-
-
1
“ร้านขายไก่ทอดเหรอวะ?”
เมื่อพูดถึงชื่อของ AKB48 ให้ใครฟัง ผมมักได้รับคำตอบประมาณนี้อยู่บ่อยๆ
และหลังจากตบมุกกลับไปว่า “นั่นมัน KFC!” ผมก็ต้องอธิบายต่อว่า AKB48
คืออะไร บางครั้งอธิบายยังไม่ทันจบเพื่อนก็เปลี่ยนเรื่องคุย
ไม่สนใจสิ่งที่เล่าไปสักนิด... การเจอมนุษย์จำพวกเดียวกันที่สามารถเมาท์มอย
‘เรื่องนี้’
ได้อย่างมันปากจึงเปรียบได้กับการพบเศษเปลือกกระเทียมในข้าวมันไก่
แล้วตกลง AKB48 คืออะไร?
อย่าเพิ่งเปลี่ยนเรื่องล่ะ...
AKB48
เป็นวงเกิร์ลกรุ๊ปสุดกุ๊กกิ๊กจากเจแปนแดนอาทิตย์อุทัยที่มีสมาชิกมากกว่าเก้าสิบคน เป็นวงที่มี ‘โรงละคร’ สำหรับเปิดทำการแสดงของตัวเอง
เป็นวงที่สามารถสร้างปรากฏการณ์ในด้านสังคม เศรษฐกิจ ศิลปะ
และวัฒนธรรมที่ส่งผลกระทบต่อคนทั่วประเทศจนสื่อแดนปลาดิบขนานนามให้ AKB48
เป็น ‘วงไอดอลแห่งชาติ’
ดูแล้วเป็นวงที่ยิ่งใหญ่ระดับที่ต้องโด่งดังข้ามชาติใช่ไหมครับ?
แต่เอาเข้าจริง ถ้าสองปีก่อนมีคนมาพูดถึง AKB48 ให้ได้ยิน ผมก็คงถามกลับไปว่า “ร้านขายไก่ทอดเหรอวะ?” เหมือนกันนั่นแหละ
2
ผมเริ่มติดตาม AKB48 เพราะข่าวร้าย
วันหนึ่งขณะนั่งเล่นเฟซบุ๊คเรื่อยเปื่อยตามประสาคนอู้งาน
บนนิวส์ฟีดผมเห็นข่าวที่เขาจั่วหัวว่าเป็นข่าวร้าย
มันคือการประกาศลาออกจากวงของนักร้องไอดอลญี่ปุ่น
เมื่อคลิกเข้าไปดูก็พบว่ามันเป็นข่าวใหญ่โต คนญี่ปุ่นต่างช็อคกับการลาออกของนักร้องคนนี้
สื่อทุกแขนงพากันตีข่าวขึ้นหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์เกือบทุกหัว
ออกข่าวโทรทัศน์เกือบทุกช่อง
สร้างความประทับใจให้กับผู้ชอบจริงจังในเรื่องไร้สาระแบบผม
ถึงกับต้องหาข้อมูลของเกิร์ลกรุ๊ปวงนี้ต่อว่าคือวงอะไร และมันเกิดอะไรขึ้น
ทำไมแค่นักร้องคนเดียวประกาศลาออก พวกพี่ต้องประโคมข่าวกันขนาดนี้ด้วย?!
(ต่อมารู้ว่าเธอคือ มาเอดะ อัตสึโกะ (Maeda Atsuko)
สุดยอดสมาชิกตัวท็อปของวง AKB48
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่ข่าวมันจะยิ่งใหญ่ขนาดนี้)
และระหว่างนั่งหาข้อมูลเพลินๆ
ผมก็เผลอไปกดดูมิวสิกวิดีโอตัวหนึ่งของวงนี้เข้า
นาทีนั้น ผมรู้ได้เลยว่าทำไมวงนี้ถึงมีแฟนคลับเยอะ
สาวผมสั้นหน้าใสที่ปรากฏอยู่ในจอคอมพ์ ทั้งรูปร่าง หน้าตา ทรงผม ทุกทุกอย่างบอกกับผมว่าไม่มีอะไรที่จะใช่ไปกว่านี้อีกแล้ว
อาห์...
