วันนี้เรามีแผนจะไปเที่ยวแถบ Kyoto กัน โดยเริ่มจากวัดรอบๆ แล้วค่อยเข้ามากินราเมนเจ้าที่พี่เจนบอกไว้เมื่อคืนเป็นการปิดท้าย
เราเริ่มจากกินข้าวเช้ากันที่ Juso ต่อด้วยนั่งรถไฟฟ้าไปลงที่ Osaka แล้วนั่งไปต่อที่ Kyoto ระหว่างการเดินทาง ผมหลับยาวตลอดทางเลยไม่ได้รู้สี่รู้แปดอะไรกับเขาเลยว่าไปไหน รู้ตัวอีกทีพี่ๆ แม่ๆ ป้าๆ ก็ปลุกให้ลงรถไฟที่ Kyoto แล้ว
สถานี Kyoto เป็นสถานีที่ใหญ่มากสถานีนึงเลยครับ ข้างในมีร้านขายของฝากอยู่หลายร้าน นอกจากร้านของฝากก็มีร้านขนมร้านเบเกอรี่อยู่ด้วย มองๆ บรรยากาศไปบางทีก็ดูคล้ายๆ กับสนามบินเหมือนกัน
น่าอิจฉาบ้านเขาจริงๆ มีสถานีรถไฟฟ้าเจ๋งๆ แบบนี้...
ส่วนบ้านเราหรอ... ไม่เอาไม่พูด
พอถึง Kyoto ผมกับพี่ปูก็ไปซื้อตั๋วรถไฟฟ้าไปต่อที่สถานี Tofukuji เพื่อไปยังวัด Tofukuji ซึ่งเป็นวัดที่มีใบไม้แดงสวยงามปกคลุมอยู่ทั่วทั้งวัด
พี่เจนกับพี่ปูเล่าว่าปีที่แล้ววัดนี้คือวัดที่สวยที่สุดในแถบคันไซแต่ครั้งนี้อาจจะไม่ได้สวยงามขนาดนั้น เพราะช่วงที่เราไปกันนั้น ใบไม้แดงมันร่วงไปหมดแล้ว อาจจะได้เห็นก็เพียงแค่ใบไม้เกาะๆ ตามต้นนิดหน่อย หรือเห็นแค่ใบไม้ที่กองอยู่ตามพื้นเท่านั้น
เรานั่งรถไฟฟ้ากันเข้าไปสักพักก็มาถึงสถานี Tofukuji ซึ่งเราต้องเดินเข้าไปอีกนิดหน่อยถึงจะเจอตัววัดฃ
ระหว่างทางบ้านเมืองแถวนี้จะค่อนข้างต่างกับ Juso ครับ บรรยากาศมันดูโปร่งๆ กว่าบ้านดูใหญ่และมีพื้นที่มากกว่า มองๆ ไปบรรยากาศก็ดูชิลล์กว่าแถวนั้นด้วยครับ แถวนั้นมองไปนี่รู้สึกแออัดแน่นๆ ดูเป็นชุมชนเมืองพอสมควร แต่มาฝั่งนี้รู้สึกมันโปร่งๆ โล่งๆ ดูมันสบายตากว่าพอสมควร
เราเดินกันพอปวดขานิดๆ ก็ถึงวัด Tofukuji บรรยากาศวัดก็ดูปกติเหมือนวัดญี่ปุ่นทั่วไป ด้านหน้าวัดมีโรงเรียนอนุบาล (มั้ง) ตั้งอยู่ ดูๆ ไปก็เหมือนโรงเรียนอนุบาลบ้านเรา แต่ยูนิฟอร์มเค้าดูเท่กว่าของเราเยอะ ของบ้านเราจะเป็นแค่เสื้อ กระโปรง/กางเกง จบ ส่วนของที่นั่นจะมีพื้นฐานเหมือนเราคือเสื้อ กระโปรง/กางเกง แต่จะเพิ่มเอี๊ยมสีสดใส และหมวกน่ารักๆ เหมือนในการ์ตูนญี่ปุ่น มองๆ แล้วก็ดูน่ารักดีครับ
เราเดินเข้าประตูวัดกันไปได้สักพักก็ถึงส่วนที่เข้าเยี่ยมชมวัด เราตรงไปที่บริเวณตัววัดซึ่งต้องเสียค่าธรรมเนียมเข้าชมก่อน (จำไม่ได้แล้วว่าเท่าไรแต่ไม่แพงมากนะ) จ่ายเงินกันเสร็จเราก็เข้าไปเยี่ยมชมตัววัดกัน
