เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลุงหมีเที่ยวญี่ปุ่นMr.PT
เที่ยวคนเดียวดูบ้าง
  • หลังจากที่ปลีกตัวออกจากกลุ่มหลักแล้ว ผมได้เดินลัดเลาะไปตามแหล่งต่างๆ ของย่าน Shinsaibashi อีกครั้งหนึ่ง ผมเดินเที่ยวทั่วๆ เดินกว้างๆ ไปเรื่อยเผื่อจะเจออะไรถูกใจ 

    ตอนที่ได้เดินคนเดียวมันรู้สึกโล่งๆ ดีนะครับ เหมือนได้อยู่กับตัวเองดี อยากไปตอนไหนก็ไป อยากกลับตอนไหนก็กลับ ไม่ต้องกังวลอะไรมากว่าใครจะรอเรารึเปล่า 


    คือเดินกับกลุ่มมันก็สนุกดีนะครับ เฮละโลกันไปเรื่อยดี แต่เดินคนเดียวมันก็ทำให้มีมุมมองแปลกๆ ต่างไปจากเดินกับกลุ่มดีเหมือนกัน



    ผมเดินเล่นได้สักพักก็นึกขึ้นได้ว่าผมมีแผนที่จะไปร้านขายเครื่องดนตรีเพื่อซื้อปิ๊กกีตาร์กลับไปเป็นของที่ระลึก ผมเลยใช้เวลาเดินหาร้านเครื่องดนตรีอยู่พักใหญ่ๆ แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลว เพราะเดินหายังไงก็หาไม่เจอ 


    จนกระทั่งผมนึกขึ้นได้ว่าผมมี Pocket Wi-Fi อยู่กับตัวนี่หว่า ทำไมไม่หาข้อมูลในเน็ตแล้วเปิด Google Maps เอาล่ะวะ...


    ผมค้นเน็ตเจอร้านเครื่องดนตรีร้านหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆ ชื่อร้านว่า Ichibashi ตั้งอยู่อีกฝั่งของย่านการค้า โดยพอผมลองใช้แอพฯ Google Maps คำนวณระยะทางและเวลาที่ใช้ในการเดินทางนั้น หากเดินเท้าไปจะใช้เวลาเดินจากจุดที่ผมอยู่ราวๆ 10 นาที ซึ่งฟังดูก็ไม่ไกลอะไรนัก ไปได้สบายๆ อยู่แล้ว เดินไปชิลๆ แป๊บเดียวก็ถึงร้าน


    แต่ร้านปิด 2 ทุ่ม และเวลา ณ ตอนนั้นคือ 1 ทุ่ม 45......

  • พอเห็นแบบนั้นปุ๊บ ผมจึงรีบเดินไปยังจุดที่แอพฯ บอกด้วยความเร็วสูงมากที่สุดในชีวิต เพราะกลัวร้านปิด ซึ่งแอพฯ นี่ก็สุดแสนจะฉลาดเกินไป เพราะแค่ผมเดินเลี้ยวไปผิดทางไม่กี่ก้าวพี่แกก็คำนวณเส้นทางใหม่ให้ (ด้วยระยะทางที่เพิ่มขึ้น) แถมพอเดินกลับมาทางเดิมพี่แกก็ไม่ปรับคืนให้ด้วยนะ...

    ผมเริ่มหงุดหงิดกับ Google Maps จนสุดท้ายเปิดแผนที่ธรรมดานั่นแหละแล้วรีบวิ่งไปยังที่ตั้งของร้าน วิ่งไปก็ดูนาฬิกาไป ดูทางไป อากาศก็สุดแสนจะหนาว หายใจก็ไมค่อยจะทัน อ้วนก็อ้วน โว้ย ลำบากจริง !

