เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
ลุงหมีเที่ยวญี่ปุ่นMr.PT
ลุยเดี่ยววันสุดท้าย (End)
  • วันนี้เป็นวันสุดท้ายที่เราจะเที่ยวญี่ปุ่นในทริปนี้ืกันซึ่งในกำหนดการณ์ของเราไม่มีแผนอะไรเป็นพิเศษ ใครจะไปไหนก็ไป ดังนั้นทุกคนเลยแยกย้ายกันไปตามที่ที่ตัวเองอยากไป แม่ไปเดินแถวหน้าปากซอยพี่เจนพี่ปูก็อยู่บ้าน เท็นกับแทนไปย่าน Shinsaibashi ส่วนผมมีแผนที่จะไปย่าน Den Den Town  ย่านของเล่นที่ใหญ่ที่สุดในแถบคันไซ



    วันนี้ผมตื่นสายที่สุดในบ้าน อาหารที่พอจะเหลือให้ได้กินเป็นมื้อเช้าก็เลยมีแค่บะหมี่กึ่งสำเร็จรูปยี่ห้อนิชชินเท่านั้น 



    ตอนแรกผมแอบๆ เซ็งพอสมควร เพราะเมื่อคืนที่แล้วผมเปิดตู้เย็นดูก็ยังเห็นเนื้อ และของสดอยู่อีกหลายอย่าง แต่พอตื่นเช้ามาดันเหลือให้กินแค่บะหมี่กึ่งฯ ซะอย่างงั้น...





  • เติมพลังมื้อเช้าเสร็จเรียบร้อย ผม เท็น และแทน ก็ออกจากบ้านไปด้วยกัน ซึ่งที่ผมออกจากบ้านพร้อมกันกับน้องๆ สองคนเป็นเพราะว่า Den Den Town ที่ผมอยากไปมันก็ต้องไปเริ่มจากสถานี Namba อยู่ดีเพราะฉะนั้นเลยเกาะกลุ่มกันไปดีกว่า


    เรานั่งรถไฟฟ้าไม่นานก็มาถึงสถานี Namba ผมแยกกับเท็นแทนตรงนี้เพื่อจะไปยังจุดหมายของผม


    ผมเดินตั้งแต่สถานี Namba ไปจนถึงปลายทางที่ Den Den Town ใช้เวลาราวๆ ครึ่งชั่วโมง (เดิน 10 นาที หลง 20 นาที) ซึ่งระหว่างทางที่เดินผมก็ถามทางคนนู้นคนนี้ไปเรื่อย จนไปเจอจุดที่เป็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยวพอดี ตรงจุดนี้อธิบายค่อนข้างละเอียดว่าพอไปถึงตรงนี้ ยูต้องวนมาตรงนี้นะ แล้วเลี้ยวออกไปทางนี้ อย่าไปทางนี้นะ (เจ้าหน้าที่คนญี่ปุ่น แต่สนทนาเป็นภาษาอังกฤษทั้งหมด) และพอออกไปถึงย่านยูก็จะเจอกับป้ายนี้ๆ นะ แปลว่าถึงแล้วนะยู โอเค้ ?


    ผมขอบคุณพี่เจ้าหน้าที่เสร็จก็เดินตามทางที่พี่เขาบอก เดินมาเรื่อยๆ ก็มาพบกับป้ายใหญ่ป้ายหนึ่งตามที่เจ้าหน้าที่ได้บอกไว้


    มาถึงแล้วเว้ย Den Den Town !



  • แรกสุดผมเข้าไปยังร้าน Game Taito Station ก่อน เพื่อลองหาว่ามีอะไรให้เล่นบ้าง แต่เท่าที่ลองๆ ดูก็มีเป็นตู้เกมเล็กๆ น้อยๆ และตู้คีบตุ๊กตาซะส่วนใหญ่ ผมเลยเดินออกมาแล้วลองไปหาร้านอื่นดีกว่า


    เดินถัดมาได้อีกสักพักก็ได้เจอกับร้านขายซีดีร้านใหญ่ ผมเห็นว่าน่าสนใจดีก็เลยลองเดินเข้าไป เผื่อจะมีแผ่นเพลงอะไรเจ๋งๆ ที่เราอยากได้ ไม่ได้คิดถึงเรื่ิองซีดีอย่างอื่นเลยนะ จริงจริ๊ง..


