เฮือก!
เอาอีกแล้ว ฝันอีกแล้ว
พักนี้ฝันถึงอดีต...ฝันถึง 'เขา' บ่อยจนจำได้ทุกอณู
ความเจ็บปวดที่ได้รับในความฝัน...จริงๆ คือความเจ็บปวดในอดีตมันส่งผลมาถึงปัจจุบันได้ในยามตื่นลืมตา
ทุกสัมผัสที่เท้ากระทืบลงมาโดนตามตัว แค่นึกถึงมือบางก็ยกกอดตัวเอง ลูบตามแขนเหมือนยังหวาดผวากับความฝันที่ตกค้างจากวันวานทรมานในวัยเด็ก
ริมฝีปากอ้าหอบ หัวใจเต้นระรัว เหงื่อแตกพลั่ก อาการไข้ที่เป็นหนักดีขึ้นมากเมื่อนอนพักเต็มๆ หนึ่งวันกว่า...เหลือเพียงอาการเหนื่อยเพลีย
เลยผิดสัญญาเรื่องที่จะไปเดินห้างด้วยกันกับพวกรามเลย
ไม่ใช่แค่เขาแต่ทั้งราม สิน และดินต่างก็มาเยี่ยมชะเอม อยู่ด้วยกันทั้งวัน เช็ดตัว เสิร์ฟอาหารเสิร์ฟยา จนทั้งสามคนไม่ได้ไปไหนเลย สลับกับอาหมอที่เห็นแวะมาตรวจบ้าง พูดคุยบ้าง ไปมาระหว่างคอนโดกับโรงพยาบาล
‘อาดีใจมากเลยที่เอมดีขึ้นมากแล้วอายังคิดอยู่เลยว่าถ้าต้องป่วยถึงขั้นแอดมิทอาคงต้องโทรบอกพี่เกษม’ เกษมยิ้มดวงตาฉายแววยินดี ‘แต่หายดีแบบนี้ก็ดีแล้วล่ะนะ’
'อย่าลืมกินข้าวกินยาตามเวลาที่บอกนะ ยาใกล้หมดก็มาเอาเพิ่มอย่าให้ขาดตอน ส่วนเรื่องตรวจร่างกายก็ยังเหมือนเดิม มาทุกอาทิตย์ ถึงเวลาแล้วอาจะโทรมาตาม'
'อีกอย่างอาต้องขอโทษที่บอกเรื่องอาการของเอมกับเพื่อนๆ โดยไม่ถามเอมก่อน อาอยากให้รู้ว่าอาทำไปเพราะเป็นห่วงและหวังดี เพื่อนทั้งสามคนนี้เป็นเพื่อนที่ดีมาก พวกเขาเป็นห่วงหนูมาก เพื่อนอย่างนี้จงรักษาเอาไว้ให้ตลอดไปเลยนะ'
เป็นหนี้บุญคุณอีกแล้ว
ทำไมคุณลุงกับอาหมอถึงได้ดีกับเขามากขนาดนี้
ขนาดพ่อแท้ๆยังไม่...
ร่างบางตวัดขาลงจากเตียง เมื่อเวลาที่นัดไว้ใกล้จะมาถึง แต่ต้องหลับตานิ่งสักพักเพราะหน้ามืด
วันนี้คือวันที่ต้องไปค่ายของมหาวิทยาลัย เป็นค่ายปลูกป่าที่มักจะจัดทุกๆ ปี เพื่อเพิ่มต้นไม้สีเขียวให้กับประเทศมากขึ้นเพื่อลดโลกร้อน เพราะเป็นกิจกรรมบังคับ นักศึกษาในมหาวิทยาลัยทุกคนต้องไป ดังนั้นวันนี้นักศึกษาจะเยอะมากถึงมากที่สุด
เวลาเช็คชื่อตีห้า เวลาล้อหมุนคือตีห้าครึ่ง
ตอนนี้ตีสามห้าสิบ ทั้งๆ ที่ตั้งนาฬิกาปลุกเอาไว้ตีสี่แท้ๆ แต่ดันตื่นมาเพราะฝันไม่ค่อยดี
ร่างบางอาบน้ำเสร็จในเวลาไม่นาน ยังรู้สึกติดขัดที่แขนขวา เพิ่งผ่านมาสองวันจะให้รอยช้ำหายเลยคงเป็นไปได้ยาก อาหมอบอกว่าน่าจะเดือนกว่าถึงจะหาย
เฮ้อ...
ชะเอมเช็คของในกระเป๋าว่าครบดี โดยเฉพาะยาโรคประจำตัวที่ห้ามลืม ก่อนยกสายสะพายกระเป๋าขนาดกลางสำหรับไปออกค่ายสี่วันสามคืนพาดบนไหล่ข้างที่ไม่เจ็บ เขาจัดกระเป๋าตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว สายตากวาดมองความเรียบร้อยในห้อง ล็อคประตูแล้วหันหลังเดินออกมา ไม่ลืมกล่าวสวัสดีทักทายกับลุงยามใจดีคนเดิมหน้าคอนโด
เพราะว่าวันนี้ไม่ได้ทำกับข้าวกินเองตอนเช้า จึงต้องมาหาซื้อในร้านสะดวกซื้อภายในมหาวิทยาลัยที่เปิดตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง จะปล่อยผ่านเหมือนคนอื่นไม่ได้ เขาต้องหาอะไรก็ได้ให้ลงกระเพาะซักหน่อยจะได้กินยาหลังอาหารตามที่อาหมอบอก
ในเวลานี้ใกล้เวลาเช็คชื่อ นักศึกษาก็เดินขวักไขว่นั่งรอบ้าง ยืนจับกลุ่มคุยกันบ้าง รู้สึกแปลกตาเพราะตอนนี้ยังเช้ามืดอยู่เลย
แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกสายตาหลายคู่ที่มองมา...มันแปลกๆ
พอเขาเงยหน้ามองหาสายตาที่ว่า หลายคนรีบก้มหน้าก้มตาราวกับจะหาของบนพื้นทั้งๆ ที่ไม่มีอะไรตกอยู่
"อ้าว เอม"
"ดิน" ร่างบางยิ้ม เมื่อเจอเพื่อนตัวสูงที่มายืนเลือกของในร้าน
"หาอะไรกินเหรอ"
"ใช่ ดินด้วยเหรอ"
"อืม" ชะเอมสะดุ้งเมื่อจู่ๆ มีสัมผัสหยาบกร้านแตะตรงแก้ม จากนั้นมือใหญ่ก็ละไปนาบตรงหน้าผาก "อาการดีขึ้นแล้วนะ"
"ต้องขอบคุณพวกดินน่ะแหละ"
"กูไม่ได้ทำอะไรมากนี่ ไปขอบคุณรามกับสินเถอะ" ดินไล่สายตามองบนชั้นขนมปัง กินอะไรดีหว่า
"อื้ม" ร่างบางไม่เซ้าซี้ แต่ปากบางอมยิ้มเมื่อเห็นรอยแดงๆ บนหูของคนขี้เขินที่ทำเป็นบอกปัดคำขอบคุณ
เพื่อนตัวโตของเขาน่ารักจริงๆ
แขนบางลูบตามแขนที่คลุมด้วยเสื้อกันหนาวตัวหนาเมื่อเดินผ่านโซนตู้แช่เย็นที่วางนมและน้ำผลไม้เรียงรายถึงจะบอกว่าหายแล้วก็เถอะ แต่ก็เพิ่งดีขึ้นเมื่อคืนนี้เอง ยังมีอาการเพลียๆ เจออากาศเย็นหน่อยก็หนาวได้ง่ายๆ
ปึก!