    ผมวิ่งสุ่มๆ ไปมาได้สักพักก็เจอป้ายพื้นหลังสีแดง หลอดไฟสีขาวๆ และหน้าร้านมีตู้แอมป์ (ลำโพงสำหรับกีตาร์หรือเบส) ตั้งอยู่

    อ้าห์ ในที่สุดก็ถึง Ichibashi...




    ผมเดินเข้าไปในร้านและเดินดูของไปด้วยสภาพหอบแดก ผมรู้สึกว่าร้านนี้ของเยอะและครบครันมากจริงๆ ทั้งที่ดูหน้าร้านเล็กๆ ไม่ได้ใหญ่มาก แต่ข้างในเต็มไปด้วยเครื่องดนตรีหลากหลายชนิด โดยเฉพาะกีตาร์กับเบสเนี่ย เยอะมาก (บางอันราคาถูกกว่าที่ไทยด้วย) แต่ก็ซื้อไม่ไหวอยู่ดีแหละครับ ไม่มีตัง...

    หลังจากเดินเสพเครื่องดนตรีเสร็จ ผมก็เดินไปยังเป้าหมายหลักของผมคือปิ๊กกีตาร์ ผมซื้อปิ๊กลายแปลกๆ น่ารักๆ ประมาณ 5 ชิ้น และซื้อพวงกุญแจรูปเบสไปฝากแฟน

    ระหว่างที่คิดเงินก็คุยกับคุณลุงแคชเชียร์ไปพลางๆ ผมบอกลุงแกไปว่าเสียดายที่มาช้าไปหน่อย ร้านปิดเร็วไม่ทันได้เลือกของอย่างอื่น เลยซื้อของเล็กๆ น้อยๆ อย่างปิ๊ก (จริงๆ คือไม่มีตัง) ลุงตอบมาว่าไม่เป็นไรหรอกครับ ไว้คราวหน้า พร้อมด้วยใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใส (แต่ในใจลุงอาจจะคิดว่ามึงไม่มีตัง อย่ามาอ้าง)



  • หลังจากนั้นผมก็เดินกลับไปยังย่าน Shinsaibashi ต่ออีกสักหน่อย ผมไม่รู้จะไปไหนเลยลองไปร้านคีบตุ๊กตาอีกครั้งนึง ซึ่งคราวนี้ผมเห็นตู้คีบตุ๊กตาตู้หนึ่งเป็นตุ๊กตาหมีเลวจากภาพยนตร์เรื่อง Ted ผมเห็นว่าราคามันไม่แพงนัก และตัวเองก็ว่างๆ อยู่จึงลองไปเล่นดู ซึ่งแน่นอนว่ามือใหม่เรื่องคีบตุ๊กตาอย่างผมย่อมคีบไม่ได้ครับ ด้วยความที่ตุ๊กตาตัวมันใหญ่ แถมขามันก็อ่อนแอสุดๆ มันเลยคีบไม่ขึ้นสักที สุดท้าย ผมเล่นได้แค่ 2-3 เครดิตผมก็เลิกเล่นไป 


    หลังจากนั้นผมก็เดินวนๆ ในร้านดูเผื่อจะมีตู้ไหนน่าสนใจ 


    เดินวนไปวนมาสักพักก็เจอกับชาวไทยกลุ่มหนึ่งที่มาเล่นตู้คีบตุ๊กตาไข่ขี้เกียจ (ที่ผมเล่นไปเมื่อวานก่อน) โดยเขาใช้วิธีเอาไม้คีบนั้นดันตูดตุ๊กตาให้ลงไป แทนที่จะใช้วิธีเล็งคีบขึ้นมา ซึ่งมันก็ดูเหมือนจะได้ผลนะครับ เพราะตุ๊กตาขยับลงไปเรื่อยๆ  และหมิ่นจะลงมาในช่องเข้าทุกที


    ต้องอธิบายก่อนว่าตู้คีบตุ๊กตาตู้นั้นเขาจะวางไว้บนไม้คั่นอะไรอะไรสักอย่าง ซึ่งพอวางไว้อย่างนั้น แน่นอนว่าเราไม่มีทางที่จะคีบมันขึ้น วิธีเดียวที่จะคีบมันคือต้องเอาไอ้ขาที่คีบนั่นแหละดันลงมา