    เดินเข้าไปในร้านก็เห็นซีดีจำนวนมากวางเรียงรายอยู่ในร้าน ทั้งเพลง หนัง การ์ตูน และโซน 18+...


    จริงๆ ก็ไม่อยากจะเข้าเท่าไร แต่มาถึงแหล่งเขาแล้วก็ขอแวะดูซะหน่อยแล้วกันนะ ดูแต่ตาพอ ซื้อไม่ได้ เดี๋ยวศุลกากรจับ


    ที่ร้านนี้ ไม่สิ แทบทุกร้านในญี่ปุ่นที่จำหน่ายอะไรก็ตามที่เป็น 18+ มักจะมีลักษณะเดียวกันคือจะมีผ้าม่านกั้นไว้ชัดเจนว่าโซนนี้เป็นโซน 18+ มองลอดไปก็ไม่เห็นอะไร ต้องเดินเข้าไปลึกๆ ถึงจะเจอ 


    ผมเดินเข้าไปเรื่อยๆ ก็เจอกับซีดีและดีวีดี 18+ เรียงรายเป็นจำนวนมาก มีแทบทุกค่ายหนัง ทุกนักแสดงที่ผมรู้จัก (ไปรู้จักยังไง ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจนะครับ แฮ่ๆ) นอกจากนั้นยังมีทุกสไตล์หนัง ทั้งแบบทั่วๆ ไป แบบ 3 ต่อ 1 แบบสถานการณ์จำลอง แบบซอมบี้ แบบแนววิทยาศาสตร์ จนถึงแบบมนุษย์ต่างดาวก็มี...


    ที่ร้านมีซีดี 18+ มากขนาดนี้ก็ไม่แปลกเท่าไรหรอกครับ เพราะร้านนี้มีพื้นที่ราวๆ 5 ชั้น แต่เป็นพื้นที่ของหนัง 18+ ไปแล้ว 4 ชั้นครึ่ง ดังนั้นมันเลยเป็นแหล่งรวบรวมขุมสมบัติชั้นยอดของผู้ที่ต้องการจะสืบเสาะหาวัตถุดิบไปใช้ในการศึกษาและระบายอารมณ์ของตัวเองได้อย่างยอดเยี่ยมนักแล


    จากการเดินสังเกตดูแล้ว ส่วนใหญ่คนที่มาเดินในโหมดนี้มักจะมาเดินกันอย่างจริงจัง เงียบๆ และใช้เวลานานพอสมควร ไม่ค่อยมีแบบว่าเดินมาหยิบ จ่าย หยิบ จ่าย เป็นร้านสะดวกซื้อ อันนี้ยังไม่เห็น


    ในเมื่อตัวผมเองที่เป็นนักท่องเที่ยว พอเข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ก็เลยเดินดูหนัง 18+ เงียบๆ ตามฉบับพี่ๆ คนญี่ปุ่นนั่นแหละครับ 


    จริงๆ ไม่อยากเดินเลย แต่ต้องเก็บข้อมูลมาเขียนบทความเฉยๆ นั่นแหละ


    เชื่อเราสิ เราเดินไปแค่ 2 ชั่วโมงครึ่งเอง...



