แผนการของเราในวันนี้คือเราจะเดินทางไปยังแถบ Kyoto โดยสถานที่แรกที่เราจะไปเป็นป่าไผ่ในเมือง Arashiyama ซึ่งถือเป็นสถานที่ท่องเที่ยวขึ้นชื่อของแถบนั้น
นั่งๆ หลับๆ ได้ไม่นานก็มาถึงสถานี Arashiyama พอลงรถมาสิ่งแรกที่ผมสัมผัสได้คืออากาศครับผมรู้สึกว่าแถวๆ นี้อากาศดีมากๆด้วยความที่อากาศมันเย็นและมันมีต้นไม้เยอะทำให้บรรยากาศแถวนี้มันสดชื่นเอามากๆบวกกับอากาศที่มันเย็นสดชื่นอยู่แล้วมันยิ่งทำให้รวมๆ แล้วมันดีต่อใจจริงๆ
ระยะทางการเดินเที่ยวของเราถือว่าไกลพอสมควร เราเริ่มจากข้ามสะพานไปยังป่าไผ่ เดินรอบๆ ตัววัด อ้อมขึ้นภูเขา วนลงไปตรงแม่น้ำหรือคลองสักที่นึง แล้วก็วนกลับมาแถวๆ สะพานที่เดิมที่เราข้ามไป
บอกตรงๆ ว่าในตอนนั้นผมเมื่อยมากถึงมากที่สุดเลยครับขานี่ตึงเปรี๊ยะ ปกติอยู่ไทยก็ไม่ค่อยจะออกกำลังกายอยู่แล้ว พอมาเดินหนักๆ แบบนี้ก็สาหัสเอาการเหมือนกัน
ต่อจากนั้นเราก็ไปยังสถานี Inari ซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดที่มีเสาโทริอิเยอะๆ (เสาสีแดงๆที่เราเห็นกันบ่อยๆ) ที่นั่นก็เดินปวดขาสาหัสพอๆ กันครับ แต่ยังดีหน่อยที่แถวนี้มีของกินเยอะ ผมเลยได้โอกาสจัดไปหลายอย่างโดยไม่สนโทริองโทริอิใดๆ ทั้งสิ้นใครว่าสวยก็สวยไป ใครชมวิวชมเสาก็ชมไป กูหิว...
เดินดุ่มๆ ในย่านนั้นไปมาผมก็ได้เจอกับร้านเนื้อย่างเจ้าหนึ่งเป็นร้านเนื้อย่างที่ทรงคล้ายๆ บาร์บิคิวบ้านเรา แต่ไม้ใหญ่กว่า ผมได้กลิ่นหอมๆ และเห็นคนมุงเยอะเลยลองไปมุงดูกับเขาด้วย
ระหว่างยืนรอ ผมได้ยินภาษาไทยแว่วๆลอยเข้ามาในหู
ผมมองหาต้นทางของเสียงอยู่สักพักว่าเป็นใครพูด…
เฮ้ย…
ทำไมเจ้าของร้านพูดภาษาไทยกับคนซื้อ !!
ใช่ครับ พ่อค้าพูดภาษาไทยกับลูกค้าจริงๆ !
ผมรู้สึกตกใจและรู้สึกว่ามันเท่มากที่เขาพูดภาษาบ้านเราได้ พอลองถามดูก็ปรากฏว่าเขาพูดได้ทั้งภาษาไทย อังกฤษ สเปน มาเล จีน และอีกมากมายหลายภาษา ซึ่งมันทำให้ผมมาย้อนคิดว่าภาษามันสำคัญจริงๆ ในการสานสัมพันธ์กับผู้อื่นและในแง่การตลาดมันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้คนมาสนใจในสินค้าของเรามากขึ้นอีกด้วย อย่างน้อยพอเขาพูดภาษาเรา เราก็อยากจะเข้าไปคุยหรือเข้าไปซื้อสินค้าเขาแล้ว
แม้ว่ารสชาติมันจะไม่ค่อยอร่อยและแพงสัสๆ ก็เถอะนะ...