ผมสถาปนาตนเองเป็นอัครสาวกของ AKB48 ทันทีที่เอ็มวีจบลง
ตั้งแต่นั้นมา ผมก็นั่งไล่ดูทุกเอ็มวี ติดตามทุกไลฟ์โชว์
ตามดูทุกบันทึกการแสดงคอนเสิร์ต
พยายามศึกษาและรวบรวมข้อมูลทุกอย่างที่เกิดขึ้นตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
และฝันว่าสักวันหนึ่งจะต้องบินไปเยือนโรงละครในตำนานซึ่งเป็นฐานที่ตั้งของวงนี้ให้จงได้!
-
3
ญี่ปุ่นเป็นหนึ่งในประเทศที่ผมใฝ่ฝันจะไปเยือนให้ได้สักครั้ง
ความที่ซึมซับวัฒนธรรมบ้านเขามาตั้งแต่เด็ก
ทุกเช้าเสาร์อาทิตย์ต้องแหกขี้ตาตื่นขึ้นมาดูการ์ตูน
ของเล่นสุดโปรดก็ล้วนแต่อิมพอร์ตมาจากญี่ปุ่น (แต่เมดอินไทยแลนด์…)
พอโตขึ้น ก็เริ่มรู้ว่าญี่ปุ่นไม่ได้มีดีแค่ โดราเอมอน ดราก้อนบอล กันดั้ม แต่ยังเป็นประเทศที่มีความสุดโต่งกับทุกสิ่ง ดูได้จากรายการวาไรตี้สุดเพี้ยนอย่าง TV Champion ที่เป็นตัวตอกย้ำความเชื่อที่ว่านี้
ทุกครั้งที่ดูรายการ
เราจะเห็นผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาวิชามาแข่งขันวัดระดับความสามารถ
หาผู้เป็นหนึ่งในด้านนั้นๆ
โดยการแข่งขันก็มีตั้งแต่ระดับเบสิกอย่างการทำอาหาร
ไปจนถึงระดับแอดวานซ์ (ที่ไม่น่าเชื่อว่ามึงจะแข่งกันได้จริง)
อย่างการแข่งสร้างบ้าน แข่งจัดสวนขนาดจิ๋ว แข่งแกะสลักน้ำแข็ง
แข่งกันเลี้ยงสัตว์ และแข่งกินจุ (ซึ่งผมว่าไร้สาระฉิบหาย
ทำไมคนเราต้องมาแข่งกินจุกันด้วย ไหน ขอใบสมัครหน่อยซิ)
ซึ่งดูไปดูมาก็ทำให้ผมได้รู้ว่าชาวญี่ปุ่นเป็นคนที่จริงจังตั้งมั่นกันมากๆ
และเมื่อผมได้รู้จัก AKB48
ความคิดในข้างต้นก็ดูจะหนักแน่นยิ่งขึ้นสมาชิกวงต้องฝ่าฟันนานาอุปสรรคเพื่อเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวง
ด้านแฟนคลับก็ต้องพลีกายถวายชีวิตเพื่อสนับสนุนวงที่ตัวเองชื่นชอบคลั่งไคล้
จนวงโนเนมจากเขตอากิฮาบาร่ากลายเป็นหนึ่งในไอคอนทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นในยุคนี้
ญี่ปุ่นในจินตนาการของผมจึงเต็มไปด้วยมนุษย์และสิ่งประดิษฐ์สุดจริงจัง
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งที่ผมชื่นชอบและใฝ่ฝันว่าจะได้เจอของจริงเข้าสักวัน
แต่ไม่ว่าจะฝันมากี่ปี ผมก็ยังนั่งอยู่ที่เดิม
ญี่ปุ่นช่างเป็นฝันที่ห่างไกลเสียเหลือเกิน (น้ำตาคลอ)
-
4
“ป๊อกกี้ พี่มีตั๋วไปญี่ปุ่นแบบถูกเชี่ยๆ เอ็งสนใจมั้ย?”