    (เพิ่งมารู้ทีหลังว่าร้านดังกล่าวเป็นร้าน Sex shop โดยเฉพาะเลยล่ะครับ ไม่ใช่ร้านดีวีดี...)
  • เดินเลือกหนังโป๊ เอ๊ย เดินเก็บข้อมูลจนเริ่มรู้สึกว่าควรจะไปหาอย่างอื่นทำได้แล้ว ผมเลยกลับไปยังเป้าหมายเดิมของตัวเองคือการเดินหาของเล่นและดูกันดั้มให้บาส-เพื่อนที่มหาวิทยาลัย 


    เดินเลี้ยวมาจากตรงแยกร้านหนัง 18+ เสร็จก็เข้าสู่ย่านของเล่นใน Den Den Town สักที


    จากที่ผมได้ลองเซิร์จ Google ดู จริงๆ แล้วย่านนี้มีชื่อว่าย่าน Nipponbashi อยู่ในเขต Naniwa จังหวัด Osaka เป็นย่านขายเคริื่องใช้ไฟฟ้าชื่อดังของฝั่งคันไซ และเป็นย่านอนิเมะกับของเล่นอีกด้วย ดูๆ แล้วก็คล้ายๆ กับย่าน Akihabara ของฝั่งคันโต (ฝั่งโตเกียว) เลยทีเดียว


    ผมเดินสำรวจบริเวณแถวๆ รอบ Den Den Town และแวะเข้าไปหลายร้าน ลองสุ่มๆ วนๆ ไปเรื่อย พบว่าส่วนใหญ่ก็จะเป็นร้านขายพวกโมเดล ฟิกเกอร์ ของอนิเมะต่างๆ  ทั้งที่ผมคุ้นเคยและไม่คุ้นเคย มีทั้งเก่าใหม่ผสมปนเปกันไป แต่ส่วนใหญ่ก็จะเป็นโมเดลหรือฟิกเกอร์ราคาสูง ผมเลยไม่ได้สนใจอะไรมากมายนัก


    เดินมาได้สักพักก็เจอกับร้านนึงที่ไม่ทันเดินเข้าไปในร้านก็รู้แล้วว่าขายกันดั้ม


    ถามว่ารู้ได้ไง ลองดูรูปเอาครับ



  • ตัวร้านมี 2 ชั้น ซึ่งชั้นที่จะมีกันดั้มอยู่เยอะๆ คือชั้น 2 ผมเลยลองเดินขึ้นไป เพื่อหากันดั้มให้คุณบาสเพื่อนผมสักหน่อย


    พอขึ้นมาถึงก็เจอกัับดงกันดั้มจำนวนมาก เห็นทุกเกรดทุกลาย ลายที่ไม่มีที่ห้างอื่นที่นี่ก็มีหมด 


    ผมเดินได้ไม่ถึง 10 นาทีก็ได้กันดั้มตามที่บาสสั่งครบถ้วน และยังได้ส่วนลด Tax Free อีกต่างหาก (มีอธิบายไว้ในตอนก่อนหน้าแล้วครับ ไปย้อนอ่านได้เลย)


    หลังจากได้กันดั้มของบาสเรียบร้อย ผมก็เดินเล่นต่อไปในละแวกนั้น และได้เจอกับร้านขายของเล่นร้านหนึ่งชื่อร้าน Jungle ซึ่งผมค่อนข้างคุ้นๆ ชื่อร้านอยู่แล้ว ผมเลยลองเดินเข้าไปดู


    พอเข้าไปถึงในร้านก็แอบเข้าใจเลยครับว่าทำไมร้านถึงชื่อ Jungle เพราะร้านนี้มันเหมือนป่าของเล่นจริงๆ มองไปมุมไหนก็ของเล่น ของเล่นอัดแน่นไปทุกอณูของร้าน มีทั้งของเล่นเก่า ยุคที่เป็นมาสค์ไรเดอร์เก่าๆ สมัยที่ผมเป็นเด็กไปจนถึงมาสค์ไรเดอร์รุ่นใหม่ที่ผมไม่ทันดูก็มีให้เลือกสรร


    ผมใช้เวลาในนี้ได้ไม่นานนัก เพราะตอนนั้นใกล้ถึงเวลาที่ตกลงกับแม่ไว้แล้วว่าจะกลับไปยังบ้านเพื่อเตรียมตัวแพ็คของกลับไทย และเท็นกับแทนเองก็คอลไลน์มาตามผมแล้วด้วย


    เฮ้อ ใกล้แล้วสินะ ใกล้ถึงเวลากลับบ้านเราแล้ว...



