วันนี้พวกเรามีแผนที่จะไปเที่ยวย่าน Namba กันอีกรอบเพื่อกลับไปช็อปให้หนำใจอีกครั้งนึง
เราเริ่มออกเดินทางกันตอนบ่ายโมงแรกสุดก็เริ่มด้วยการหาข้าวกินแถวหน้าบ้านเราตามปกติ ผม เท็น พี่สมัยและแฟนพี่สมัยตัดสินใจไปทานข้าวหน้าเนื้อที่อีกฝั่งหนึ่งของย่าน Juso โดยเดินลอดใต้สะพานไป
หลังจากซัดข้าวกันเสร็จผมกับเท็นก็เดินเที่ยวในย่านนั้นและได้ไปเจอกับสถานที่แห่งหนึ่งที่ดูเหมือนวัดหรือศาลเจ้าอะไรสักอย่าง ที่ดูสงบๆและแทบไม่มีคนเลย ผมรู้สึกว่าเป็นสถานที่ที่น่าสนใจดีเลยแอบถ่ายรูปเก็บมาไว้นิดหน่อย
จากนั้นเราก็เริ่มออกเดินทางไปยังย่าน Namba โดยรถไฟฟ้า ระหว่างทางเราต้องเดินผ่านห้างสรรพสินค้าต่างๆ ก็เป็นการทำให้เราได้เดินเที่ยวไปในตัวด้วย
ผมสังเกตหลายที่เริ่มมีการตกแต่งสถานที่ให้เข้ากับช่วงเทศกาลคริสต์มาสกันแล้ว ทั้งๆ ที่ตอนนั้นยังเป็นช่วงต้นเดือนธันวาคมอยู่ บางที่จำลองก็ตุ๊กตาหิมะมาไว้ บางที่จัดเป็นตู้กระจกสวยๆ ไว้ให้คนมาถ่ายรูปเหมือนรูปข้างล่างนี้ครับ
แวะชมนู่นนี่นั่นไปมาในที่สุดเราก็มาถึงย่าน Namba ตอนนั้นเป็นเวลาราวๆบ่าย 3 กว่าๆ แล้ว
พวกเราตกลงกันว่าจะแยกย้ายกันช็อปจนถึงเวลาสัก 6 โมงเย็น และจะมาเจอกันที่สตาร์บัคตรงใจกลางของย่านนี้
ผมกับแม่วางแผนไว้ว่าจะไปซื้อรองเท้ายี่ห้อ Skechers กัน เพราะพี่เจนบอกว่าราคาถูกกว่าที่ไทยเยอะ และที่สำคัญคือใส่แล้วสบายเท้ามาก ใส่เดินมาทั้งวันก็ยังไม่ค่อยเมื่อย แม่เลยดูจะสนใจกับ Skechers พอสมควร และอยากให้ผมซื้อกลับไปสักคู่ แต่ผมค่อนข้างเฉยๆ เพราะไม่ได้เป็นคนชอบใส่รองเท้าผ้าใบและไม่ค่อยได้มีโอกาสไหนให้ใส่อยู่แล้ว ตอนไปเรียนก็ใส่นันยางคู่ใจ อยู่บ้านก็ใส่แต่อีแตะอย่างเดียว ก็เลยไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรมากมาย
แต่สุดท้ายก็ตามไปกับแม่เพราะไม่รู้จะไปไหนนั่นแล...
