เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
บันทึกพัฒนาการtoffyqueen
ว่าด้วยความเบลนด์ | we need to talk about 'blending'
  • 27.12.2018 
    22:21 at Trondheim, Norway
    17 years old - a little bit sick + already broken


    (ท็อปปิกเรื่องได้แรงบันดาลใจมาจาก Vi må snakke om Kevin)

    รู้สึกว่าสำนวนเขียนพาร์ทบรรยายของเราเปลี่ยนไป

    อันที่จริงมันก็เปลี่ยนมาสักพักแล้ว เริ่มเป็นแนว inside mind, 1st person view ไม่แน่ใจว่ามันเรียกว่ายังไง แต่มันซ้อนทับกับการเล่าในสรรพนามบุรุษที่ 1 แค่ใช้สรรพนามเหมือนมุมมองพระเจ้า ทุกอย่างมันไหลออกจากหัวแบบ non stop แน่ล่ะ มันมีคำผิดและคำซ้ำที่น่าตีเยอะมากเลย แต่เรายอมปล่อยให้มันทำหน้าที่ของมันไปก่อน ส่วนเรามาอีดิทอ่านทบทวนอีกครั้ง

    นิสัยเสียอย่างหนึ่งที่เป็นมาตลอดคือเป็นคนขี้เกียจอ่าน แต่ดันรักการอ่าน เราคงพูดได้ไม่เต็มปาก แต่เชื่อว่าตัวเองไม่ได้ไม่รักการอ่า่น มันคงประหลาดไปหน่อยที่จะพูดแบบนั้น โคตรย้อนแย้งเลยจะว่าไป ทั้งๆที่ขี้เกียจอ่านหนังสือ แต่ดันรักการอ่านเนี่ย

    สำนวนเขียนนี้เปลี่ยนมาช่วงเริ่มเขียน chicago, mate & night ในจอย / พาร์ทบรรยายแรกอีพีสาม เราเริ่มใส่ mind ของตัวละครลงไป แล้วก็ชอบที่จะได้บรรยายในลักษณะนี้ด้วย แต่ทักษะนี้มันก็ยังไม่สมบูรณ์ จากการที่เล่าต้องเลือก พาร์ทบรรยายที่สองอีพีห้าเราเลยใส่ไปทั้ง point of view ของจอห์นและตายู โดยใช้ time, switch มุมมองเอาในแต่ละย่อหน้า

    ฟังดูสับสนมาก และใช่ คิดว่าถ้าคนอื่นอ่านคงงงแน่ๆ เพราะการแทนคำว่า 'เขา' แทนด้วยสรรพนามบุรุษที่ 1 (เจ้าของ mind) ขณะเดียวกันเราเองยังสับสนตอนเขียนจนมันเบลนกันเป็นเนื้อเดียวไปหมดอีกต่างหาก น่าตีจริงๆ

    อีกอย่างที่กำลังเสพติดคือความ minimal พื้นเรียบต่างๆ รู้สึกว่าเข้าขั้น sick of it เลยด้วยซ้ำ มันเริ่มซึมเข้ามาจนเราอยากทำให้ทุกอย่างรอบตัวมัน flat ไปหมด เกิดภาวะที่สมอง blend everything together รู้สึกว่ามันยืดหยุ่นและเหมาะสมที่จะเริ่มเขียนและเรียนอ่านอะไรสักอย่างเพราะมันจะลงตัว เรียกง่ายๆคือสมองมันกำลัง active อย่างต่อเนื่อง ทุกความคิดมันไหลเวียนอยู่ในหัวจนตีกันไปหมด

    และเราต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อ keep ทรัพยากรในหัวเอาไว้ให้ได้มากที่สุด เพราะมันคือตัวตนเราในทุกๆอย่างและถ้าเราทิ้งมันไป เราจะไม่สามารถค้นหามันได้ในหุบเหวแห่งการลืมเลือนอีก

    ทำเป็นเล่นไป ตอนนี้มีคำพูดนึงในหัว (ที่ตัวเองพูดเอง) ออกมาอีกแล้ว 

    'เราไม่จำเป็นต้องเสพสิ่งที่เพอร์เฟค แต่เสพสิ่งที่กระตุ้นความอยากถ่ายทอดเรื่องราว กระตุ้นจินตนาการ กระตุ้นความต้องการในการสร้างสรรค์ของเรา' หรือก็คือเราควรเสพสิ่งที่เป็น Inspiration สิ่งที่มี characterize ในตัวเองสูงมากพอที่จะกระตุ้นสัญชาตญาณนักเขียนในตัวเราให้มาก 

    เรื่อง characterize นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่ช่วงนี้กำลังคิดถึงอยู่

    เราน่าจะไปทำมายแมพนะเนี่ย พูดเรื่องหนึ่ง โยงไปหาอีกเรื่อง โยงต่อไปเป็นกิ่งก้านเลย แต่ถ้าทำก็คงตลกน่าดูที่มายแมพไม่ได้เริ่มเพราะจดจ่ออยู่กับการเลือกสีและโทน กลายเป็นคนยึดติดกับสิ่งพวกนี้จนในที่สุดเราก็เลือกใช้ดินสอทำทุกอย่างไปเลย