"ว้าย!"
"ขะ ขอโทษครับ" ในขณะที่กำลังมองอะไรเพลินๆ เขาก็ต้องโทษความซุ่มซ่ามของตัวเองที่เดินชนคน แถมยังเป็นนักศึกษาหญิงตัวเล็กๆ ที่ตอนนี้ล้มลงนั่งร้องโอดโอยอยู่
"เจ็บตรงไหนรึเปล่าครับน้อง" น้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลพร้อมคิ้วขมวดมุ่น แต่มือบางที่จะช่วยพยุงคนตรงหน้าชะงักเมื่อ...
เพียะ!
"จะทำอะไรคะ!" ชะเอมกุมมือที่ถูกปัดออกอย่างแรง สายตามองด้วยความไม่เข้าใจ หญิงสาวที่ล้มไม่ได้ทำอะไรเขา แต่เป็นอีกคนต่างหากที่อยู่ๆ ก็เข้ามาปัดมือเขาออกและแสดงสีหน้าแข็งกร้าวใส่เขาเหมือนเขาไปทำอะไรให้แค้นเคืองมาก่อน
"เอ่อ...ทำอะไรเหรอ? ก็จะช่วย..." ร่างบางยังงงๆ ตามสถานการณ์ไม่ทัน คนรอบข้างก็เริ่มหันมามองมากขึ้น
"ช่วยอะไรคะ ช่วยซ้ำเติมงั้นเหรอ?" เสียงใสเย้ยหยันเอ่ย ส่วนเจ้าของเสียงเข้าไปช่วยพยุงเพื่อนที่ตอนนี้มองมายังเขาแบบขอโทษ
"ไม่เอาน่าริน พี่เอมเขาก็ขอโทษแล้วไง"
"แกไม่ต้องพูดอะไรเลยสา คนใสๆ อย่างแกไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมใครเขาหรอก โดยเฉพาะคนอย่างชะเอมน่ะนะ"
"เฮ้ยแกไปเรียกชื่อพี่เขาห้วนๆ แบบนั้นได้ไง" สาวผมสั้นน่ารักตัวเล็กนามว่าสา เขย่าแขนเพื่อนสาวตัวสูงกว่ากระซิบกระซาบหน้าเครียด
"ทำไมจะไม่ได้วะ เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร...เขาไม่มีเกียรติให้รุ่นน้องเคารพหรือเรียกว่ารุ่นพี่หรอก จำใส่หัวสมองของแกเอาไว้" หญิงสาวผมยาวตาดุคมพูดเหมือนจะบอกเพื่อนตัวเอง แต่สายตาที่ส่งมายังชะเอมที่ยืนอึ้งอยู่ก็ราวกับจะตอกย้ำให้รู้ว่าเขาต่างหากที่เด็กคนนั้นพูดด้วย
"ไปได้แล้ว" รินลากแขนเล็กให้เดินตามไป โดยที่เด็กที่ชื่อสายังคงส่งสายตาขอโทษขอโพยมาให้
ทั้งสองคนเดินจากไปโดยที่ชะเอมยังไม่ทันได้เข้าใจอะไรขึ้นสักนิด ชาวมุงก็กระจายตัวเมื่อเหตุการณ์เงียบลงจนกระทั่งออกมาด้านนอก เจอดินยืนกินไอติมรออยู่ก็เพิ่งรู้สึกตัว
รู้สึกปวดหัวตุ้บๆ ขึ้นมาอีกครั้ง
'เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร'
เขาทำอะไร...?
"เป็นไรเอม หน้าซีดๆ"
"อืม...ไม่มีอะไร" แค่เหมือนเจอพายุพัดมาลูกหนึ่งเท่านั้นเอง...แถมมาแบบไม่รู้ตัว
"อ้าว แล้วไหนล่ะของที่ซื้อ" ดินเอ่ยทักอย่างแปลกใจ ทำให้ร่างบางเพิ่งรู้ตัว
"เราลืม" ชะเอมยิ้มแหย อยากจะเขกหัวตัวเองที่มัวแต่คิดอะไรอยู่ "ดินไม่ต้องรอเรา ไปรอที่รถก่อนเลยนะ"
"โอเค" ดินโคลงศีรษะพลางเกาศีรษะ มือหย่อนไม้ไอติมที่หมดแล้วลงถังขยะ แล้วก็เดินไป ส่วนร่างบางที่ยังเลือกของในร้านสะดวกซื้อไม่ได้รับรู้ถึงแรงสั่นของมือถือในกระเป๋าเลยแม้แต่นิดเดียว
"อ้าว! ไปกันแล้วเหรอครับ"
"ค่ะ คันของคณะอักษรเพิ่งออกไปเมื่อกี้เอง" หญิงสาวใส่แว่นท่าทางเรียบร้อย เป็นคนจัดการทุกอย่างในค่ายสี่วันเต็มนี้ให้เรียบร้อย
"แต่ผมยังไม่ได้ขึ้นไปเลยนะครับ" ชะเอมพูดอย่างสงสัย ก่อนออกรถไม่ได้เช็คจำนวนคนหรืออย่างไรว่าครบหรือไม่ครบ
"ต้องขอโทษจริงๆ เราต้องรักษาเวลาน่ะค่ะ แล้วตอนนี้ก็เลยเวลารถออกแล้ว ถ้ายังไง..." คนตรงหน้าพลิกกระดาษในมือไปมา ใช้หัวปากกาไล่บรรทัดเหมือนเช็คอะไรบางอย่าง "ไปรถของคณะวิศวะก็ได้นะคะ คันต่อไปกำลังจะออกพอดี"
"...เอางั้นก็ได้ครับ" ชะเอมพึมพำเสียงอ่อยอย่างไม่มีทางเลือก เขาผิดเองแหละที่ไม่ดูนาฬิกาให้ดีว่ามันพังแถมพวกรามก็พยายามโทรหาเขาแล้วแต่เขาก็ดันไม่ได้ยิน
ให้ตายสิ
ชะเอมขยี้ผมบนหัวอย่างหัวเสียแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ถ้าใครมาเห็นจะต้องแปลกใจกับอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของเขา แต่ลืมไป...ว่าไม่ค่อยมีคนรู้จักเขาหรอก
คิดว่าอย่างนั้นนะ
ร่างบางลากกระเป๋ามาหยุดอยู่หน้าคันรถที่ผู้หญิงคนเมื่อกี้ชี้ทางบอก ตอนนี้ด้านนอกรถไม่มีใครแล้วนอกจากเขาคนเดียว เพราะเขาเตรียมจะออกรถกัน ดังนั้นการจะเอากระเป๋าขึ้นไปบนรถได้คือเขสต้องยกเอง
ชะเอมยกกระเป๋าขึ้นชั้นสองของรถทัวร์อย่างทุลักทุเล เล่นเอาเหงื่อตก แผ่นอกบางสะท้อนหอบอย่างคนปกติไม่น่าเป็น เมื่อเงยหน้าขึ้นก็พบสายตาแทบจะทุกคู่มองตรงมาทำเอาชะเอมประหม่า
ชะเอมเม้มริมฝีปาก ก้มหน้าไม่กล้าสบตาใคร ค่อยๆ ลากกระเป๋า ผ่านที่นั่งไปทีละแถว แต่ก็ไม่พบที่ว่างแม้แต่ที่เดียว
กึก...