กลางดึกคืนหนึ่งในเดือนพฤศจิกายน ขณะที่ผมกำลังอู้งานนั่งเล่นเฟซบุ๊คอยู่เพลินๆ
พี่วิชัย (อดีตพนักงานโรงแรมผู้หันมาเอาดีทางด้านงานเขียน) ก็โทร.มาหา
“ค่าตั๋วไปกลับราคาหมื่นห้า บินตอนมีนาฯ ไป 12 วัน พี่ให้เวลาคิดหนึ่งคืน
ไว้พรุ่งนี้พี่จะโทร.มาถามใหม่นะ” พูดจบพี่วิชัยก็วางสายไปอย่างเลือดเย็น
ปล่อยให้ผมนั่งงงอยู่หน้าคอมพ์พร้อมกับเสียงเมสเซจเฟซบุ๊คที่ดังขึ้นแทบจะในทันที
“ตื่อดึ๊ง ตื่อดึ๊ง”
“เฮ้ย พี่วิชัยชวนไปญี่ปุ่น
มึงสนใจมั้ย ให้คำตอบพรุ่งนี้นะ” คราวนี้เป็นข้อความจากโจ้
(เพื่อนที่รู้จักกันสมัยฝึกงานนิตยสารเล่มหนึ่ง)
นับเป็นการชวนเที่ยวที่กดดันที่สุดตั้งแต่ได้เกิดเป็นมนุษย์
ย้อนความกลับไปเมื่อเดือนตุลาคม 2555 ณ งานสัปดาห์หนังสือฯ
ผม
พี่วิชัย และโจ้ ได้พบปะพูดคุยตามประสาคนที่ทำงานอยู่ในแวดวงหนังสือ
เมาท์มอยเรื่อยเปื่อยตั้งแต่เรื่องสังคม วัฒนธรรม การเมืองเศรษฐกิจ
และปรัชญา (เขียนให้ดูหล่อไปงั้น ที่จริงคือคุยเรื่องแมว
การ์ตูนและข้าวหมูกรอบ) โดยเรื่องราวทั้งหมดจบตรงที่ว่า “มีนาฯ
ปีหน้าเราไปญี่ปุ่นกันเถอะ” โดยพี่วิชัย ผู้เคยไปญี่ปุ่นมาแล้วให้เหตุผลว่า
“มันถึงเวลาแล้วว่ะ” ...อืม เวลาอะไรของพี่ก็ไม่รู้ แต่ถึงจะไม่เข้าใจ
เห็นพี่อยากไปผมก็ยินดี
ขณะที่โจ้ ผู้เป็นแฟน วันพีซ ระดับที่เคยไปแข่งรายการ แฟนพันธุ์แท้
มาแล้ว
จุดประสงค์ที่อยากไปก็คงหนีไม่พ้นการไปกลิ้งเกลือกบนดินแดนต้นกำเนิดของการ์ตูนเรื่องโปรด ส่วนผมก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกเสียจากการไปดู AKB48
ตัวเป็นๆ
ในโรงละครที่เป็นจุดกำเนิดของวง—สถานที่ที่เปรียบเสมือนกรุงเมกกะที่แฟนคลับ
ต้องมาสักการะให้ได้สักครั้งก่อนตาย
…นี่มันคือทริปสนองตัณหาของแต่ละคนโดยแท้
วันนั้นเราแยกย้ายกันไปโดยทิ้งท้ายไว้ว่าใกล้จะไปแล้วค่อยมาคุยกันอีกที ซึ่งใกล้ที่ว่าก็คือพรุ่งนี้นี่แหละ
เหตุที่ผมยังไม่ตกลง เพราะมีความลังเลไม่ค่อยมั่นใจสองประการ
หนึ่ง
—เพิ่งลาออกจากงานประจำมาเป็นฟรีแลนซ์ได้ครึ่งปี
ซึ่งผู้ประกอบอาชีพนี้ได้ชื่อว่าเป็นผู้ที่มีอิสระสูง