    ระหว่างที่พี่ๆ เขาเล่นกันตาลุงพนักงานร้านก็มาคอยช่วยขยับนิดขยับหน่อย มาช่วยสอนทริคในการเล็ง ชี้ว่าต้องโดนตรงนี้นะถึงจะลง คอยมาเชียร์ตลอด จนในที่สุด แก๊งพี่ๆ คนไทยนั้นก็ทำสำเร็จครับ ดันตูดเจ้าไข่ขี้เกียจร่วงลงมาจนได้

     

    ผมเห็นแบบนั้นผมก็เลยอยากลองเอามั่ง เรารู้ทริคแล้วว่าต้องทำยังไง ทีนี้คงไม่ยากแล้วล่ะมั้ง ไม่น่าจะเสียหายหลายตัง


    ผมวนกลับไปตู้หมี Ted เพื่อลองเล่นอีกครั้ง โดยใช้เทคนิคที่แอบมองมาจากตู้ข้างๆ แต่มันก็ยังไม่สัมฤทธิ์ผลครับ ยังไงๆ มันก็ไม่ร่วง ได้แค่เฉียดๆ จะร่วง ผมพยายามแล้วพยายามอีก ตังหมดไปไม่รู้กี่ร้อยเยน ดันแล้วดันอีก อีตาพนักงานก็มาเชียร์แล้วเชียร์อีก วิ่งไปแลกเหรียญแล้วแลกเหรียญอีกวนไปวนมา วินาทีนั้นมันไม่นึกแล้วว่าเสียตังไปเท่าไร รู้อย่างเดียวว่ากูจะเอาโว้ย กูจะเอา กูจะชนะให้ได้โว้ยยยย


    จนในที่สุดผมก็ดันมันร่วงลงมาจนได้ คุณพนักงานก็เดินมาสั่นระฆังเฮฮาดีใจ กับผม แหม ได้ตังกูไปขนาดนั้นก็ต้องดีใจสิครับ ส่วนกูนี่กรอบเลย ฮือ

     

    พอได้รางวัลเสร็จเลยขอแชะรูปกับตาลุงแกหน่อย


  • ได้เจ้าหมีมาเสร็จผมก็เริ่มรู้สึกเบื่อๆ แล้ว ผมเลยตัดสินใจนั่งรถไฟฟ้ากลับบ้านที่ Juso

    พอมาถึง Juso ระหว่างที่ผมกำลังเดินเข้าบ้าน ผมทักไปหาแม่เพื่อถามว่าที่บ้านมีอะไรกินมั้ย แม่ผมบอกว่าให้กินมาจากข้างนอกเลย ในบ้านมีแต่เหล้าเบียร์... 

    ได้ยินดังนั้นแล้ว ผมจึงลองแวะไปต่อคิวกินราเมนร้านที่คนต่อแถวเยอะๆ ตรงหน้าปากซอยบ้านดูก่อน เพราะดูๆ แล้วน่าจะเป็นร้านเก่าแก่ รสชาติน่าจะอร่อยใช้ได้ 


    ยินรอคิวอยู่สักพักก็มาถึงคิวผม คุณป้าออกมาต้อนรับผมเป็นภาษาญี่ปุ่น แน่นอนว่าผมฟังไม่รู้เรื่องสักกระจึ๋งนึง ผมเลยสื่อสารภาษามือกับป้า จนในที่สุดป้าก็เข้าใจว่าผมต้องการสั่งราเมนหนึ่งชาม และข้าวหนึ่งถ้วย สื่อสารกันสำเร็จป้าก็ชี้ให้ผมไปนั่งตรงมุมร้านข้างๆ ลุงซาลารี่มัง (มนุษย์เงินเดือน) 2 คนที่ดูเหมือนจะเมากันมาชุดใหญ่