เขาลืมไปได้ยังไงว่าจะได้เจอคน...ที่ไม่ได้เจอมาตลอดสองวันนี้ ก็นี่มันรถคณะวิศวะนี่นา
เขาพยายามยิ้มเมื่อเห็นคินกับเรย์ทั้งๆ ที่ร่างสูงไม่แม้แต่จะชายตาแล
ก็รู้อยู่แล้วล่ะนะ...รู้อยู่แล้ว...แต่ว่าทำไมถึงเจ็บแบบนี้
ร่างเล็กที่มีผ้าพันแผลพันอยู่รอบศีรษะ ตามข้อศอกก็แปะผ้าก๊อซ สภาพดีขึ้นมาจากวันนั้น วันที่ก่อนจะเข้าห้องผ่าตัด หลังจากนั้นเขาก็ไม่ได้เจอกันอีกเลยจนตอนนี้
อาการดีขึ้นแล้วสินะ...
ชะเอมรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก แต่ความรู้สึกผิดมันก็ยังติดอยู่ในใจไม่มีทางหายไป
"หวัดดีเอม" เรย์ยิ้มอ่อนให้เขา
เท่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้น้ำตารื้นขึ้นได้ไม่ยาก
"หวัดดีเรย์"
วันนั้น...ขอโทษนะ
ร่างบางหายใจเข้าลึกอยากจะพูดคำๆ นี้ออกไป แต่ว่า...
"แล้วคนคณะอักษรขึ้นรถคณะวิศวะมาได้ยังไง" เสียงใสโพล่งขึ้นทำเอาคนในรถมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ชะเอมมองตามที่มา มันช่างคุ้นหูเหมือนเพิ่งเคยได้ยินเมื่อไม่นาน และก็พบกับเจ้าของเสียงซึ่งก็คือคนๆ เดียวกับที่เจอในร้านสะดวกซื้อเมื่อเช้า
เธอคือสาวตาดุ เพื่อนของสาวตัวเล็กที่ชะเอมเผลอเดินชนจนล้มนั่นเอง แล้วถ้าจำไม่ผิดก็รู้สึกจะชื่อ...ริน รึเปล่านะ
ร่างบางไม่พูดอะไร เพราะตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่าความโกรธและความแค้นเคืองที่รินมี คืออะไร
และรวมไปถึงสายตาแปลกๆ ที่มองมาทางเขาทันทีที่มาถึงมหาลัยเมื่อเช้านี้ด้วย
'เขารู้กันทั้งมหาลัยแล้วว่าหมอนี่ทำอะไร'
มันจะต้องเกี่ยวข้องกับเรื่องของเรย์อย่างแน่นอน
ชะเอมทำอะไรไม่ได้ นอกจากก้มหน้ายอมรับสิ่งที่เผชิญหน้าอยู่ เพราะเขาไม่อาจแก้ไขกับสิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต
"คะ คือว่า..."
"ในรถคันนี้ไม่มีที่นั่งว่างสำหรับนาย ถ้าจะมีก็คือตรงบันไดขึ้นลงรถโน่น" ก่อนที่เพื่อนตัวเล็กของเธอจะพูดอะไรไม่เข้าท่า รินก็ขัดขึ้นมาซะก่อน และดูเหมือนว่าสาก็อึกอักไม่กล้าพูดขึ้นมาอีก
เสียงที่รินพูดไม่ใช่เบาๆ ชะเอมคาดว่าน่าจะได้ยินกันทั้งคันรถ และรวมไปถึงคินกับเรย์ด้วย แต่ทั้งสองไม่ได้ยินดียินร้ายอะไร ซึ่งทำให้ร่างบางยิ่งหน้าชาหนัก
หรือจะเปลี่ยนรถ ไปขึ้นคันถัดไปก็ได้ อย่างน้อยก็จะไม่เจอคนเหล่านี้
แต่ก็สายเกินไปเมื่อรถออกตัวแล้ว ร่างบางจำใจลากกระเป๋ากลับไปทางขึ้นเดิมที่เพิ่งผ่าน วางกระเป๋าแอบๆ ไว้ตรงมุมแล้วตัวเองก็นั่งอยู่เชิงบันไดซึ่งลมร้อนๆ ของเครื่องยนต์ตีหวนขึ้นมากระทบหน้าตลอดเวลาทำเอาคนเพิ่งหายไข้ผะอืดผะอมกันได้ง่ายๆ
ร่างบางควักยาในกระเป๋าสะพายตบเข้าปากตามด้วยน้ำ กับตามด้วยจิ้มอะไรที่ซื้อมาเข้าปากรองท้องเสียหน่อยเป็นพอ เขาไม่มีอารมณ์มากพอจะมานั่งกินข้าวชิลๆ ด้วยที่นั่งพิเศษอย่างบันไดรถหรอก
แรงสั่นสะเทือนของรถโยกไปมา ชะเอมต้องข่มตาหลับเมื่อรู้สึกกระอักกระอ่วน ยิ่งรู้สึกผะอืดผะอมมากกว่าเมื่อกี้อีก ทั้งๆ ที่อากาศไม่ได้หนาวอะไร แต่เขารู้สึกขนลุกจนต้องกอดตัวเอง
เขาต้องอดทนกับทั้งบรรยากาศอึดอัดภายในรถและกับสิ่งที่ตีรวนภายในร่างกาย
อีกสามชั่วโมง...กว่าจะถึงที่หมาย
************************Whosefault? ************************
"นี่! หลบหน่อย คนจะลง!" ชะเอมสะดุ้งลืมตา เมื่อได้ยินเสียงเหนือหัว และเสียงนั้นเป็นเสียงเดิม จากรินเจ้าของเสียงสาวตาดุนั่นเอง
"ข ขอโทษครับ" ร่างบางลุกขึ้นทุลักทุเลหน้ามืดเพราะลุกกะทันหันจนต้องหาที่เกาะ มือบางไม่ลืมหยิบกระเป๋าใบใหญ่ที่ตัวเองนั่งพิงหลบมาด้วย มองคนบนรถทัวร์ค่อยๆ ทยอยเดินลงมา ชะเอมมองออกไปนอกรถก็พบว่าเป็นจุดพักรถให้นักศึกษาลงมาเข้าห้องน้ำหรือซื้อของกิน ในปั๊มแห่งนี้มีรถทัวร์จอดอยู่เต็มอย่างกับจองส่วนตัวไว้ก็ไม่ปาน
แน่ล่ะ นักศึกษาทั้งมหาลัยเชียวนะ
ร่างบางที่ยังไม่รู้สึกดีขึ้นจากอาการคลื่นไส้จะอาเจียนก่อนนอนหลับ จึงวางกระเป๋าและนั่งพักที่เดิม แม้ตอนนี้ด้านบนจะมีที่ว่างเหลือแล้วก็ตาม ยังไม่ทันได้หลับตาพักก็มีแรงสะกิดที่หัวไหล่เบาๆ เมื่อลืมตาก็เจอหน้าของใครบางคนอยู่ใกล้จนตกใจ
"...!"