คืออิสระทั้งด้านการงานที่จะมีคนจ้างบ้างไม่จ้างบ้าง
และอิสระทางด้านการเงินที่คนจ้างมักจะมีกำหนดจ่ายอย่างอิสระจนต้องทวงเป็นประจำ
สอง—ไม่มีเงิน
ถือเป็นเรื่องบัดซบมากสำหรับคนที่บอกว่าอีกสี่เดือนจะไปญี่ปุ่นแต่ตอนนี้ไม่
มีเงินติดกระเป๋าสักบาท
เพราะต่อให้รู้ว่าอีกไม่กี่เดือนถัดไปจะได้เงินจากการทำงานตามสัญญา
แต่ความไม่แน่นอนทางการเงินของฟรีแลนซ์นั้นเกิดขึ้นได้เสมอ
ตราบใดที่ยังไม่เห็นยอดเงินเข้าในบัญชี
ผมก็จะถือว่าตัวเองเป็นบุคคลล้มละลายต่อไป
แต่เรื่องบางเรื่องความอยากมันก็ชนะเหตุผล ประโยค “ไปดิ” จึงหลุดจากปากของผมอย่างรวดเร็ว
กลายเป็นว่าทริปนี้มีผู้ร่วมหัวจมท้ายทั้งหมดสี่ชีวิต ประกอบด้วยผม—ผู้เนิร์ด AKB48 โจ้—ผู้เนิร์ดการ์ตูน วันพีซ พี่วิชัย—ผู้เนิร์ด กัมดั้ม และพี่มะ (แฟนพี่วิชัย)—ผู้ดูแล้วไม่น่าจะเนิร์ดอะไร แต่แฟนไปก็เลยไปด้วย
-
5
รู้สึกตัวอีกที ผมก็ยืนอยู่ในสนามบินสุวรรณภูมิ
แม้ระหว่างทางจะมีอะไรขลุกขลักอยู่บ้าง เช่น เงินในบัญชีดูไม่มั่นคงพอจะขอวีซ่า
(เป็นอะไรที่แค้นใจมาก เพราะช่วงที่ผมไปยังต้องขอวีซ่าเข้าญี่ปุ่นอยู่
แต่พอกลับมาได้ไม่เท่าไหร่ก็ประกาศยกเลิกซะงั้น...)
จนต้องขอยืมเงินแม่เข้าบัญชีไปก่อน
การหาเสื้อผ้าและกระเป๋าให้เหมาะกับการใช้ชีวิตในเมืองหนาว
การวางแผนเดินทาง ฯลฯ
แต่ทั้งหมดที่ว่ามายังสู้ความโหดร้ายของระบบจองตั๋วดูการแสดงในโรงละครของ
AKB48 ไม่ได้
และที่สำคัญ ยังไม่ทันได้ตั๋วให้อุ่นใจก็ต้องออกเดินทางแล้ว!
แต่ตอนนี้ปล่อยเรื่องตั๋วไปก่อน พาสติกลับมาสุวรรณภูมิแล้วโทร.หาพี่วิชัยดีกว่าว่าอยู่ไหนแล้ว
“พี่กำลังกลับบ้านว่ะ”
…
คำตอบพี่แกเล่นผมซะเหวอกิน นี่คือไปมาแล้วเรอะ ทำไมต้องกลับบ้าน
หรืออยู่ดีๆ พี่จะกลับบ้านทำไมวะ?! ลืมให้อาหารแมวทิ้งไว้เหรอ
หรือลืมปิดเตาแก๊ส พอถามไถ่ไปมาก็จับใจความได้ว่าพี่วิชัยลืมตั๋ว JR Pass
ไว้ที่บ้าน ซึ่งจะไม่กลับไปเอาก็ไม่ได้ เพราะเสียเงินไปแล้วเป็นหมื่น
ตอนนั้นผมยังมองโลกในแง่ดีว่าน่าจะมาทันเครื่องออก เวลายังเหลืออีกเยอะ ชิลๆ น่ะ
“กำลังจะปิดแล้ว รีบเลยค่ะ!”