ระหว่างทางเราเจอกับร้าน Pablo ซึ่งเป็นร้านชีสทาร์ตชื่อดังของญี่ปุ่นและพึ่งมาเปิดสาขาที่ประเทศไทยในขณะนั้น แม่เลยชวนผมลองแวะชิมกันสักหน่อย
เข้าไปถึงร้านเราก็สั่งชีสทาร์ตกันคนละชุด ของแม่สั่งเป็นชุดธรรมดา มาพร้อมซอสแบบหวานๆ กับไอศกรีมรสวานิลลา (ถ้าจำไม่ผิด) และของผมเป็นแบบเบอรี่ มาพร้อมซอสเบอรี่ และไอศกรีมรสเบอรี่ ซึ่งราคาเท่าไรอันนี้ผมจำไม่ได้จริงๆ ครับ ส่วนรสชาติผมว่าก็อร่อยใช้ได้เลยแต่กินคนเดียวหมดก้อนก็ค่อนข้างเลี่ยนอยู่เหมือนกัน
โดยรวมก็ดีครับ ชีสเน้นๆ ดี หอมอร่อยใช้ได้ครับ
หลังจากทานเสร็จ ผมกับแม่ก็มุ่งไปที่ร้าน Skechers แต่ระหว่างทางผมกับแม่ทะเลาะกันนิดหน่อย เราเลยแยกทางกันแค่ตรงนั้น และแม่ก็ให้เงินไปซื้อ Skechers แค่คนเดียว
ผมเดินไปหงุดหงิดไปได้สักพักก็เจอร้าน Skechers อยู่ท้ายๆ ย่านการค้า พอลองเข้าไปสำรวจดูก็รู้สึกไม่ได้สนใจคู่ไหนเป็นพิเศษ เดินวนไปวนมาหลายรอบกะจะซื้อสักคู่ก็ยังไม่เจอที่โดนใจนัก
แต่พอสักพักก็เหลือบไปเห็นรองเท้าหนังกลับสีน้ำตาลคู่นึง ดูสวยคลาสสิกเอามากๆ เอาเป็นว่าแค่มองตากันก็รู้สึกว่าตกหลุมรักเจ้ารองเท้าคู่นี้และอยากจะสู่ขอเธอมาประดับเท้าเราแล้ว !
เมื่อเลือกรุ่นรองเท้าได้เสร็จ ผมก็นำไปให้พนักงานหาไซส์ให้ ลองไปลองมาได้สักพักก็รู้สึกว่าค่อนข้างใส่สบายเท้า ทั้งพื้นรองเท้าและตัวรองเท้านุ่มสบายเท้ามาก ในที่สุดผมเลยตัดสินใจจ่ายสินสอดไปราวๆ 7,000 เยน และเปลี่ยนใส่มันที่ร้านซะเลย
หลังจากได้รองเท้าคู่ใหม่แล้ว ผมก็เดินมั่วๆไปในย่านนั้น (แต่ไม่ไปซอยน่ากลัวนั้นแล้ว เข็ด / สงสัยหรอว่าซอยไหน / ย้อนไปอ่านตอนก่อนหน้าสิ :3) ผมเดินข้ามถนนบ้าง มุดใต้ Subway บ้าง เดินไปย่านนู้นนี้บ้าง แล้วผมก็นึกขึ้นได้ว่าแม่แนะนำให้ไปร้าน Don jiquote หรือร้านดองกี้ ซึ่งเป็นร้านขายของสารพัดชนิด ทั้งของกินของใช้ โดยแม่แนะนำผมว่าให้ไปหาซื้อของฝากที่นั่นเลยเพราะมี Tax Free ด้วย
สำหรับท่านที่สงสัยว่า Tax Free คืออะไรนั้น ก็ต้องเล่าก่อนว่าปกติแล้วสินค้าของญี่ปุ่นจะมีการบวกภาษีมูลค่าเพิ่มในสินค้า 8% แต่โครงการ Tax Free จะทำให้เราสามารถซื้อสินค้าเหล่านั้นได้โดยไม่เสียภาษีในส่วนนั้น ซึ่งเราจะสามารถทราบว่าร้านไหนเข้าร่วมโครงการ Tax Free ได้จากป้าย Tax Free ที่หน้าร้าน หรือการถามพนักงานในร้านเอาเอง โดยจะมีอัตรา Tax Free ที่ต่างกันไปในแต่ละร้าน/ชนิดสินค้า