"โทษทีๆ ไม่ได้ตั้งใจทำให้ตกใจนะ" ร่างบางที่ผงะกระพริบตาปริบ มองร่างโปร่งหัวเราะร่วนโชว์ฟันเขี้ยวน่ารักอย่างอารมณ์ดี "แค่จะมาถามว่าขึ้นไปนั่งกับเรามั้ย อาจจะเบียดซักหน่อย แต่นายผอมอย่างนี้ไม่น่าเป็นไร แถมอีกแค่ครึ่งทางก็จะถึงแล้วด้วย"
แถมยังพูดรัวทำเอาชะเอมยิ่งงงหนัก เขาจำไม่เห็นได้เลยว่าเคยรู้จักคนนี้ด้วย
"ตกลงเอาไง ไปด้วยกันมั้ย อ๊ะ!" ไม่ทันที่ชะเอมจะถอยหลังหนีใบหน้าที่ยื่นเข้ามาใกล้อีกรอบ ก็มีคนมาช่วยเขาซะก่อน โดยมีมือใหญ่ของใครบางคนดึงคอเสื้อของร่างโปร่งออกไป
"ทำอะไรน่ะเจ้าบ้า" คนตัวสูงยกมือเขกศีรษะทุยดังป๊อก แต่ดูเหมือนคนโดนทำร้ายจะหนังหนา ไม่รู้สึกอะไรแถมยังทำหน้าทะเล้นใส่อีก
"ก็~" เจ้าตัวยิ้มเผล่ ยกนิ้วจิ้มกัน ท่าทางน่าหมั่นไส้สำหรับร่างสูงเป็นอย่างมาก "ชวนชะเอมไปนั่งกับเราไง นั่งคนเดียวเหงาจะตาย"
"ถามฉันรึยัง" อีกคนว่าเสียงนิ่ง แต่ถ้าคนที่รู้จักจะรู้ว่าหน้านิ่งๆ ไม่ได้โมโหหรืออะไร เพียงแค่ถามเฉยๆ จริงๆ
"ไม่ถาม เพราะนายอนุญาตอยู่แล้ว"
"หึ" ร่างสูงส่ายหน้ากับหน้ายิ้มแป้นแล้น ก่อนขายาวก้าวเดินออกไปนอกรถ ขี้เกียจจะเถียง
ชะเอมที่ยังอึ้งๆ มองสองคนคุยกันอย่างเงียบๆ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร
"คือ..." กว่าจะง้างปากขึ้นพูด ส่งเสียงออกไปแค่คำเดียวก็เรียกความสนใจของร่างโปร่งได้ "เรารู้จักกัน...เหรอ?"
"อะ อ้าว อะไรกัน" ร่างโปร่งทำหน้างง แต่พอเห็นหน้าชะเอมสงสัยอย่างจริงจังไม่ได้เสแสร้งก็อดถอนใจไม่ได้เขารู้จักร่างบางอยู่ฝ่ายเดียวเหรอ "ก็ฉันเป็นเพื่อนคินไง อย่างน้อยก็น่าจะคุ้นๆ หน้าบ้างสิ"
"...ขอโทษนะ" ชะเอมเม้มปากรู้สึกผิดที่ทำคนอารมณ์ดีหน้าหงอย เขาไม่ค่อยได้สังเกตด้วยสิว่าเพื่อนคินมีใครบ้าง หน้าเป็นยังไง นอกจากเรย์ที่ลือกันเข้าหูบ่อยๆ
และผิดคาดมากที่คนนิ่งขรึมอย่างคินจะมีเพื่อนน่ารักๆ อย่างคนตรงหน้า บุคลิกช่างแตกต่างกันคนละขั้ว
"เอาเถอะ ฉันชื่อตาล ส่วนไอ้คนที่เพิ่งเดินไปเมื่อกี้ก็อยู่กลุ่มเดียวกัน ชื่อเอก ถึงจะหน้านิ่งๆ แต่ก็กวนส้นไม่น้อยเลยล่ะ" ตาโตกระพริบปริบกับการเปลี่ยนอารมณ์อย่างรวดเร็วราวกับเมื่อกี้ร่างโปร่งแกล้งสลดยังไงยังงั้น "อ้อยังมีเพื่อนผู้หญิงอีกคนถ้าเจอจะแนะนำให้รู้จักนะ คนเริ่มกลับมาแล้ว...เอาไงๆ ไปนั่งข้างบนกับฉันถึงจะเบียดหน่อยแต่ก็สบายกว่านั่งพื้นแข็งๆ นะ"
ชะเอมเหลือบมอง นักศึกษาหลายคนเริ่มเดินมาทางนี้
ถ้าไปกับ...ตาล ร่างโปร่งต้องถูกมองไม่ดีด้วยแน่ๆ ยิ่งเฉพาะคินกับเรย์อาจจะเข้าใจว่าเขาพยายามเข้าใกล้เพื่อนของตัวเองเพื่อจะทำเรื่องไม่ดีอีกรึเปล่า ถึงชะเอมจะยังไม่แน่ใจว่าสิ่งที่หลายคนพูดกัน บวกกับสายตาที่มองที่เขาแปลกๆ จะใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองสามวันก่อนรึเปล่า แต่ในใจร่างบางก็ฟันธงไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์ว่าใช่
ถ้างั้นเขา...