     

    ด้วยความที่ไม่รู้อะไรเลยว่าควรกินยังไงถึงอร่อย ผมเลยพยายามเหล่มองว่าชาวบ้านเขากินกันยังไง โดยพยายามมองให้น้อยที่สุดและเนียนที่สุด เพราะเกิดมองมากไปมันก็คงจะดูไม่ดีนัก


    เท่าที่ผมลองสังเกตดู ผมเห็นว่าทุกคนที่ทานราเมนร้านนี้จะสั่งข้าวมาควบคู่กันด้วยถ้วยนึง และเขาจะเอากิมจิที่ทางร้านวางไว้ให้มาทานกับข้าวก่อนที่จะทานราเมน ตอนทานราเมนเสร็จก็จะยกน้ำซุปซดกันจนหมดชาม (แอบเห็นพี่ผู้หญิงคนนึงที่ดูเรียบร้อยก็ยกซดซู้ดๆ เช่นกัน) 


    เอาล่ะ ได้วิธีกินแล้ว เดี๋ยวพอของมาเราลองบ้าง...




     

    พอราเมนและข้าวมาถึง ผมไม่รอช้าคีบกิมจิมาโปะบนข้าว และซัดโฮกอย่างหิวโหย พอชิมเข้าไปแล้วรู้สึกว่าราเมนรสชาติดีครับ เข้มข้น ซุปหอม เส้นนุ่มกำลังดี ภาพรวมถือว่าอร่อย  แค่ยังไม่ถึงขั้นอร่อยเลิศเลออะไร 


    แต่สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้ราเมนชามนี้สมบูรณ์แบบคือข้าวราดกิมจิครับ กิมจิมันเปรี้ยวๆ หวานๆ นิดๆ ติดปลาย ความกรุบกรอบของผักมันมันเข้ากันได้ดีกับข้าว และยิ่งทานไปพร้อมกับราเมนยิ่งสุดยอดเพราะมันช่วยตัดเลี่ยนได้ดีเลย 


    ผมซัดราเมนไปพร้อมกับเสียงลุงสองคนตะโกนโหวกเหวกอย่างมีความสุข คุณลุงดูเหมือนจะสนุกกันเต็มที่ เพราะด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์


    ทุกอย่างกำลังจะไปได้ด้วยดีครับ อาหารรสชาติโอเค บรรยากาศก็สนุกดี 


    จนกระทั่ง...

     

    ลุงคนข้างๆผมอาเจียนใส่ชามราเมนของตัวเองครับ….


    ด้วยความที่แกเมาและแกซัดของหนักอย่างราเมนซะหมดชาม แกเลยอาเจียนออกมาใส่ชามราเมนของแกนั่นแหละ...


    ผมช็อค ทำอะไรไม่ถูก อาหารที่อร่อยๆ กลายเป็นว่ามันขมคอขึ้นมาทันใด กลิ่นอาเจียนของลุงมันตีหน้าผมขึ้นมา ผมเวียนหัวไปหมดทำอะไรไม่ถูก สถานการณ์มันเลวร้ายมาก คือกูเพิ่งฟินไปได้แป๊บเดียวเองนะลุงโว้ย ไอ้สัสสส 

      

    ผมตัดสินใจรีบจ้วงราเมนและข้าวที่เหลือให้หมด เพราะไม่อยากให้มันดูน่าเกลียดที่เราทานอาหารไม่หมดชาม อันที่จริงผมไม่รู้หรอกนะว่ามารยาทญี่ปุ่นเรื่องการทานอาหารไม่หมดมันเป็นเรื่องผิดหรือเปล่าแต่ผมดูจากชามของทุกคนแล้ว มันเกลี้ยงหมดเลยครับ ทุกคนซัดกันเกลี้ยง ผมจึงกลั้นใจซัดสุดชีวิต ไม่สนแล้วว่าอร่อยไม่อร่อย ตอนนี้ขอให้กูรีบๆ พ้นจากตรงนี้ กูไม่ไหวแล้ววววว 