  • ระหว่างที่ผมนั่งรถไฟกลับบ้าน ผมก็นั่งครุ่นคริดอะไรเรื่อยเปื่อย คิดถึงความรู้สึกตลอดทริป เหมือนมันกำลังประมวลภาพความทรงจำตลอดเกือบ 5 วันออกมาเป็นพาวเวอร์พอยท์ว่า 5 วันที่ผ่านมาว่าไปเจออะไรมาบ้าง กินอะไรมาบ้าง สนุกกับตรงไหน เบื่อตรงไหน ทะเลาะกับแม่ตรงไหนบ้าง


    ในภาพความทรงจำเหล่านั้น ผมพบว่าความรู้สึกที่มันวิ่งวนอยู่ในหัวของผมตลอดการเดินทางกลับบ้านมันคือความรู้สึกที่ว่า


    "ยังไม่อยากกลับไทยเลย"


    ช่วงแรกๆ ที่มาที่นี่บอกตรงๆ ว่าออกแนวช็อกกับหลายๆ อย่าง ปรับตัวกับหลายๆ อย่างไม่ค่อยจะทัน ทั้งสภาพอากาศ อาหารการกิน บรรยากาศ สภาพแวดล้อม ความสะอาด ผู้คน ไปจนกระทั่งการสัญจรไปมา ผมรู้สึกว่าตัวผมเองใช้เวลาปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของบ้านเขานานพอสมควร


    ผมรู้สึกว่าช่วง 4 วันแรกมันออกแนวตื่นเต้นกับสิ่งแวดล้อมรอบตัวมากเกินไป จนผมไม่ได้ซึมซับบรรยากาศการเที่ยวไว้ได้เท่าที่ควร แล้วกว่าจะมาปรับตัวได้ก็ล่อไปตั้งวันที่ 5 ซึ่งก็เป็นวันกลับแล้ว ผมเลยแอบเสียดายนิดหน่อยที่แทบไม่ได้เก็บบรรยากาศเหล่านั้นไว้เลย ไม่ว่าจะด้วยความรู้สึกหรือด้วยภาพถ่าย


    มันก็แอบเสียดายที่ได้อยู่ตรงนี้แค่ 5 วัน 


    ไม่งั้นเราคงอาจจะได้เก็บเกี่ยวความทรงจำอะไรอีกสักหน่อยมั้ง...



  • เมื่อถึงบ้านเราที่ Juso ผมเห็นทุกคนอยู่ในสภาพเตรียมพร้อมกลับบ้านกันหมดแล้ว เหลือแค่รอผม เท็น และแทนกลับมา ผมรีบแบกกันดั้ม 2 กล่องใหญ่ไปให้แม่แพ็คของเพื่อเตรียมตัวกลับไทย


    ออกจากบ้าน ล็อคประตูเสร็จสรรพ เราก็ขึ้นรถไฟไปยังสถานี Osaka เพื่อที่จะรอขึ้น Shuttle Bus ไปยังสนามบิน Kansai ต่อไป (Shuttle Bus จากสถานี Osaka จะวิ่งทั้งวันทั้งคืน ดังนั้นไม่ต้องห่วงว่าจะตกรถครับ) จ่ายเงิน ต่อคิว โยนกระเป๋าขึ้นรถเสร็จ พวกเราก็ขึ้นรถเพื่อไปยังสนามบิน


    ข้างทางที่เรานั่งรถมีไฟเรียงรายประดับตามทาง ซึ่งก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะวันที่เรากำลังจะกลับนั้นเป็นวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งก็ใกล้กับเทศกาลคริสต์มาสและเทศกาลปีใหม่พอดี


    นั่งมองดูไฟข้างทาง ดูตึกดูบ้านเมืองเขาแล้วน้ำตาจะไหล ยังไม่อยากกลับเลย ฮืออออ


    เป็นหนักขนาดที่ว่าเห็นตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นก็น้ำตาจะไหลแล้ว


    เป็นเอามาก...