"ไม่ดีกว่า เราไม่อยากรบกวนขนาดนั้นหรอก ยังไงเราก็ไม่ใช่เด็กคณะนี้ด้วย"
"ไม่เห็นเป็นไรเลย ก็ฉันไม่ซีเรียสนายจะซีเรียสทำไม" ตาลพูดตามที่คิด ขมวดคิ้วไม่เข้าใจ
โป๊ก!
"เขาไม่ไปแล้วจะไปบังคับเขาทำไม" มือคู่เดิมที่เขกหัวตรงที่เดิมอย่างแม่นยำ ทำเอาตาลที่ยืนตื๊อไม่เลิกกุมหัวจริงๆ มันเจ็บมากเลยนะ
"อูย...อะไรกันเล่า" ตาลลูบหัวยื่นปากมุบมิบนี่กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ "เฮ้ยเดี๋ยวปล่อยก่อน ฉันยังไม่ได้ไปซื้อของกินเลย อยากกินนมเย็น!"
ร่างโปร่งโวยวายเมื่อมือใหญ่จะลากเขาขึ้นรถไปพร้อมกัน
"รถใกล้จะออกแล้ว ไปหาซื้อกินตอนถึงนู่นเอา"
“ที่นู่นมันจะไปมีขายได้ไง บ้านนอกจะตาย”
“เหรอ” เอกพยักหน้าไม่มีความเห็นใจสักนิด “งั้นกลับมาจากค่ายค่อยกิน”
“โหย มันอีกตั้งสี่วันเลยนะนายอยากให้ฉันขาดใจตายหรือไงเอก!”
“แค่สี่วันไม่ตายหรอก รู้จักอดซะบ้าง” ร่างสูงส่ายหน้าเอือมระอาคนเสพติดความหวาน“ไม่อยากแก่ตายรึไง...ไปได้แล้ว”
"แต่ฉันอยากกินตอนนี้อ่ะ...อยากกินตอนนี้! ปล่อยน้า" ตาลดิ้นยื้อ
เอกไม่สนใจเสียงโวยวายก่อนลากคอเสื้อร่างโปร่งขึ้นรถไป ปรายตามองสบกับตาโตตอนเดินผ่าน ชะเอมผงกหัวขอบคุณที่มาช่วยพูดให้ เพราะความตื๊อของตาลทำเขาลำบากใจมาก และดีที่เหมือนเอกจะเข้าใจ
"เรียกร้องความสนใจเหรอ" ไม่ทันได้คิดอะไร เสียงใสของหญิงสาวคนเดิมก็ดังกระทบหู
เอมไม่พูดอะไร ยืนตัวลีบอยู่พื้นที่ว่างข้างคนขับเหมือนกับตอนที่เพิ่งมาถึงจุดที่พักรถ ให้คนที่เริ่มมาเยอะขึ้นเดินทยอยขึ้นไป เพราะได้เวลารถกำลังจะออกวิ่ง
"ไม่เอาน่าริน ทำไมเธอถึงชอบพูดจาแบบนั้นกับพี่ชะเอมจัง" สาที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเบาๆ เตือนเพื่อน ซึ่งรินแค่ปรายตามองและพ่นลมจมูกอย่างไม่ชอบใจ ก่อนเดินขึ้นบันไดรถไป
"ขอโทษแทนรินด้วยนะคะ" ร่างเล็กบอบบางก้มหัวพร้อมส่งสายตาขอโทษ ชะเอมยิ้มอ่อนมองตามคนที่วิ่งขึ้นบันไดไป
ถึงจะมีคนพูดจาใจร้ายใส่...แต่ก็ยังมีคนที่ดีกับเขาอยู่
ร่างบางทิ้งตัวลงนั่งเมื่อรถเริ่มเคลื่อน ยิ่งเจอกับอากาศเย็นของแอร์ สลับอากาศร้อนจากภายนอกและจากเครื่องยนต์ตีหวนชวนเวียนหัว อาการเพลียๆ ก็เหมือนจะกลับมาไม่สบายอีกรอบ
วันนี้มันวันอะไรกัน...เหนื่อยชะมัด
************************Whosefault? ************************
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาก็มาถึงจุดหมาย
นักศึกษาหลายคนเดินกันมากมายเข้าที่พัก หลายคนช่วยกันยกสัมภาระ ชะเอมเป็นหนึ่งในนั้น
ตอนนี้รู้สึกดีขึ้นมากจากอาการเวียนหัวคลื่นไส้ก็เหลือแค่ปวดหัวนิดหน่อย อาจเพราะได้กินยาและนอนพัก
"พี่ช่วยนะ" ร่างบางพูดกับน้องปีหนึ่งคนนึง ที่กำลังยกกระเป๋า
ชะเอมเริ่มเรียนรู้ที่จะพูดจากับคน เพราะหลังจากนี้เขาต้องเจออีกเยอะ ชีวิตเขาไม่ได้มีแค่คินอีกต่อไป
ความจริงคือเขาไม่มีใครแล้ว
'ช่วงนี้ลุงต้องไปติดต่องานที่ต่างประเทศหลายเดือนเลย ยังไงช่วงนี้เอมต้องดูแลตัวเองไปก่อนนะ ขาดเหลืออะไรก็ถามอากฤษณะ ส่วนเรื่องเงินไม่ต้องห่วงลุงจะโอนเข้าให้ทุกเดือน...แล้วลุงจะโทรมานะ'
โทรศัพท์ที่โทรเข้ามาตอนเย็นเมื่อวานทำให้ชะเอมยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองถูกทิ้งไว้เพียงลำพัง พยายามปลอบใจว่าลุงเกษมแค่ไปทำงานเดี๋ยวก็กลับมา
ไม่เป็นไร...ไม่เป็นไร
แต่ในบางครั้งหัวใจก็อ่อนแอเกินกว่าที่จะรับความรู้สึกเจ็บปวดได้ไหว
"...เอ่อ ไม่เป็นไรค่ะ หนูยกเองได้" น้ำเสียงกลัวๆ ที่ชะเอมได้แต่เข้าใจว่าตอนนี้ใครๆ ก็รู้สึกกลัวเขากันไปหมดแล้ว
เพราะว่าเขาทำให้เรย์โดนรถชน...เลยกลัวอย่างนั้นเหรอ
...ตอนนั้นเขาไม่ได้ตั้งใจ
...ไม่มีใครเข้าใจเขาเลยสักคน
ร่างบางก้มมองมือตัวเอง ยังไงมือนี้ก็ทำร้ายคนมาแล้ว จะย้อนกลับไปก็ไม่ได้ ได้แต่ก้มหน้ายอมรับความผิด
...อยากให้คนอื่นทำดีด้วย เราก็ต้องทำดีให้ก่อน
ท่องเอาไว้ให้ขึ้นใจ