พอเดินเข้าไปถึงก็เป็นอย่างที่พี่ปูพี่เจนว่าไว้ครับ ใบไม้แดงมันไม่ได้ปกคลุมเท่าปีที่แล้วที่พี่ปูกับพี่เจนเคยมา แต่ก็ยังดีที่มันพอมีใบไม้แดงสวยๆ ให้เราเห็นบ้าง ระหว่างทางเดินข้ามสะพานเราก็เห็นใบไม้แดงๆ อยู่บนกิ่งไม้แห้งๆ เล็กน้อย ซึ่งสำหรับผมผมว่าสวยนะอาจจะไม่ได้ว่าอลังการดาวล้านดวงแต่ดูๆ ไปก็ค่อนข้างสวยเลยทีเดียว
ไม่รู้จะอธิบายอะไรแล้ว ขออธิบายด้วยภาพแล้วกันครับ
เราเดินกันไปถ่ายรูปกันไปคุยโม้กันไปจนถึงด้านในตัววัด ด้านในมีที่นั่งและเป็นเหมือนตัวโบสถ์ที่ติดอยู่กับภูเขา บรรยากาศดูสงบมาก อากาศก็เย็นๆ กำลังดี
ส่วนตัวผมเองผมว่าส่วนนี้เนี่ยแหละที่สวยที่สุดในวัด สวยกว่าตรงที่มีใบไม้แดงร่วงซะอีก
ผมนั่งเล่นโทรศัพท์พลางถ่ายรูปพลางจนพอเราทุกคนมาครบและนั่งพักหายเหนื่อยกันเสร็จ เราก็เดินทางออกจากวัดเพื่อที่จะไปเที่ยวกันต่อ
เดินออกจากวัดได้สักพักเราก็มาเจอกับร้านขายขนม ซึ่งอยู่บริเวณทางออกจากวัดพอดี ในร้านมีขายขนมดังโงะ (ขนมที่เป็นแป้งๆ คล้ายๆ โมจิ แต่จะหนึบกว่า) โดยมีดังโงะหลากหลายแบบให้เลือก ทั้งแบบราดซอสหวานๆ มาแบบเสียบไม้ แบบร้อนๆ มาพร้อมถั่วแดง หรือแบบมาพร้อมไอศกรีมก็มีให้เลือก ซึ่งผมกับแม่สั่งแบบราดซอสหวานและแบบร้อนมาคนละถ้วย ซึ่งรสชาติก็โอเคเลยครับ อร่อย หวานๆ หนึบๆ กินเพลินดี
หลังจากกินเสร็จเราก็ออกเดินทางต่อ ซึ่งตามแผนที่พี่ปูวางไว้เราจะไปเที่ยวชมวัดเงินและวัดทอง (ในการ์ตูนเรื่องอิคคิวซังนั่นแหละครับ) กันต่อแต่เวลาตอนนั้นล่วงเลยถึงเกือบๆ จะบ่ายสามอยู่แล้ว พี่ปูกังวลว่าจะไปไม่ทันวัดปิดก็เลยตัดสินใจกลับ Kyoto ดีกว่า
จากนั้น เราก็นั่งรถไฟจาก Tofukuji ไปลง Kyoto เพื่อที่จะไปซัดราเมนกันต่อ
ระหว่างนี้ผมนั่งคุยกับแม่ไปว่าอยากไป Namba อีกรอบอยากไปเดินเล่นแถวนั้นอีกสักครั้ง ซึ่งแม่ก็บอกผมว่าจริงๆ แล้วพรุ่งนี้เค้าก็มีแผนจะไป Namba กันอีกรอบอยู่แล้ว แต่จะไปแค่พี่ๆ เท่านั้นส่วนรุ่นเด็กๆ ป้าๆ ไม่ได้ไปด้วย เพราะ Namba มันต้องขึ้นรถต่อรถเดินไปมาเยอะเด็กๆ ป้าๆ หมดแรงกันแรงเลยขอถอนตัวพักอยู่บ้านกันดีกว่า
หลังจากลงรถไฟฟ้าพี่เจนบอกว่าร้านราเมนที่พี่เจนจะพาไปนั้นเดินไปค่อนข้างไกล พอแม่กับน้าเอ๋ได้ยินอย่างนั้นจึงตัดสินใจที่จะอยู่คอยแถวๆ สถานี Kyoto ดีกว่าไม่อยากเดินไกลแล้ว ป้าๆ เหนื่อย