  • นั่งพร่ำเพ้อได้สักพักก็หลับคาเบาะรถ ก็แหม รถเขานั่งสบายมากเลยครับ แถมเบาะข้างหน้าก็เป็นเพื่อนพี่น้องกันทั้งนั้นเลยยืดแข้งยืดขาได้ตามสะดวก พอนั่งๆ สบายๆ เข้าก็เผลอหลับไป อดเสพบรรยากาศญี่ปุ่นทิ้งท้ายเลย ฮือ
      

    ผมตื่นมาปุ๊บก็มาถึงสนามบินนานาชาติ Kansai พอดี ซึ่งตอนที่เราไปถึงยังราวๆ 1 ทุ่มอยู่ แต่ไฟลท์บินของพวกเราคือประมาณ 4 ทุ่ม พวกเราเลยแยกย้ายกันไป พี่ปูกับพี่เจนไปหาที่ชั่งกระเป๋า แม่กับน้าเอ๋ก็ขอนั่งคอยแถวๆ Gate  ผมเองที่ยังไม่ได้กินข้าวเย็นเลยขอแวะไปหาอะไรกินซะก่อน โดยมีเท็นแทนติดสอยห้อยตามมาด้วย แต่ผมเลือกที่จะกินข้าวหน้าเนื้อ ส่วนเท็นแทนอยากกินอย่างอื่น เราเลยแยกกันตรงแถวโซนอาหารและนัดเจอกันที่จุดที่แม่กับน้าเอ๋นั่งรอเลย


    ผมเลือกร้าน Sukiya เพราะเขาโปรโมตหน้าร้านตัวเองชัดเจนเลยว่าเป็นข้าวหน้าเนื้อตรงกับที่เรากำลังอยากกิน และผมรู้สึกว่ามื้อสุดท้ายในทริปนี้ก็ควรเป็นอาหารบ้านเขา ก็เลยตัดสินใจซัดข้าวหน้าเนื้อเป็นมื้อสุดท้ายในทริปนี้ซะเลย


    เดินเข้าไปถึงพนักงานก็ร้องต้อนรับตามประสา ผมเดินเข้าไปสั่งกับพนักงานหญิงคนหนึ่ง สั่งชุดข้าวหน้าเนื้อ + ไข่ออนเซ็น + เครื่องดื่มเย็น 1 แก้ว ซึ่งกว่าจะได้มาแบบนี้ก็รากเลือดพอสมควร เพราะพนักงานคนนั้นดูจะฟังภาษาอังกฤษสำเนียงไทยแบบผมไม่ค่อยออก งงกันไปกันมาจนเกือบจะสั่งไข่ดิบมาให้ผมกินแต่สุดท้ายด้วยภาษามือและการจิ้มๆ ชี้ๆ ก็เลยทำให้ผมได้เซตข้าวหน้าเนื้อแบบที่บอกมาครับ


    พอได้ข้าวหน้าเนื้อมาผมก็ซัดแบบไม่รีรอ รสชาติก็ปกติดีครับ ไม่ได้ต่างจากที่อื่น แต่ความรู้สึกมันดีที่ได้กินอาหารบ้านเขาเป็นมื้อปิดท้าย อ้าห์


    (อนึ่ง พึ่งมารู้ทีหลังว่าร้าน Sukiya ก็มีสาขาในประเทศไทย แถมมีเยอะด้วย หมดกันมื้อปิดอันงดงาม..)