หลังจากที่เข้าไปถามเวลาเช็กอิน พนักงานที่เคาน์เตอร์ก็ทำเอาผมเหวอกินอีกรอบ
เดชะบุญที่โจ้กำลังกินกาแฟอยู่ที่ชั้นล่างของสนามบิน ส่วนพี่วิชัยนั้น…
“บอกเขาว่ายังมีอีกสองคน ให้เขาช่วยถ่วงไว้หน่อย”
พี่วิชัยเสนอให้เราสองคนผ่านด่านตรวจคนเข้าเมือง (ตม.) ไปก่อน
ผมกับโจ้ส่งพาสปอร์ตไปแลกบอร์ดดิ้งพาสและโหลดกระเป๋ากับน้องพนักงานคนงาม
เดินไปด่านสแกนสัมภาระ
“พกน้ำมาหรือเปล่าคะ?” เสียงคุณพี่พนักงานด่านสแกนดังขึ้นมา
“ไม่มีนะฮะ” โจ้ตอบปฏิเสธด้วยความมั่นใจ น้งน้ำอะไรไม่มี๊ไม่มี ซึ่งโจ้ก็ไม่มีน้ำจริงๆ ครับ แต่มันมีแชมพูกับสบู่ขวดเบ้อเริ่ม…
ทีแรกพนักงานก็ถามว่าจะทิ้งมั้ย แต่โจ้ตัดใจทิ้งยาสระผมไม่ลง
จึงต้องเสียเวลาวิ่งกลับไปที่เคาน์เตอร์สายการบินเพื่อเอาของกลับไปโหลดลงใต้เครื่อง ปล่อยให้ผมยืนลุ้นระทึกอยู่ตรงนั้นตามลำพัง
ห้านาทีผ่านไป โจ้โทร.มาบอกให้ผมออกมานอกด่านตรวจค้นเพราะจะไม่ทันแล้ว พนักงานที่อยู่กับโจ้จะพาพวกเราไปเข้าด่านตม.แบบวีไอพีแทน
แต่ยังไม่ทันจะก้าวเท้าไปไหน โทรศัพท์ของผมก็ดังขึ้นอีกครั้ง (เชี่ยอะไรนักหนาวะเนี่ย)
“นี่คุณลงมาหรือยัง!” เสียงของคุณป้าที่ไหนก็ไม่รู้ลอยผ่านหูโทรศัพท์...ป้าโทร.ผิดเปล่าวะ
“ทำไมยังไม่ลงมาอีก! เร็วๆ! นี่เครื่องจะออกแล้วนะ! เดี๋ยวก็ไม่ทันหรอก!”
ผมเดาว่าป้าน่าจะเป็นพนักงานรุ่นใหญ่ของสายการบินที่กำลังหาทางช่วยไม่ให้พวกเราตกเครื่อง โห ขอบคุณมากเลย แต่ป้าโทร.มารัวใส่แบบนี้
กูตั้งสติไม่ทันนะเฮ้ย...
“ข…เขาบอกว่าไม่ให้ผมลงอะฮะ”
“ไม่ให้ลงได้ยังไง!” (เอ้า กูก็ไม่รู้ ก็เขาไม่ให้ลงอะ)
“เขาบอกให้ผมไปทางนี้แหละครับ ยังไงมันก็ไปโผล่ที่เดียวกัน”
“แล้วทำไมยังไม่ลงมา!” (เอ้า ตกลงว่ากูหรือป้าที่สับสนวะเนี่ย)
ด้วยความเหนื่อยที่จะเถียง
ผมเลยส่งโทรศัพท์ให้ป้าไปทะเลาะกับคุณพี่พนักงานแถวนั้นเอาเอง
ซึ่งสรุปแล้วก็ต้องไปตามทางที่คุณพี่พนักงานบอกไว้แต่แรกอยู่ดีนั่นแหละ
(ป้า...)
ผมรีบจ้ำไปด่านตม. แต่พอไปถึงก็พบว่า ด่านตม. ปิด กั้นไม่ให้คนเข้าแล้ว และขณะที่ผมกำลังตกใจอยู่ ป้าก็โทร.มาอีกแล้ว
“ทำไมยังไม่ลงมาอีก!” ป้าถามซ้ำเหมือนกับอัดเทปเอาไว้“
เขากั้นไม่ให้ผมลงครับ...”
“ใครกั้น? กั้นไว้ได้ยังไง รีบลงมาเลยนะ!”