หลังจากแยกกันแล้ว พวกเราที่เหลือเดินไปมากันอยู่พักใหญ่ก็มาถึงร้านร้านดูเป็นร้านเล็กๆ ไม่มีอะไรนัก แต่ร้านดูเก่าแก่อยู่เหมือนกัน เดินเข้าไปในร้านเราก็เห็นหม้อใบใหญ่หลายใบ เนื้อหมูชาชูชิ้นโตๆ วางไว้ โถน้ำซุปมิโสะใหญ่ๆ มองบรรยากาศรอบๆ ก็ดูเป็นร้านที่ขลังไม่เบา ท่าทางจะสมกับที่พี่เจนได้พูดให้เราฟังจริงๆ
ผมสั่งราเมนมิโซะธรรมดาไปหนึ่งชาม ระหว่างรอเราเห็นกระบวนการทำสุดแสนจะโปรของลุงทั้งการจ้วงตักมิโซะ การหั่นหมู การเช็คความนุ่มแข็งของเส้น กระบวนการตักน้ำซุปของลุง คือนั่งดูทุกอย่างแล้วมันเพลินมาก
จริงๆ มันใช้เวลาค่อนข้างเยอะเลยนะครับกว่าลุงจะทำเสร็จ แต่ระหว่างที่รอลุงทำเนี่ย มันไม่รู้สึกว่ามันนานเลยเพราะได้นั่งดูลุงทำราเมนนี่มันโคตรจะเพลินเลย ดูแล้วสนุกมากๆ
ดูได้สักพักนึง ลุงก็ยกชามมิโซะราเมนมาวางตรงหน้าชามมันใหญ่มากครับ คือใหญ่พอๆ กับบะหมี่พิเศษของร้านหมี่เกี๊ยวบ้านเราเลย ผมไม่รอช้าลองชิมรสชาติดูปรากฎว่ารสชาติมันดีมากครับ คือมันกลมกล่อมมันเข้มข้นเอามากๆ เส้นก็เหนียวนุ่มกำลังดี หมูชาชูชิ้นใหญ่มาก ผมซัดโฮกได้อยู่พักนึงก็หมดเกลี้ยงชามก่อนใคร
มื้อนั้นมันฟิณณ์มากๆ ครับ รู้สึกดีที่ได้มากินราเมนเจ๋งๆที่ต้นกำเนิดของเขา มันรู้สึกดีจริงๆ นะ คงเหมือนกับคนต่างชาติที่ได้กินต้มยำกุ้งน้ำข้นเจ้าเด็ดๆ ของเราล่ะมั้งครับ อารมณ์มันประมาณว่ามาถึงแล้วโว้ยยย มาถึงจริงๆ โว้ยยย
หลังซัดราเมนกันเสร็จ เราก็พากันไปเดินเล่นที่ห้างแถว Kyoto ต่อ เดินไปมาเดินมาสุดท้ายพี่เจนก็นัดให้แม่ๆ ป้าๆ มาเจอกันที่ห้าง Bic Camera ที่เป็นห้างใหญ่แถวนั้น ซึ่งมีทุกอย่างค่อนข้างครบครันทั้งกล้องถ่ายรูป เครื่องใช้ไฟฟ้า อาหาร ขนม บลาๆ พี่เจนให้ทุกคนมาลองเดินที่นี่เพื่อลองดูของฝากหรือของใช้ตามอัธยาศัย
พวกเราแยกๆ กันเดินที่ Bic Camera ส่วนผมขอแยกมานั่งพักผ่อน ผมใช้เวลากับการพักร่างกายด้วยการหาที่นั่งมากกว่าที่จะเดินดูของเพราะที่ห้างนี้พอมีที่นั่งให้นั่งพักผ่อนหย่อนตูด แถมมี Free Wi-Fi ให้เล่นโดยไม่มีเงื่อนไขอะไรเยอะแยะเหมือนที่อื่นอีกด้วย
การได้เล่นเน็ตแรงเต็มสปีดนี่มันฟินมากกกกก ครับ เพราะตลอดทริปที่ผ่านมากรุ๊ปของเรามี Pocket Wi-Fi แค่ 2 อัน ซึ่งอันนึงก็ไม่ค่อยจะติด รวนๆ มึนๆ อีกอันนึงก็คนใช้เยอะ ใช้ทีใช้กันเกือบ 10 คนผมเลยไม่สามารถเล่นอินเตอร์เน็ตได้อย่างสะใจนัก แต่พอมาที่ Bic Camera ก็ทำให้ผมได้เล่นเน็ตอย่างเต็มที่ และได้พักผ่อนแบบเต็มรูปแบบสักที...