แม้เราจะเที่ยวกันไปแล้วสองที่แล้ว แต่แผนการเที่ยวของเราในวันนี้ยังไม่จบ เพราะพี่ปูเตรียมจะพาพวกเราไปเที่ยวต่อที่ย่าน Shinsaibashi ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งชื่อดังของฝั่งคันไซ และเป็นที่ตั้งของป้าย Glico (กูลิโกะ) อันเลื่องชื่ออีกด้วย
ขอบ่นแทรกตรงนี้นิดนึงว่าการมาเที่ยวญี่ปุ่นเนี่ย ความเหนื่อยไม่ได้อยู่ที่การเดินเที่ยวในสถานที่ต่างๆ สักเท่าไรหรอกครับ แต่มันอยู่ที่บนรถไฟฟ้าเนี่ยแหละ
เกือบทั้งทริปพวกเราต้องยืนบนรถไฟฟ้าตลอด แทบไม่มีโอกาสได้นั่งเลยครับ เพราะรถไฟฟ้าของญี่ปุ่นเนี่ย คนขึ้นกันเยอะมาก แถมเยอะทุกเวลาอีกต่างหาก แล้วคนที่มาขึ้นรถไฟฟ้าของเขาก็มีทุกรุ่นทุกวัยตั้งแต่เด็กน้อย วัยรุ่น นักเรียน นักศึกษา วัยทำงาน ไปจนถึงคุณปู่คุณย่าที่แบกไม้เท้าขึ้นรถไฟฟ้าก็มีให้เห็น ซึ่งมันต่างจากของไทยเราที่บนรถไฟฟ้าจะเป็นคนหนุ่มๆ สาวๆ มาใช้บริการซะมากกว่า
แล้วถ้าเราไม่ได้ขึ้นจากต้นสายเนี่ย แทบไม่ต้องหวังเลยว่าจะได้นั่งครับ พอไม่ได้นั่งปุ๊บก็ต้องยืนตามระเบียบ ตอนยืนมันก็ระบมเท้าเอามากๆ เลยครับ เรียกว่ารถไฟฟ้าสายสีลมสายสุขุมวิทของเรานี่ดูสบายๆ ไปเลยเมื่อเทียบกับรถไฟฟ้าบ้านเขา
ทนทุกข์ทรมานบนรถไฟฟ้าอยู่สักพัก เราก็มาถึงย่าน Shinsaibashi ย่านนี้ค่อนข้างคึกคักและแออัดสมกับเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของฝั่งคันไซจริงๆ ครับ
ช่วงแรกๆ ที่เรามาถึงนั้นเราเดินรวมกันเป็นกลุ่มๆ แต่ด้วยความที่เราแต่ละคนต่างก็อยากจะเดินตามที่ตัวเองอยากเดินบางคนอยากเดินดูรองเท้า บางคนอยากหาของกิน ฯลฯ ในที่สุด พวกเราเลยตัดสินใจที่จะเดินแยกกันโดยนัดรวมพลที่ร้านสตาร์บัคส์แถวๆ ด้านหน้าของแหล่งช็อปปิ้งเลย
ผมเลือกแยกไปกับแม่และน้องดรีมเพราะพวกเรามีเป้าหมายเดียวกันคือหาข้าวกินกันก่อนที่จะเดินช็อปปิ้ง
เราเดินสุ่มๆ ตามตรอกซอกซอยไปเรื่อยๆ ผ่านร้านนู้นร้านนี้ จนไปเจอร้านข้าวเทมปุระร้านหนึ่ง มองดูหน้าร้านแล้วน่าจะมีอะไรให้เรากินกันหลากหลายดี ดังนั้นเราจึงไม่รอช้าที่จะเข้าไปซัดโฮกเจ้าเทมปุระกัน
เข้าไปถึงในร้านพวกเราสั่งข้าวหน้าเทมปุระกันมาคนละจาน ของผมไม่รู้ว่าสั่งอะไรไปเหมือนกันเพราะตอนสั่งก็จิ้มมั่วๆ เอาอันที่ดูน่าจะได้เยอะที่สุดมากินก่อน รสชาติช่างแม่งตอนนี้ขออิ่มก่อนแล้วกัน...
นั่งรอได้ไม่นานพนักงานก็ยกข้าวหน้าเทมปุระของพวกเรามาเสิร์ฟ ชามของผมเป็นข้าวญี่ปุ่นวางด้วยเทมปุระต่างๆ ได้แก่ กุ้งเทมปุระ 4 ตัว , ลูกชิ้นปลาเทมปุระ , รากบัวเทมปุระ , เห็ดหอมเทมปุระ , ผักอะไรสักอย่างเทมปุระ และโมจิเทมปุระ (แป้งชุบแป้งทอดเนี่ยนะ...) เสิร์ฟมาโดยราดน้ำซอสแล้วโรยด้วยสาหร่าย ซึ่งดูๆ แล้ว หน้าตามันก็แทบไม่ได้ต่างอะไรจากข้าวหน้าเทมปุระในไทยเลยสักนิด ไม่ได้ดูน่ากินอะไรมากมาย
มันเลยทำให้ผมแอบผิดหวังนิดหน่อย อุตส่าห์มากินถึงถิ่นต้นตำรับแท้ๆ...