    หลังจากผมซัดราเมนจนหมด ผมรีบเรียกป้ามาคิดเงิน เสร็จแล้วผมรีบเดินออกจากร้านแล้วสูดลมหายใจแรงๆ หนึ่งครั้ง เพื่อที่จะพ้นจากสภาวะพะอืดพะอมตอนนั้นให้ได้


    ท่าของผมตอนที่ออกจากร้านราเมนมาได้คล้ายๆ กับนักวิ่งมาราธอนที่วิ่งมาแล้วเกือบ 10 กิโลเมตรจนวิ่งเข้าเส้นชัยสำเร็จ แล้วกางแขนกางขาแล้วสูดลมหายใจสุดชีวิตอะไรประมาณนั้น ผมเดินอยู่ท่านั้นจนป้าแถวนั้นมองแปลกๆ ว่าไอ้หนุ่มเซาท์อีสท์เอเชี่ยนดู๊ดนี่มาทำบ้าอะไรแถวนี้



  • ผมใช้เวลาตั้งหลักตั้งสติอยู่พักนึงถึงได้เดินเข้าบ้านไปครับ ระหว่างทางนั้นผมกดตู้หยอดเหรียญซื้อชาร้อนมากินแก้หนาวและแก้มึน (อันนี้คิดเอง) 


    เดินได้สักพักก็ถึงบ้าน ผมเปิดประตูเข้าไปในบ้านปุ๊บ ทุกคนก็ดูตกใจกันหมด เดาจากสีหน้าทุกคนน่าจะต้องการพูดประมาณว่า "มึงกลับมาถึงด้วยหรอวะ !!" เพราะจาก Namba มายังบ้านนี่ไม่ใช่ง่ายๆ นะครับ มันก็ซับซ้อนพอสมควร เพราะต้องเปลี่ยนรถจากนี่ไปนั่นจากนั่นไปนี่เดินย้ายก้นมาทางนี้ทางนั้น บลาบลาบลา ทุกคนโดยเฉพาะแม่ผมจึงดูตกใจที่กลับมาได้โดยไม่ต้องโทรมาถามทางเลย

     

    หลังจากมาถึงบ้าน ผมไปเปลี่ยนเสื้อผ้าและนั่งดื่มกันต่อกับพวกพี่เจน วันนั้นผมลองเบียร์ไปหลายยี่ห้อมาก รวมถึงเหล้าสาเกผมก็ได้ลอง ซึ่งมีเบียร์และเหล้าอะไรบ้างนั้น ผมได้เขียนไว้ในบทความ ทดลองเบียร์คันไซ (http://minimore.com/b/J0TsZ/1) เรียบร้อยแล้วครับ เพราะงั้นถ้าอยากรู้ว่าแต่ละตัวเป็นยังไงก็ลองไปอ่านกันได้ครับ 



    ดื่มกันได้สักพักเบียร์ก็เริ่มหมดพี่ปูกับพี่เจนจึงไปซื้อมาเพิ่ม พี่ทั้งสองหายไปสักพักก็กลับมาพร้อมเบียร์อีกเพียบที่สำคัญคือยี่ห้อใหม่ๆทั้งนั้น ทั้งตราแมว ตรากบ ตรานกฮูก ตรานู่นนี่นั่น คือเบียร์สารพัดจะเบียร์จริงๆ มันหลากหลายจนผมที่เป็นสายเบียร์ยังตกใจเลยครับว่ามึงจะขยันทำเบียร์อะไรขนาดนั้น ที่ไทยนี่เห็นอย่างมากก็แค่ 5 แบบ แต่นี่พี่ท่านล่อไปเกิน 30 แบบแล้ว 


    ซึ่งถามว่าดีมั้ย ดีครับ ชอบ...