เมื่อซื้อสินค้าเสร็จหากเราต้องการจะใช้สิทธิ์ Tax Free นั้น เราต้องแสดงพาสปอร์ตของเราให้พนักงานดูจากนั้นพนักงานก็จะลงบันทึกว่าเราได้ใช้สิทธิ์ Tax Free เรียบร้อยแล้ว และจะทำการติดเอกสารบางอย่างลงในพาสปอร์ตของเรา แล้วสินค้าก็จะถูกหักค่าภาษีตรงเคาน์เตอร์ที่เราคิดเงินเลย หรือบางร้านอาจจะใช้ระบบชำระราคารวมภาษีก่อน แล้วค่อยไปขอคืนภาษีที่อีกเคาน์เตอร์นึง ซึ่งจัดไว้สำหรับลูกค้าที่เข้าร่วมโครงการ Tax Free โดยเฉพาะ (เช่นร้านดองกี้นี่เอง)
พอเห็นคำว่าฟรีๆ อะไรอย่างนี้แล้วมันอดใจไม่ไหว สุดท้ายผมเลยลองเดินเข้าไปสำรวจในร้านดู
ปรากฏว่าร้านมันใหญ่และเยอะจริงๆครับ ขนาดร้านใหญ่มาก ของก็เยอะ แถมมีหลายชั้นอีกต่างหาก ซึ่งร้านที่ผมไปมี 6 ชั้นครับ ชั้น 1 จะเป็นพวกของกินของฝาก ชั้น 2 เป็นพวกเครื่องสำอาง ชั้น 3 เป็นพวกกระเป๋า กับชุดคอสเพลย์ ชั้น 4 เป็นพวกเครื่องใช้ไฟฟ้า ของเล่นเด็ก และของเล่นผู้ใหญ่ (หรือเซ็กส์ทอยนั่นเอง) ส่วนชั้น 5-6 ผมไม่ได้ขึ้นไปดู
ในส่วนของชั้นอื่นๆ ก็เหมือนกับห้างหรือร้านค้าทั่วไป เพราะฉะนั้นผมขอพูดถึงชั้น 4 แล้วกันนะครับ...
ขึ้นมาถึงชั้น 4 ผมเจอพวกเครื่องใช้ไฟฟ้าก่อนเป็นอันดับแรก ต่อมาก็เป็นพวกกันดั้มและของเล่นทั่วไป
ถัดมาจากนั้นอีกไม่ไกล ผมก็เดินมาเจอแผนกที่ผมรอคอย...
ด้านหน้าของแผนกนั้นมีผ้าม่านกั้นไว้และมีเขียนจำกัดอายุ 18+ อย่างชัดเจน
ผมไม่รอช้าเดินฝ่าเข้าไปข้างในนั้น
เปิดไปก็อย่างที่คิดครับ ทุกอย่างครบจบในที่เดียว มีทั้งอุปกรณ์สำเร็จความใคร่แบบ Self-Service ทั้งของผู้ชายและผู้หญิง อุปกรณ์เพิ่มความเร้าใจในเซ็กส์ทั้งน้ำมันร้อน เจลหล่อลื่น กุญแจมือ เชือก บลาๆๆ คืออะไรที่เคยดูเคยศึกษามานี่มีครบหมดครับ 55555
แต่แน่นอนว่าด้วยความที่กฎหมายบ้านเราไม่อนุญาตให้นำเข้าสินค้าจำพวกนี้ สุดท้ายผมเลยได้แค่หยิบมาดูเล่นๆ แล้วก็วางคืนไปแค่นั้นเอง ไม่ได้มีโอกาสนำมาบริโภคที่ประเทศไทยแต่อย่างใด...
ขอแอบบ่นตรงนี้ว่าจริงๆ ผมอยากได้อุปกรณ์สำเร็จความใคร่ของท่านชาย ไปฝากเพื่อนเล่นๆ สักคนละกระป๋อง แต่เกรงว่าตอนโหลดของจะโดนตรวจกลางสนามบิน แล้วทีนี้ถ้าเจ้าหน้าที่หยิบออกจากกระเป๋าผมนี่ผมคงรู้สึกเหมือนโดนลากมาตบกลางสี่แยกแน่ๆ รวมถึงรอบนี้ผมไปกับแม่ กลัวแม่จะแอบเปิดเห็น เพราะงั้นก็ไม่เสี่ยงจะดีกว่าเนอะ...