สุดท้ายผมพยายามปลอบใจตัวเองว่ากินมื้อนี้ให้มีอะไรตกถึงท้องไปก่อนแล้วค่อยหาอะไรอร่อยๆ กินข้างหน้าต่อไปแล้วกัน...
ทำใจได้ดังนั้นแล้ว ผมเลยคีบกุ้งเทมปุระขึ้นมาแล้วกัดไปครึ่งตัว
อ้ำ…
....เชี่ย อร่อยมาก !!
ผมทึ่งในความอร่อยของเทมปุระอย่างมากเพราะความกรอบของเทมปุระกับรสชาติของซอสมันลงตัวกันสุดๆแล้วด้วยความที่มันทอดมาร้อนๆ ด้วย มันยิ่งอร่อยมาก แล้วยิ่งไอ้โมจิเทมปุระที่ผมดูถูกมันไว้เมื่อหลายๆย่อหน้าก่อนนี่ดันกลายเป็นตัวที่ผมชอบเอามากๆ มันหนึบๆ กรุบๆแล้วมีความหวานของโมจิในตัวอีกด้วย
โอ้ห์ ฟิณฬ์...
หลังจากฟาดข้าวกันหมดเกลี้ยงแล้วผมกับแม่ตัดสินใจที่เดินแยกกันเพราะผมอยากไปหาร้านเครื่องดนตรีเพื่อซื้อของที่ระลึกกลับบ้านสักหน่อย ผมจึงเดินแยกไปทางซอกซอยแคบๆ อีกฝั่งนึงของย่าน Shinsaibashi
ผมเดินมั่วๆ ไปมาจนหลงมาที่ซอยไหนก็ไม่รู้ครับ รู้แค่อย่างเดียวคือบรรยากาศรอบๆ มันน่ากลัวมาก มันต่างจากตรง Shinsaibashi ที่ดูเป็นย่านการค้าอย่างมาก
ทุกๆ ร้านในซอกซอยนั้นจะมีผู้ชายใส่สูทหน้าโหดๆ ยืนเฝ้า บางร้านเป็นคนผิวสีเฝ้า บางร้านก็มีกลุ่มคนใส่สูทยืนออกันหน้าร้าน ซึ่งผมเองก็ไม่รู้ว่าเขาชุมนุมทำอะไรกันอยู่กำลังวางแผนไปกระทืบใครรึเปล่า หน้าตาแต่ละท่านนี่ก็ดูเอาเรื่องกันทั้งนั้น ดูทรงแล้วไม่ได้ชวนกันไปทำจิตอาสาหรือสวดมนต์ข้ามปีกันแน่ๆ...
ระหว่างเดินผมก็เดินด้วยความหวาดระแวงอย่างมาก กลัวว่าจะไปเหยียบตีนมาเฟียคนไหนสักคนรึเปล่า เดินชนเขาเขาจะยิงเราทิ้งมั้ย มองหน้าเขาเราจะโดนลากไปปรับทัศนคติที่ชั้นใต้ดินมั้ย
เป็นการเดินเที่ยวที่หวาดระแวงที่สุดในชีวิตผมเลยล่ะครับโชคดีที่ยังรอดมาแบบครบ 32 ได้...
หลังจากหลุดพ้นมาจากซอยเถื่อนได้สักพัก ผมก็เดินวนๆ รอบ Shinsaibashi ไปเรื่อยเปื่อย จนไปเจอ Game Center ซึ่งเต็มไปด้วยตู้คีบตุ๊กตาอยู่หลายตู้ด้วยกัน
เดินด้อมๆ มองๆ สักพักผมก็เห็นตู้นึงที่มีรางวัลเป็นเจ้าตุ๊กตาไข่ขี้เกียจ (จำชื่อภาษาญี่ปุ่นไม่ได้) ผมเลยตัดสินใจลองเล่นคีบตุ๊กตาดูบ้าง ผมหยอดเหรียญ 100 เยนไป 4 เหรียญ และใช้เทคนิคคีบตุ๊กตาที่ฝึกฝนมาอย่างเต็มที่ในการเล่นครั้งนี้ หวังจะชิงเจ้าไข่ขี้เกียจกลับบ้านให้ได้
แต่แน่นอนว่าไม่ได้รางวัลกับเขาหรอกครับ ขาคีบมันอ่อนแอมากๆ อ่อนแอพอๆ กับขาคีบตุ๊กตาของประเทศบางประเทศแถวนี้เลย
เพราะงั้นเลิกเล่นแล้วเก็บตังที่เหลือไปซื้อเบียร์กินดีกว่า...