  • กินเสร็จผมก็กลับมารวมกลุ่มกับแม่และพี่เจนแถวๆ Gate ที่รอขึ้นเครื่องบิน รอกันได้สักพักใหญ่ๆ เราก็ถูกเรียกเข้าไปใน Gate สนามบิน 


    พอเราเข้าไปถึงก็เจอกับร้านขายของฝากที่มีให้เลือกอยู่มากมายหลายชนิด ทั้งขนมนมเนยและของน่ารักกระจุกกระจิกทั่วไป แน่นอนว่าสิ่งที่นักท่องเที่ยวจากไทยส่วนใหญ่รีบสอยกันอย่างต่อเนื่องคือช็อคโกแลต Royce , ขนมโตเกียวบานาน่า และบรรดาคิตแคตหลากรสนั่นเอง เรียกว่ามาเติมเท่าไรคนไทยก็กวาดหมด (และแน่นอนว่าผมก็เป็นหนึ่งในคนที่กวาดกับเขาด้วย)


    ผลาญเงินกับโซนของฝากเสร็จแล้วเราก็ถูกเรียกไปรอที่ Gate ซึ่งด้านนอก Gate ก็มีที่ชาร์จแบตและมีตู้กดอะไรเล็กน้อยไว้ให้เราผลาญเงินระหว่างรอเครื่องบิน


    นั่งรอได้ไม่นานพวกเราก็ได้ขึ้นเครื่องบิน และไม่นานเครื่องบินก็ทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า มุ่งหน้าสู่เมืองไทย




  • ตอนขามาผมกลัวเครื่องบินมากๆ เพราะส่วนตัวเป็นคนกลัวที่สูงอยู่แล้ว แต่พอตอนขากลับ ผมดันรู้สึกไม่กลัวมากนัก ผมกล้ามองออกไปนอกหน้าต่างตอนที่เครื่องกำลังขึ้น ทั้งๆ ทีตอนขามากลัวแทบเป็นแทบตาย


    ไม่รู้ทำไมแต่อยากเก็บภาพตอนนี้ไว้นานๆ


    อ่านมาถึงตอนนี้คุณผู้อ่านอาจจะเดาได้แล้วว่าผมคงเขียนแนวคิดครุ่นอุ่นเหงา หรือแนวพรรณนาพร่ำเพ้อเยี่ยงคนอกหักเหมือนเมื่อ 24 ย่อหน้าก่อนใช่มั้ยครับ 


    ถ้าคิดอย่างนั้นล่ะก็ คุณคิดผิดแล้ว 


    เพราะตอนที่อยู่บนเครื่องบิน ความรู้สึกของผมมันเป็นความรู้สึกทำนองว่าถึงอยากจะอยู่ต่อ แต่ในเมื่อมันหมดเวลาแล้ว ก็ลาก่อนแล้วกัน แล้วเดี๋ยวมาเจอกันใหม่เมื่อเรามีโอกาสได้เจอกัน ออกแนวจากกันด้วยดีนั่นแหละครับ 


    ความรู้สึกมันไม่ได้หม่นๆ เหมือนตอนที่นั่งรถไฟกลับบ้านพัก เพราะไอ้ตอนนั้นอารมณ์มันเหมือนเด็กงอแงอยากเล่นบ้านบอลต่อ แต่ก็ไม่ได้เพราะพ่อแม่จะกลับบ้านแล้ว ส่วนตอนนี้มันอารมณ์เหมือนบ๊ายบายเพื่อนที่สนามเด็กเล่นว่า เฮ้ย เดี๋ยววันไหนแกว่างๆ ไม่มีการบ้านทำก็มาเล่นด้วยกันใหม่


    นี่แหละครับ ความรู้สึกที่ผมรู้สึกกับญี่ปุ่นตอนนั้น ตอนอยู่บนเครื่องบินเตรียมกลับไทย


    ไม่ได้รู้สึกอยากร้องไห้หรือเศร้าใจที่ต้องจากกัน


    แต่รู้สึกว่ายังไงเราต้องมาเจอแกอีกแน่ๆ


    เพราะงั้นรอบนี้บ๊ายบายนะ 


    ไว้เจอกันใหม่เมื่อทุกอย่างเป็นใจ :)



    ปล. ยังมีตอนแถมอีกตอนนึงนะ !
    ปล.2 ถ้าชอบผลงานของผมก็สามารถติดตามต่อได้ที่ https://www.facebook.com/mrpaatop/ นะครับ มากดไลก์กดแชร์กันได้ จะคอยอัพเดตผลงานตลอดครับ

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in