"น้องครับ พี่ช่วยนะ" ชะเอมพยายามไม่สนใจน้องคนเมื่อกี้ เห็นอีกคนกำลังยกกระเป๋าหลายใบเลยเดินเข้าไปถาม เป็นผู้ชายตัวสูงกว่าเขาอีก
"ไม่เป็นไรพี่ชะเอม" ร่างบางสลดเมื่อได้ยินคำปฏิเสธ ร่างสูงโบกมือ "กระเป๋าของพี่ก็ใหญ่อยู่แล้ว จะมาช่วยผมทำไม ตัวแค่นี้ยกไหวเหรอ"
"เอ๊ะ...ไหวสิ ของพี่กระเป๋าลาก ไม่ต้องยกซักหน่อย" ชะเอมลืมค้านที่โดนดูถูกเพราะตัวเล็ก มือบางพยายามจะคว้ากระเป๋าเป้ของใครไม่รู้ออกจากไหล่กว้าง แต่ก็วืดเมื่อร่างสูงเบี่ยงไหล่ออก
"ถ้าจะถือเอานี่ไปแทนละกันพี่" ตุ๊กตาหมาสีครีมตัวพอดีสอดเข้าอ้อมแขนบาง ตาโตของชะเอมวาววับ ริมฝีปากบางแย้มยิ้ม ร่างสูงมองอยู่ก็หัวเราะหึชอบใจ
"น่ารักจัง...ของใครเหรอ"
"ของผมเองอะ เวลานอนต้องมีอะไรกอด ไม่งั้นนอนไม่หลับ"
"จริงเหรอ เหมือนเด็กเลย" ชะเอมหัวเราะคิก รู้สึกสบายใจมากขึ้นที่ได้คุยกับใครบางคน แต่ร่างสูงที่มองอยู่อยากจะบอกว่าร่างบางที่ถือตุ๊กตาตอนนี้ต่างหากที่เหมือนเด็ก
"จริงสิ น้องชื่ออะไร พี่ยังไม่รู้เลย"
"ผมชื่อติม"
"ตินเหรอ"
"ติม ไอติมอะครับ"
"อ๋อๆ" ชะเอมพยักหน้าหงึกหงัก จะบอกว่าชื่อก็น่ารักเหมือนกัน แต่ลืมไปว่าน้องเป็นผู้ชายถ้าได้ยินอาจจะไม่พอใจก็ได้ เลยได้แต่เก็บไว้ในใจแทน
"แล้วพี่จะไม่บอกชื่อกับผมมั่งเหรอ"
"เอ๊ะ...ก็เมื่อกี้" ชะเอมงง เหมือนเขาได้ยินคนตรงหน้าเรียกชื่อเขาแล้วนี่นา ก็นึกว่ารู้จักกันแล้ว หรือว่าหูฝาดหว่า
เผลอคิดไปว่าจะมีแต่คนรู้จักเขา...เพราะข่าวลือหนาหู แต่ลืมไปว่าบางคนอาจจะไม่ได้สนใจก็ได้
คนตัวเล็กเกาแก้มใสแก้เขิน "เอ้อ พี่ชื่อ..."
"ฮะๆ"
จู่ๆ ไอติมก็หัวเราะจนชะเอมสะดุ้ง ถึงเสียงจะไม่ดังมากแต่ก็เรียกสายตาจากรอบข้างหันมามองเขาทั้งสองคนได้
"ปะ เป็นอะไรเหรอ" ไอติมยังคงกลั้นขำในลำคอ แววตาคมประกายระริกมองหน้ารุ่นพี่ตัวเล็กที่เลิ่กลั่กถามไถ่อาการเขาเสียงเบาเพราะไม่อยากเป็นจุดสนใจอย่างเป็นห่วง
"ไม่มีอะไรครับ"
"แล้วเมื่อกี้หัวเราะอะไรอะ"
"ไม่มีอะไร ไม่มีอะไร ไปเหอะครับ" ร่างสูงโบกมือราวกับบอกว่าอย่าใส่ใจเลย ขายาวก็เดินลิ่วไปไม่สนใจสายตาที่จับจ้องไปที่ตัวเองโดยเฉพาะผู้หญิง ทำให้ชะเอมที่ถูกทิ้งยืนไว้ทำหน้าสงสัยไม่หาย เจ้าตัวรีบก้าวเร็วๆ จนมายืนข้างกายร่างสูงได้
"เดี๋ยวก่อนติม...เมื่อกี้หัวเราะอะไร บอกมาเดี๋ยวนี้เลย" ชะเอมตีหน้าขึงขังน้ำเสียงจริงจังซึ่งไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่น้อย
"คำสั่งของรุ่นพี่เหรอครับ" ติมถามแต่ตายังคงมองไปข้างหน้า ทำให้ร่างบางเงียบก็คำถามนั้น
เคยได้ยินว่ามีหลายคนเหมือนกันที่ไม่ชอบระบบรุ่นน้องต้องทำตามคำสั่งของรุ่นพี่
หรือว่าร่างสูงก็เป็นคนส่วนนั้น
"...ก็เปล่า" ชะเอมอุบอิบ ไม่ได้ตั้งใจจะใช้น้ำเสียงที่ถูกมองว่ารุ่นพี่สั่งรุ่นน้องซักหน่อย โดยหารู้ไม่ว่าไอติมแอบมองใบหน้าหงอยๆ ก็อดหัวเราะขึ้นมาอีกไม่ได้
เปลี่ยนสีหน้าบ่อยจริงๆ
"หัวเราะอีกแล้ว" ชะเอมตาโต เขาได้คำตอบแล้ว "นั่นไง อย่างที่คิดจริงๆ ด้วย ติมหัวเราะพี่"
"รู้แล้วจะถามทำไมครับ" ร่างสูงยักไหล่ ยิ้มสบายๆ
"พี่น่าตลกเหรอ" ชะเอมมุ่นคิ้ว คิดไม่ตก เขาทำอะไรให้หัวเราะหว่า ก็ไม่มี...
"ผมขำเพราะพี่ชะเอมทำตัวน่ารักต่างหาก" ชะเอมตาโตอีกครั้ง เมื่อได้ยินคำตอบคาดไม่ถึง
"พี่ไม่ใช่ผู้หญิงซักหน่อย" ร่างบางค้านเสียงใส
"ผู้ชายก็น่ารักได้ครับ" ร่างสูงบอกตาวับ ก็คนข้างๆ เขานี่ไง นิสัยน่ารักน่าคบ ไม่เห็นเหมือนที่เขาว่ากันซักนิด
แถมร่างบางก็ตรงสเป็คที่เขาชอบเลย
ชะเอมยู่ปากเงียบไปเพราะไม่อยากเถียง สูดลมหายใจเข้าลึกๆ เอาอากาศเย็นๆ ที่รอบด้านเต็มไปด้วยต้นไม้สูงใหญ่เข้าปอดทำให้รู้สึกสบายใจมาก
สายตาเหลือบมองหน้าคนเดินข้างๆ
การเริ่มต้นคุยกับใครคนใหม่ก็รู้สึกไม่เลว
โดยไม่รู้ตัวว่าทั้งสองคนที่เดินเคียงข้างคุยหัวเราะต่อกระซิกกันกำลังถูกจับจ้องโดยสายตาสองคู่
หนึ่งสายตาสมเพช อิจฉา ริษยา
และอีกหนึ่งสายตาคมกริบ ที่คุกรุ่นด้วยอารมณ์ที่ไม่มีใครคาดเดา
************************Whosefault? ************************
พลั่ก!