ระหว่างที่ผมเล่นเน็ตไปเรื่อยๆ ผมก็นึกได้ว่าอยากหาย่านของเล่นแถวนี้ดูเผื่อจะลองแวะไปหลังจากเดิน Namba เบื่อในวันพรุ่งนี้
ค้นไปค้นมาผมก็เจอย่านย่านหนึ่งชื่อย่าน “Den Den Town” เป็นย่านขายของเล่นและเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดของฝั่ง Kansai ซึ่งหลายๆ คนในเน็ตบอกกันไว้ว่าย่าน Den Den Town นี่เป็นแหล่งของเล่นใหญ่ไม่แพ้ย่าน Akihabara (แหล่งขายของเล่นที่มีชื่อเสียงที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ที่ Tokyo) เลยทีเดียว แล้วที่สำคัญที่สุดคือเจ้า Den Den Town มันอยู่ไม่ไกลจากย่าน Namba เดินไปไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงแล้ว
ผมจึงวางแผนไว้ว่าจะไปเที่ยวเจ้าย่าน Den Den Town ในวันพรุ่งนี้กะว่าจะได้ของเล่นผู้ใหญ่ เอ๊ย ของเล่นตัวการ์ตูนติดไม้ติดมือมาสักหน่อย
ผมนั่งเล่นนั่งคอยได้สักพักก็เริ่มเบื่อ เลยลองเดินเล่นในตัว Bic Camera ดู ระหว่างเดินไปเดินมาก็นึกขึ้นได้ว่ามีเพื่อนผมคนนึงชื่อบาสฝากดูกันดั้มที่ญี่ปุ่นให้หน่อย ผมเลยลองไปส่องๆ ดูตามแผนกของเล่น และไลน์ถามบาสอยู่เรื่อยๆ ว่าแบบนี้ใช่แบบที่ต้องการรึเปล่า ถามกันไปถามกันมาสุดท้ายก็ยังไม่ใช่แบบที่บาสต้องการครับ ผมเลยวางแผนไว้ว่าพรุ่งนี้จะไปดูกันดั้มเผื่อบาสด้วยที่ Den Den Town
เดินเล่นได้สักพักแม่ก็โทรไลน์ตามผม เรานัดเจอกันที่ชั้นนึงของ Bic Camera เพื่อขึ้นรถไฟกลับบ้านกัน ตอนแรกผมก็ยังงงๆ นะครับว่าทำไมถึงนัดที่นี่ ทำไมไม่ไปนัดที่สถานี Kyoto เลย ซึ่งพอมาถึงผมก็ได้เข้าใจว่าที่นัดกันที่นี่เพราะข้างในตัวห้างมันมีประตูที่เชื่อมต่อกับรถไฟฟ้าเลย คือประตูเข้าสถานีมันกั้นระหว่างตัวห้างกับตัวสถานีตรงนั้นเลยครับ เราซื้อตั๋วกันเสร็จก็ขึ้นรถไฟมุ่งหน้ากลับบ้าน โดยเรานั่งกลับไปยังสถานี Osaka และต่อไปยังสถานี Juso
พอมาถึงที่บ้าน ทุกคนรีบอาบน้ำนอนกันหมด ไม่เว้นแม้แต่พี่สมัยกับพี่เจนที่นั่งซัดเบียร์กันทุกคืน คืนนี้พี่ๆ ทั้งสองหลับตั้งแต่ยังไม่ถึงเที่ยงคืน
คืนนี้จบลงอย่างรวดเร็วมาก ทุกคนนอนกันเร็วมาก อาจจะเพราะเหนื่อยสะสมจากการเดินทางตลอดทริป ส่วนผมก็ยังคงเหมือนเดิมคือนอนแทบไม่หลับจากเสียงกรนที่มารอบทิศ และความตื่นเต้นที่จะได้ไปย่านของเล่นในวันพรุ่งนี้
ความรู้สึกมันตื่นเต้นเหมือนตอนผมอายุประมาณ 7 ขวบที่ยายเคยให้ตังค์ผมมาหนึ่งพันบาทเพื่อไปซื้อเลโก้กล่องใหญ่มาต่อเล่น (ปัจจุบันพันนึงได้แค่กล่องกระจึ๋งเดียว เศร้า) ผมจำได้ว่าสมัยนั้นผมตื่นเต้นมากเก็บเงินพันนึงไว้อย่างดีเพื่อเตรียมจะไปซื้อเลโก้ วันที่ไปก็กระดี๊กระด๊าตื่นเช้าไปซื้อกับแม่ที่เดอะมอลล์บางกะปิ
ซึ่งจะว่าไปมันก็นานแล้วนะครับ เกือบ 15 ปีแล้ว จากวันนั้น
ก็ยังแปลกที่ผมยังตื่นเต้นกับการไปซื้อของเล่นอยู่...
ถึงจะแก่ขึ้นสักแค่ไหน แต่ของเล่นมันก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงจิตใจลูกผู้ชายอยู่ดีแหละนะ...
วัด Tofukuji นี่สวยมาก เสียดายที่เราไม่ได้ไปแหะ
จะติดตามตอนต่อไปนะคะ
ป.ล.ตามไปอ่านเรื่องเบียร์แล้วอยากลองมากเลยค่า!