    คนมีโทน คนจัดลำดับสี คนใช้ปากกาสีน่ะ มันไม่ใช่เราเลย

    เราว่า characterize ข้อแรกที่เราสามารถบรรยายตัวเองได้ตอนนี้คือเราเป็นคนตาบอดสี, ไม่ใช่ในทางปฏิบัติหรือกายภาพ แต่เป็นทาง mental มันเป็น deep meaning ในความรู้สึกเราที่นิสัยไม่ดีเวลามีทางเลือกมากเกินไป เราจะทำให้มันเป็นสีเดียวเพื่อตัดปัญหาทุกสิ่ง เพราะเราไม่สามารถ design ให้มันออกมาเป็นภาพที่สวยงามได้เลยจนต้องตัดสินใจทำขาวดำ

    เรานึกถึงความฝันครั้งหนึ่งของตัวเองที่เคยอยากเรียนด้าน design ตอนนี้มันยังคงอยู่ตรงนั้น แต่เราจะไม่ทิ้งความฝันเส้นรากใหญ่ที่ฝังไว้ เราเชื่อว่าแบบนั้น เชื่อว่าตัวเองจะไม่ทำ แต่ใครจะไปรู้ who knows? but I care, เราในตอนนี้ทำได้ทุกอย่างเลย รู้สึกเหมือนกำลัง get high ในที่ไหนสักที่ เหมือนกำลังสร้าง mind palace ในหัวตัวเองเพื่อกักขังตัวเองไว้อีกที

    ความรู้สึกจมดิ่งไปกับจินตนาการและความเป็นตัวเองที่ล้นปรี่, หลงรักเลยล่ะ

    กลับมาที่ characterize, ในช่วงปีนี้เรากึ่งจะเสียสติไปเพราะความพยายามเป็นสิ่งที่ตัวเองไม่ได้เป็น - เอาจริงๆมันผ่านมานานแค่ไหนแล้วนะ? who knows..? I didn't care anymore อยากพูดถึงความรู้สึกที่ทำตัวเองหล่นหายไปในหุบเหวแห่งการลืมเลือนเหมือนกันนะ มันคงตลกเป็นบ้า

    แต่ก็ต้องขอบคุณ ที่ทำให้ตอนนี้เรารักความเป็นตัวเองได้ขนาดนี้

    เรากำลัง loading myself กลับสู่ภาวะปกติ เราเลิกพยายามเรื่องหนึ่ง มันก็ง่ายขึ้นที่จะเลิกพยายามเรื่องที่สอง แต่เราย้ำเตือนตัวเองอยู่เสมอด้วยสถานะของการเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน, ที่จะทำอะไรก็ได้ ยกเว้นการทิ้งหน้าที่

    นี่มันสุดยอดไปเลย การตัดสินใจมานอร์เวย์ในวันนั้นนับเป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตประการหนึ่ง, ในตอนนี้อาจฟังดูเว่อร์ ไว้กลับมาอ่านบันทึกนี้ใหม่จะทบทวนอีกทีว่าเว่อร์หรือเปล่า เพราะไม่ว่าใครกำลังตามหาความคุ้มค่าในประสบการณ์แบบไหนจากการมาแลกเปลี่ยน เราคนหนึ่งแล้วที่รู้สึก touch กับการค้นพบตัวเองและพากลับมาจากหุบเหวแห่งการลืมเลือนได้ เราประทับใจจริงๆในจุดนั้น

    เหมือนกำลังอวยตัวเอง แต่เราเชื่อว่ามันคือโชค

    และเราเชื่อว่า โชคก็เป็นความสามารถอย่างหนึ่ง (มาสเตอร์พิคก้า จากนิยาย Witchoar)

    เราเจอทวิตหนึ่งที่พูดถึงเรื่อง deserve ความเหมาะสม ความสมควรที่จะได้รับสิ่งใดสิ่งหนึ่งมา และนั่นกระทบใจเราอย่างแรงเลย เพราะเรามักจะพูดเสมอว่าเราไม่ deserve สิ่งที่ดีเหล่านี้รอบตัว

    แต่ในจุดหนึ่งเราจะพบว่าบนโลกนี้ทุกอย่างไม่ได้สมบูรณ์พร้อม และตัวเราเองก็อาจเกิดจากความผิดพลาดบางประการ รอยตำหนิไม่ใช่สิ่งเตือนใจแต่เป็นสิ่งที่ทำให้เรามองหาทางไขว่คว้าความสมบูรณ์แบบ และ belance สิ่งรอบตัวให้ได้ดีที่สุด

    และถ้าเรายังรู้สึกว่าตัวเองไม่ deserve มันไม่ได้หมายความว่าเราไม่ดีพอ แต่เรายังพยายามไม่มากพอให้ตัวเองรู้สึกยอมรับตัวเองเลย, ถ้าเช่นนั้นแล้ว ใยจึงยังไม่เริ่มทำอะไรสักอย่างล่ะ?

    เรายังมีส่วนหนึ่งทีี่ยัง loading ไม่สมบูรณ์ แต่กำลังพยายามสู้กับมันอยู่

    ทั้งชีวิตที่ผ่านมา ในช่วงนี้เราขอบคุณคนอื่นมาตลอด

    แต่ในบันทึกพัฒนาการนี้เราอยากจะขอบคุณตัวเองที่เริ่มทำอะไรสักอย่างเสียที อยากขอบคุณที่ทำให้ตัวเองคิดได้ ทำให้ตัวเองมีความต้้งใจ - จะขอบคุณมากกว่านี้ถ้าเลิกขี้เกียจอ่านหนังสือแล้วจริงจังกับเรื่องภาษานอร์เวย์ได้แล้ว เพราะนี่คือสิ่งที่สำคัญที่สุด

    ก่อนช่วงเวลา 1 ปีจะหมดลงไปตลอดกาล

    you can't take it back, so let's do something
    before you would never have chance to do






เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in