"โอ๊ะ!" ร่างโปร่งที่ยืนอยู่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าชนก็เซแถ่ดๆ ไปอีกทางแต่ดีที่ทรงตัวไว้ได้ทัน ไม่งั้นมีล้มหน้าคว่ำเป็นแน่ยังไม่ทันหันไปมองเสียงทุ้มก็ดังขึ้นมาก่อน
"ขอโทษครั...อ้าว คุณนี่เอง"เสียงทุ้มเอ่ยระคนแปลกใจ
"นี่มึง...! มานี่ได้ไง" ร่างโปร่งตาโต
"ก็ผมเป็นนักศึกษาที่นี่ จะอยู่ที่นี่มันแปลกตรงไหนไม่ทราบ"
"เห็นกิริยาหยาบคายไม่สมกับเป็นคนมีการศึกษา เลยไม่คิดว่าจะเป็นนักศึกษาน่ะสิ...แถมดันซวยมาอยู่ที่เดียวกันอีก เวรกรรมแท้ๆ"
เสียงคุ้นเคยที่โต้เถียงกับรุ่นน้องที่เพิ่งรู้จักกันทำให้ชะเอมชะโงกหน้าไปมอง ปากที่จะเอ่ยคำขอโทษแทนกลายเป็นประหลาดใจ
"อ้าว เอม!/ราม" ไม่แค่ชะเอมที่ตาโต แต่ตาเรียวของรามก็เบิกมองเหมือนตกใจนิดๆ มองสลับกับใบหน้าหล่อชวนหมั่นไส้ของคนข้างๆ
"รู้จักกันเหรอ" ร่างบางยิงคำถามที่สงสัย
"ไม่รู้จัก/ไม่รู้จักครับ"
"อ้าว แต่เมื่อกี้เห็นคุยกัน" ชะเอมมองหน้าทั้งสองงุนงง "ตกลงว่าไม่รู้จักกันเหรอ" ถามไม่ได้คำตอบเลยมองหน้าดินกับสินที่ยืนอยู่ด้วยกันแทน และทั้งคู่ก็พร้อมใจส่ายหน้า
"งั้นราม นี่ติม ไอติมนะเป็นน้องปีหนึ่ง ส่วนติมนี่รามเพื่อนพี่เอง" ชะเอมแนะนำทั้งสองคนที่มองหน้าแทบจะกินเลือดกินเนื้อให้รู้จักกัน ร่างสูงกว่าเบือนหน้าออกไม่พูดอะไรที่ควรพูดอย่าง 'ยินดีที่ได้รู้จัก' เพราะแน่นอนก็เขาไม่ได้ยินดีซักนิด
"..."
"เอ่อ..." เพื่อนอีกสองคนที่ยืนเงียบมองใบหน้ามนที่เหงื่อตก นี่ขนาดไม่รู้จักกันมาก่อนนะเนี่ย ทำไมมองตาอย่างกับแค้นกันตั้งแต่ชาติปางก่อน
"ผมไปเก็บของก่อน ขอตัวนะครับ" ติมไม่อยากสนทนาอะไรกับคนที่เพิ่งเจอมากไปกว่านี้แล้วจึงเดินเลี่ยงออกไป โดยไม่ลืมหันมาบอกชะเอมก้มหัวให้สินกับดิน
หน็อยมึงไอ้ปีหนึ่ง...อายุน้อยกว่ากูแท้ๆ แล้วดูมันทำ
รามเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันไอ้เด็กเวรที่เพิ่งเดินผ่านหน้าเขาไป ถึงจะหน้าหล่อและตัวโตกว่ายังไงแต่ก็ไร้สัมมาคารวะสิ้นดี
ไม่ชอบหน้ามันเลย...!
"ราม เป็นไรมั้ย" สัมผัสที่แขนทำให้รู้สึกตัว เห็นสายตาเป็นห่วงก็ทำให้รามยิ้มแหย
"เอ้อ...โทษที ไม่เป็นไร"
"มึงรู้จักน้องคนเมื่อกี้มาก่อนเหรอ" ดินขมวดคิ้วมองไปทางที่ร่างสูงของปีหนึ่งเพิ่งเดินไป
รู้สึกคุ้นๆหน้ายังไงบอกไม่ถูก...แถมตอนที่เอมแนะนำชื่อของเด็กนั่น...
"ไม่ว่ะ" รามตอบไม่สบอารมณ์ พานนึกไปถึงเหตุการณ์ชวนโมโหอีกครั้ง "ไม่รู้จัก แต่กูเคยเจอมันก็แค่นั้น"
สินมองหน้าราม แค่มองเส้นเลือดที่ปูดตรงขมับก็ร้องออ "มิน่าล่ะ มึงกับน้องเขาถึงดูไม่ค่อยชอบหน้ากันเท่าไหร่"
"เออ อย่าให้เล่า" ยิ่งคิดยิ่งโมโห รามพ่นลมหายใจแรงๆ
ความบังเอิญนี่ช่างเฮงซวย
“หรือจะเป็นเวรกรรมของกูวะ” รามขมวดคิ้วพึมพำ
"เออๆ ก็อย่าทำให้มันต้องเสียบรรยากาศเลยว่ะ เดี๋ยวสี่วันนี้ก็ต้องเจอกัน คุยกัน ทำงานด้วยกัน" สินเตือน ดินพยักหน้าเห็นด้วยและปัดความคิดเมื่อกี้ออกไป
ถ้ามันไม่ถูกกับเพื่อนเรา...มันจะเป็นใครก็ช่างเหอะ
ชะเอมที่ยืนฟังอยู่ก็ไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่ แต่ดูเหมือนว่ารามกับติมจะดูไม่ถูกกัน
"รามไม่ชอบน้องติมเหรอ" ร่างบางซึม ทั้งๆ ที่เขาเพิ่งได้รู้จักกับติมแท้ๆ แต่ดูรามก็ไม่ค่อยชอบน้อง
"เราเพิ่งได้รู้จักกับน้องเขาเมื่อกี้นี้เอง น้องติมเป็นคนดีนะ"
รามก็เป็นเพื่อน...ติมก็เป็นน้อง
ทั้งคู่ไม่ชอบหน้ากันแล้วคนกลางอย่างเขาจะทำยังไงดี
"อะ เอ่อ ก็ไม่ใช่...ว่าไม่ชอบมัน...เอ๊ย น้องมันหรอก แค่เคยเจอกันแล้วก็มีปากเสียงกันนิดหน่อย" รามเหงื่อตก
"ถ้างั้น...ครั้งหน้าก็คุยกันดีๆ ได้ใช่ไหม" ชะเอมยิ้มออก
"เอ่อ ...ดะ ได้แหละ"...มั้ง
รามกลอกตา
จะให้คุยดีๆ กับมันเนี่ยนะ!? ให้ออกลูกเป็นวัวยังง่ายกว่าเลย
"อื้ม อย่างนั้นก็ดีนะ" ร่างบางโล่งใจ
"ว่าแต่ว่าเอมเถอะ...เมื่อเช้ามายังไง" รามเปลี่ยนเรื่อง
พูดเรื่องนี้ดินก็นึกได้"เออว่ะ เอมกูขอโทษนะ เมื่อเช้าจะโทรไปบอกแต่..."