นี่
กูทำอะไรผิดวะเนี่ยยยย มาสนามบินก็มาคนแรก
ของหลงของเหลวก็แพ็กใส่กระเป๋ามาอย่างดี
ทำไมกูต้องมาโดนอีป้าที่ไหนก็ไม่รู้โวยวายใส่ด้วยวะ
ด้วยความเหนื่อย
ที่จะเถียง (อีกครั้ง)
ผมจึงโยนโทรศัพท์ไปให้คุณพี่พนักงานแถวนั้นคุยเหมือนเดิม
และพนักงานตรงนั้นก็เปิดทางเดินให้ทันที โอ้ บารมีคุณป้านี่ยิ่งใหญ่จริงๆ
(เมื่อกี้ยังด่าเขาอยู่เลย)
ทันทีที่ผมโผล่ออกมาจาก ตม. ผมก็เห็นโจ้
พี่วิชัย และพี่มะวิ่งออกมาจาก ตม. อีกด้าน
หลังจากสอบถามก็ได้ความว่าระหว่างที่โจ้วิ่งเอาขวดสบู่ไปติดต่อที่เคาน์เตอร์
พี่วิชัยและพี่มะก็มาถึงเคาน์เตอร์แบบพอดีเป๊ะ ถือว่าการตัดสินใจรักษาสบู่ของโจ้เป็นสิ่งที่ถูกที่ควร ไม่งั้นพี่วิชัยกับพี่มะคงตกเครื่องไปแล้ว…
-
6
สนามบินฮาเนดะ ประเทศญี่ปุ่น
ผมขอมโนให้การมาถึงญี่ปุ่นของตัวเองยิ่งใหญ่พอๆ กับการที่นีล อาร์มสตรอง เอาเท้าแตะพื้นผิวดวงจันทร์
ความฝันตลอด 26 ปีมาถึงจุดสตาร์ทแล้ว
(จังหวะนั้นอยากจะลงไปกลิ้งเกลือกเอาหน้าไถพื้นให้สาสม
แต่ก็กลัวดูไม่งามในสายตาชาวโลก
ก็เลยได้แค่เดินไปตามทางเลื่อนที่เขากำหนดไว้แค่นั้น)
หลังผ่านด่านดักจับคนเถื่อน (ที่เจ้าหน้าที่ทุกคนใส่แว่นและใจดีกว่าที่คิด) ก็ถึงเวลาที่เราจะต้องปฏิบัติภารกิจตามแผนที่วางกันเอาไว้
วันนี้เราจะนอนที่สนามบิน
ขณะนี้ที่ญี่ปุ่นเป็นเวลาเกือบสี่ทุ่ม
การออกจากสนามบินไปหาที่หลับนอนจึงดูเป็นการลงทุนที่ไม่คุ้มค่า
จะให้ตรงไปเที่ยวเลยก็ไม่น่าจะมีแรง
ก่อนมาพวกเราเลยลงมติกันว่านอนสนามบินน่าจะเวิร์กที่สุด
แต่ในหมู่พวกเราไม่เคยมีใครนอนสนามบินมาก่อน
การเตรียมความพร้อมจึงเริ่มขึ้น
พวกเราหาข้อมูลกันประมาณหนึ่งรีมเอสี่ นั่งอ่านกันตาเปียกตาแฉะ ก่อนจะพบข้อมูลสำคัญในการนอนที่สนามบินฮาเนดะ
คือมึงอยากนอนตรงไหนก็นอนไปเหอะ อย่านอนใกล้บันไดเลื่อนก็พอ
เพราะเวลามีคนขึ้นลง สัญญาณมันจะร้องเตือนตลอด เดี๋ยวจะนอนไม่หลับกันเปล่าๆ
(อืม ปล่อยให้กูอ่านตั้งนาน)
เดินหอบสัมภาระหาที่นอนดีดีอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดเราก็เจอทำเลทอง เป็นหลืบที่มีเก้าอี้เรียงกันสวยงาม
คนไม่พลุกพล่าน แสงไม่แยงตา และที่สำคัญไม่มีบันไดเลื่อน
ถ้าไม่ใช่ตรงนี้ก็ไม่รู้จะเป็นที่ไหนแล้ว
เราทั้งหมดรีบจัดแจงพื้นที่และล้มตัวลงนอน
“แล้วพรุ่งนี้เราจะได้เห็นดีกัน” ผมสบถในใจแบบนางร้าย (จะร้ายทำไม) ก่อนจะผล็อยหลับไปบนเก้าอี้ยาว
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in