เรื่องนึงที่อยากเล่ามากๆ คือระหว่างที่เดินๆ ในย่าน Shinsaibashi นั้น ผมรู้สึกว่าผมเจอคนไทยเยอะมากเลยครับ คือไม่รู้ว่าเป็นความบังเอิญหรือยังไง แต่ตลอดทางที่ผมเดินอยู่ ไม่ว่าจะเป็นซอกซอยหรือมุมไหนของ Shinsaibashi ผมจะเจอคนไทยและได้ยินภาษาไทยตลอด (ยกเว้นซอยน่ากลัวๆ นั่น...) ประโยคหรือคำที่ได้ยินก็ล้วนแล้วแต่เป็นคำคุ้นเคย เช่น
"อีเหี้ย"
"อีดอกกกกกกก"
"มึงไปไหนต่อวะ"
"นั่นไงกูลิโกะ !!"
"ที่ไทยก็มีมึง ถูกกว่าด้วย"
"ของแม่งแพงสัส"
"พูดห่าอะไรของมึงกูไม่รู้เรื่องเลย กูพูดอังกฤษด้วยแม่งก็พ่นญี่ปุ่นใส่กู"
ประมาณนี้แหละครับ...
หลังจากเดินจนขาระบมพอแล้ว ผมจึงเดินไปยังจุดนัดพบของเรา พอไปถึงผมก็เห็นทุกคนรออยู่แล้ว เหลือเพียงแม่ผมและน้องดรีมที่ยังไม่มา ผมเหลือบไปเห็นทุกคนได้ของกันมาเต็มไม้เต็มมือกันทุกคนทั้งรองเท้าเสื้อผ้าหรือขนมของฝากก็ได้ติดไม้ติดมือมาทุกคน มีแต่ผมเนี่ยสิ นอกจากไม่ได้อะไรแล้วยังเสียไปตั้ง 400 เยนฟรีๆ กับไอ้ตู้ไข่เวรนั่นอีก...
หลังจากแม่กับน้องดรีมมาถึง พวกเราก็นั่งรถไฟใต้ดินมาลงสถานี Umeda และต่อไปยัง Juso กัน สภาพผมตอนนี้เหมือนมีกระสอบทรายหนักๆ มาผูกขาสองข้างไว้ คือมันปวดเท้าปวดข้อเท้าปวดขาปวดน่องมาก แล้วขากลับจาก Shinsaibashi ไป Umeda ผมก็ต้องยืนตลอดทั้งเส้นทางเหมือนเดิมอีกต่างหาก
ยิ่งสาหัสเข้าไปใหญ่...
และแน่นอนว่าคงไม่ใช่แค่ผมที่หมดสภาพ พอกลับมาถึงบ้านวันนี้ สมาชิกของทริปนี้อยู่ในสภาวะแบตหมดกันทุกคน รีบอาบน้ำรีบนอนกันหมด
คืนนั้นผมได้อาบน้ำเป็นคนสุดท้าย ด้วยความที่ไม่น่าจะมีใครมารอต่อคิว ผมจึงเปิดน้ำอุ่นใส่อ่างอาบน้ำไว้แล้วเอาขาไปแช่เผื่อมันจะหายปวดหายเมื่อยบ้าง ซึ่งมันก็ดีขึ้นแหละครับ แต่ไม่ถึงกับหายขาดเลยซะทีเดียว
หลังจากอาบน้ำเสร็จ ผมเช็ดตัวแล้วรีบขึ้นไปนอนยืดแข้งขาบนห้อง ระหว่างเดินขึ้นบันไดผมได้ยินเสียงคำรามมาจากทุกสารทิศ ทั้งห้องที่แม่นอน และห้องที่เท็นแทนนอน ทุกคนคงเหนื่อยกันมากครับ เลยกรนกันแบบไม่มีปราณีใดๆ ทั้งสิ้น กรนหนักกว่าวันก่อนเกือบ 3 เท่า
และแน่นอนว่าอานิสงส์เสียงกรนของทุกคนก็มาตกที่หูผมครับ…
คืนนั้นผมนอนเกือบตี 4 เพราะเสียงคำรามของทุกๆ ท่าน มันกระหน่ำเข้ามาในหูผมแบบไม่หยุด คือทำไงมันก็ไม่หลับจริงๆ นะครับ ใส่หูฟังนอนมันก็ไม่ชิน คลุมโปงเสียงก็ยังเล็ดลอดมาได้
ชีวิตแม่งน่าเศร้าจริงๆ T__T
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in