"ไม่เป็นไรๆ ไม่เป็นไรเลยดิน ความผิดเราเอง ไม่ดูนาฬิกา แถมเราไม่ได้ยินเสียงมือถือด้วย" ชะเอมส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นสีหน้าไม่สบายใจของดิน ก่อนหันไปตอบคำถามราม "นั่งรถของคณะวิศวะมาอ่ะ มีคนจัดให้ไปนั่งนั่น"
"..." ไม่มีใครพูดอะไร ตอนนี้นักศึกษาหลายคนทยอยไปเก็บสัมภาระของตัวเองในที่พักที่จัดไว้ให้ จึงเหลือคนอยู่ไม่มากตรงลานกว้าง ดังนั้นตอนนี้จึงเงียบมาก
"พวกเรารู้แล้วนะ" สินพูด ตอนแรกชะเอมยังไม่ค่อยเข้าใจว่ากำลังพูดเรื่องอะไร แต่ทันทีที่ประโยคต่อไปถูกเอ่ยขึ้น "อย่าไปคิดมากเรื่องข่าวลือนั่นเลย"
จู่ๆ น้ำตาจากไหนก็ไม่รู้รื้นขึ้นมา
"รู้แล้วเหรอ" เสียงใสสั่นเครือ "พวกนายเกลียดเราแล้วรึเปล่า"
"พูดบ้าอะไร" ดินว่าอย่างใจหาย ในยามนี้ไม่ว่าใครเห็นสีหน้าขาวซีดของชะเอม ก็รู้สึกแบบนี้กันทั้งนั้น
สงสารจับใจ
"นั่นสิ จะไปเกลียดได้ยังไง" รามบอก
"มันคือเรื่องจริงนะ" ชะเอมพูดแทรก ในใจหวาดกลัว
กลัว...ที่จะโดนเกลียด
"ที่ทุกคนได้ยินมา..." สายตาที่มองมาทำให้ร่างบางสูดลมหายใจเข้าแม้มันจะสั่นแค่ไหน หัวใจเต้นรัวแค่ไหนเขาก็ตัดสินใจที่จะพูด "เรื่องที่เราทำให้เรย์โดนรถชน มันคือเรื่องจริง"
ความเงียบที่เกิดขึ้นนานมากในความรู้สึก มือไม้สั่นไม่รู้จะวางไว้ไหนกำชายเสื้อแน่น ยิ่งไม่ได้ยินใครพูดอะไรใจมันยิ่งวูบโหวง
ถูกเกลียดแล้วใช่มั้ยนะ
สมควรแล้วล่ะ...
"นายทำจริงๆ เหรอ" สินเอ่ยทำลายความเงียบ
"เฮ้ย นายพูดบ้าอะไรวะ" ดินขึ้นเสียงให้กับคนถามคำถามไม่เข้ากับบรรยากาศ แต่สินเพียงปรายตามองให้ดินเงียบ
"ฉันถามนาย เอม ...นายทำจริงๆ หรือเปล่า ตอบมาตรงๆ"
ชะเอมมองตาคม ไม่รู้ทำไมแต่มันเป็นแววตาที่หลบเลี่ยงไม่ได้ ร่างบางสูดลมหายใจ ก่อนจะยิ้ม
เป็นรอยยิ้มที่แย่ที่สุด
"อื้ม" มือยกขึ้นปาดน้ำตาที่ไหลอาบหน้า ยิ่งนึกถึงเหตุการณ์ที่ติดตาไม่อาจลืมเลือน วินาทีที่เขาพลั้งมือเกือบจะ 'ฆ่า' คน "ตะ...แต่ ฮึก เราไม่ได้ตั้งใจนะ เราไม่ได้ตั้งใจจริงๆ"
"..."
"เราไม่ได้คิดว่ามันจะเกิดขึ้นเลย" ร่างบางสะอื้น" เรากลัวมาก...กลัวมากเลย"
ทั้งสามคนยืนฟังเงียบ ได้แต่มองภาพที่ซ้อนทับกับวันที่ร่างบางไม่สบายร้องไห้อยู่บนเตียงอย่างหนักไม่พูดอะไรเลยสักคำ
เพราะสาเหตุนี้เองสินะ
"แต่ตอนที่ได้ยินว่าเรย์ปลอดภัยแล้ว เราก็โล่งอกมากๆ เลย" ชะเอมอธิบายตัวสั่น ไม่รู้เพราะอะไร ได้แต่หวังว่าเพื่อนจะรับฟังและไม่เกลียดตัวเองไปมากกว่านี้ "เราไม่ได้ตั้งใจจะให้มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ"
"พอแล้ว" ร่างบางเบิกตากว้าง จู่ๆ ความอบอุ่นโอบล้อมรอบตัวเมื่อตกอยู่ในอ้อมแขนของใครบางคน "ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว"
"...ราม"
"เราเชื่อที่เอมพูดนะ" เสียงของรามที่ดังข้างหูยิ่งทำให้น้ำตาไหลสัมผัสมือใหญ่ของดินยกลูบหัวทุยเบาๆ ปลอบส่วนสินยกยิ้มบางๆ "ไม่มีใครเกลียดเอมลงหรอก”
“...”
สัมผัสลูบแผ่วเบาที่แผ่นหลังบางคอยย้ำคำพูดของราม“ไม่มีเลย"
"...ฮึก จริง...เหรอ"
"อืม"
“จริงๆ นะ” แขนบางกอดตอบแน่นระบายความอัดอั้นทั้งหมดที่มี
ความรู้สึกผิดและความอึดอัดที่ติดอยู่ไม่มีใครช่วยระบาย
ในวันนี้เขาได้ปลดปล่อยมันออกไปแล้ว
"ขอบคุณ"
“...”
“ขอบคุณ”
************************Whosefault? ************************
สนใจรูปเล่มหนังสือทักได้ที่เพจเฟสบุ๊ค H.Rui Novels นะคะ ^^
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in