    นึกแล้วก็อิจฉาบ้านเขาที่มีเบียร์ให้บริโภคกันหลากหลายในราคาที่เราจับต้องได้ ต่างจากบ้านเราที่เบียร์นี่ผูกขาดอยู่ 2-3 เจ้า รายใหญ่ๆ ก็กอบโกยกำไรกันรัวๆ ส่วนรายเล็กๆ ก็ต้องไปทำจากต่างประเทศแล้วส่งมา ทีนี้ราคามันก็แพง เข้าถึงยากอีก...


    อนิจจา...

  • เรานั่งดื่มนั่งคุยกันไปกันมาก็วนมาเข้าเรื่องราเมนที่ผมไปประสบมาจากหน้าปากซอยบ้านนั่นแหละครับ (สะอื้น..) คุยไปมาก็ได้ความว่าเท็นกับพี่เจนเองก็ไปลองราเมนร้านหน้าปากซอยมาแล้ว แต่พี่เจนบอกว่าเจ้านั้นยังไม่เด็ดเท่าอีกเจ้านึงซึ่งเป็นร้านที่พี่เจนกับพี่ปูเคยมากินเมื่อปีที่แล้ว และราเมนร้านนั้นอร่อยจนทำให้พี่เจนถึงขั้นที่ว่ากินราเมนที่ไหนก็ไม่อร่อยอีกเลย

     

    ผมได้ยินแล้วหูผึ่งตาโพลงเลยครับ คิดในใจว่ามันอร่อยขนาดนั้นเลยหรอวะ คิดไปพลางพี่เจนก็บรรยายสรรพคุณของราเมนไปพลาง พี่เจนเล่าว่าร้านเป็นร้านเล็กๆ ที่พี่เจนกับพี่ปูไปเจอมาจากการถามพนักงานในโรงแรมของที่พี่ๆ พักกันเมื่อครั้งที่แล้ว (ปีที่แล้วพี่ๆ พักกันแถวๆ Kyoto) ซึ่งพนักงานก็แนะนำร้านนี้ พี่เจนบอกว่าพอได้ลองชิมแล้วรู้สึกว่ามันอร่อยมากๆ ทุกอย่างมันลงตัว น้ำซุป หมู เส้นทุกอย่างมันผสมกันแล้วสุดยอดสุดๆ และแน่นอนว่าพี่เจนก็มีแผนที่จะไปลองชิมราเมนเจ้านี้ในวันพรุ่งนี้ เพราะแผนการเที่ยวของเราจะมีไปแถวๆ Kyoto ด้วย


    ผมนี่รอไม่ไหว อยากจะให้ถึงวันพรุ่งนี้เร็วๆ !


    เราดื่มเบียร์คุยกันได้สักพักน้าเอ๋ก็ลงมาคุยเรื่องบ้านที่ไทยกับพวกพี่เจนว่ามีคนแปลกหน้ามาวนเวียนอยู่แถวๆ บ้านแก ผมเห็นบรรยากาศดูตึงเครียดเลยเฟดตัวเองออกมาแล้วหนีไปอาบน้ำนอนก่อน

     

    คืนนั้นผมนอนคิดกับตัวเองว่ายังรู้สึกเหมือนว่ายังเที่ยวไม่คุ้มเลยในย่าน Namba และ Shinsaibashi เพราะผมรู้สึกว่ามันยังมีอะไรอีก แค่ผมยังไม่เจอมันเท่านั้นเอง


    ยังไงผมคิดไว้ว่าพรุ่งนี้จะตื่นขึ้นมาจะลองหาข้อมูลสถานที่เที่ยว Namba อีกและอาจจะขอพี่ๆ แยกตัวไปเที่ยวคนเดียวอีกครั้งในวันสุดท้ายก่อนที่จะกลับบ้าน

     

    แต่ตอนนี้ช่างเถอะง่วงจะตายแล้ว นอนก่อนดีกว่า


    รูปรียูสจากบทความก่อน...

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in