยมากแล้วพอได้เริ่มเขียน เหตุการณ์และตัวละครเหล่านั้นมักจะค่อยๆ ปะติดปะต่อและพัฒนาต่อไปได้ส่วนใหญ่มักว่าด้วยความสัมพันธ์ และสถานการณ์ที่สะท้อนถึงมุมมองชีวิต เป็นเรื่องเล่าที่อาจจะเคยเกิดขึ้นในมุมหนึ่งของโลกใบนี้
     

    หนุ่มช้ำรักกับอาการวิตกจริต
    ร้านกาแฟลึกลับที่ราคาเครื่องดื่มแปลผันตามอารมณ์
    มิตรภาพในสระว่ายน้ำของเพื่อนสมัยอนุบาล
    การแลกเปลี่ยนความรู้และขนมของเด็กประถมในบ่ายวันเสาร์
    แจ๊สคลับที่บรรจุความทรงจำสุดวิเศษแต่แสนเจ็บปวด
    สาวน้อยม.ต้นผู้ค้นพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง
    จิตวิญญาณของเกมบอยที่กลับชาติมาเกิด
    การว่าจ้างของหญิงขายบริการชั้นสูง และบริการฝันตามใจ
    สิ่งของจากชายแปลกหน้าณป้ายรถเมล์
    เธอผู้ใช้ปากกาเล่นครอสเวิร์ด
    กุหลาบสีแดงเรื่อในสุสาน
    กระถางลึกลับหน้าร้านอาหารเสฉวน
    ปิศาจแห่งลมที่แลกอิสรภาพด้วยความตาย
    การสัมภาษณ์งานที่อัดแน่ไปด้วย การบอกเลิก อ้วก และเสื้อลายลูกไม้
    บิสกิตสูตรพิเศษที่ใช้เวลาอบ 18 นาที
    ปรากฎการณ์มิราจและผีตากผ้าอ้อม
    เสียงเปรี้ยงในวันอากาศร้อนอบอ้าว
    จดหมายถึงเอลวิส เพรสลีย์
    ม้วนฟิล์มจากเมลเบิร์นในเดือนสิงหาปี 49 
    แม่มดที่หลงรักหนังดิสนีย์และนักไวโอลินที่อยากเล่นสเกตบอร์ดให้เก่ง
    พนักงานสำนักกษาปณ์ ลุงสมบัติและช่างแกะสลักความว่างเปล่า


    ผมชอบที่จะทึกทักเอาว่า ทุกตัวละครในแต่ละเรื่องสั้นที่ผมได้เขียนขึ้นล้วนมีชีวิตเป็นของตัวเอง เราแค่เป็นเหมือนผู้สื่อข่าวล่องหน ไปรับรู้เลยเรื่องราวและเก็บภาพเพียงช่วงหนึ่งของชีวิตพวกเขานั้นซึ่งผมชอบพวกเขาทั้งหมดทุกคนเลยล่ะ

    อยากจะขอบคุณเหตุปัจจัย ที่ดลใจให้ผมเริ่มเขียนเรื่องสั้นขึ้น ขอบคุณแรงกระตุ้นและฟีดแบกหลายรูปแบบที่ทำให้ผมชอบที่จะเขียนต่อ (ถึงจะไม่ค่อยสม่ำเสมอสักเท่าไร) ขอบคุณพื้นที่เล็กๆ ในหัวสมองและหน้ากระดาษ ที่อนุญาตให้ทุกความเป็นไปได้และเป็นไปไม่ได้นั้นเป็นไปได้

    หวังว่าคงไม่ว่าอะไร ถ้าเรื่องราวของพวกคุณอาจจะถูกผมขโมยไปผสมปนเป เฟ้อฟุ้งต่อเป็นเรื่องสั้นสักเรื่อง

    ยังไงก็ฝากอ่านฝากติชมด้วยนะครับ : )

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in