ผมซื้อเซ็กส์ทอ... เอ๊ย ของฝากเสร็จก็เดินไปยังจุดที่เรานัดกันไว้ตอนเวลาประมาณ 1 ทุ่ม
ตอนแรกแผนของพวกเราคือจะไปดูเทศกาลไฟที่ Kobe ก่อนแล้วค่อยกลับบ้าน แต่พี่ปูยกเลิกแผนทิ้งเพราะว่าตอนนี้ทุกคนมีของที่ได้จากการช็อปมาเต็มไม้เต็มมือ คงไม่สนุกนักถ้าต้องแบกของหนักๆ เที่ยวต่อ รวมถึงเด็กๆ เองก็เริ่มจะงอแงอยากกลับบ้านกันแล้ว สุดท้ายพี่ปูเลยเตรียมตัวที่จะพาพวกเรากลับบ้าน
ผมรู้สึกยังไม่ค่อยอยากกลับบ้านเท่าไร ยังไม่อยากให้วันนี้จบลงแค่นี้
มันเลยทำให้ในใจผมแอบคิดว่าเออ จะลองขอเที่ยวคนเดียวดูดีมั้ย แต่ผมก็เถียงกับตัวเองว่าแล้วจะกลับยังไง ไม่กลัวอะไรเลยหรือ บ้านก็ลึกแสนจะลึกแถมซอยเงี้ยบเงียบ จะไหวใช่มั้ย ผีญี่ปุ่นโผล่มาจะวิ่งหนีทันใช่มั้ย
เถียงกับตัวเองได้สักพัก ในที่สุด ผมจึงตัดสินใจขอทุกคนเที่ยวอยู่ที่ Namba คนเดียวต่อ
เพราะไหนๆ ก็มาแล้ว ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสมาอีกครั้งเมื่อไร เพราะงั้นขอลองเที่ยวในสไตล์แบบที่เราต้องการเต็มๆ สักครั้งแล้วกัน
หลังจากพูดไปอย่างนั้นแล้ว ทุกคนดูตกใจและเป็นห่วงกับการขอแยกตัวชั่วคราวของผม ดูทุกคนกังวลว่าผมจะไปรอดมั้ย จะกลับบ้านถูกมั้ย จะติดต่อสื่อสารกันยังไง
ซึ่งถ้าผมเป็นพี่ๆ แม่ๆ ป้าๆ น้าๆ ก็คงรู้สึกเหมือนกันแหละครับที่ลูกทริปของเราผู้ซึ่งไม่เคยมาญี่ปุ่นเลยสักครั้งดันทะลึ่งขอพเนจรคนเดียว ถ้าเป็นผมจริงๆ ผมคงรู้สึกเป็นห่วงและอาจจะด่าไปแล้วว่า “มึงคิดว่ามึงอยู่แถวสะพานเหล็กหรออีสัส” ก็เป็นได้
แต่แม่รู้ว่าผมน่าจะเอาตัวรอดได้ และพี่ปูเองก็รู้ว่าผมจำทางได้ เพราะผมคอยช่วยพี่ปูสังเกตทางมาตลอด ดังนั้นในที่สุดแล้ว ทุกคนเลยอนุมัติให้ผมเที่ยวคนเดียวต่อโดยให้ผมพก Pocket Wi-Fi หรือเครื่องกระจายสัญญาณ Wi-Fi เคลื่อนที่ไว้ เผื่อฉุกเฉินก็ยังเปิดอินเตอร์เน็ตคลำหาทางกลับบ้านได้
จากนั้นทุกคนก็เดินทางกลับบ้านและเหลือแค่ผมคนเดียวกลางย่าน Namba
จะรอดไม่รอดมาติดตามต่อตอนหน้าครับ
อย่าลืมติดตามแฟนเพจของผมในเฟซบุ๊กนะครับ https://www.facebook.com/mrpaatop/
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in