ผมสามารถจดจำเสียงของกระดาษที่กำลังถูกพลิกเปลี่ยน เสียงของปากกาลูกลื่นที่กำลังถูกขีดเขียน และเสียงกดแป้นพิมพ์ของเครื่องพิมพ์ดีดที่ส่งเสียงแต๊กๆ ภายในห้องทำงานขนาดเล็กของเขา เสียงเหล่านั้นมันทำให้ผมได้รู้ว่าเขากำลังนั่งทำงานอยู่ในห้องเหมือนกับทุกครั้ง
เขามักบอกผมว่าเขาเกลียดการทำงานแต่ว่าทุกครั้งผมก็เห็นเขาใช้เวลาทั้งวันขลุกอยู่ในห้องนั้น บางทีเขาก็นอนในนั้นโดยไม่ถอดแว่นตาออกเลยด้วยซ้ำ ผมเลยไม่เคยเข้าใจความหมายคำว่าเกลียดของเขาสักที
ผมแอบมองผ่านช่องประตูเล็กๆ จากประตูที่ถูกแง้มไว้ ทุกครั้งที่ผมมองแสงแดดสีทองจะส่องผ่านต้นโอ๊คเก่าแก่หน้าบ้านเข้ามาในห้องลอดผ่านหน้าต่างบานโตของเขา แสงมักจะพาดผ่านบางๆ ลงมาพอดีกับโต๊ะทำงานของเขา มันทำให้เขามีออร่าเหมือนกับเทวดากำลังทำงานอยู่
ผมลอบยิ้มบางๆ ความสุขมันล้นอยู่ในหัวใจของผมทุกครั้งที่ผมได้แอบมองแผ่นหลังของขณะที่เขานั่งทำงานแบบนี้ แม้ไม่เห็นหน้าตาอันเคร่งขรึมของเขาแต่ผมก็พอจะจินตนาการออกได้ว่าเขากำลังทำหน้ายังไง
ผมยืดตัวขึ้นก่อนจะแสร้งทำเป็นเคาะประตูเรียกเขา เขาขานรับผมง่ายๆ แบบทุกครั้งก่อนที่ผมจะผลักประตูเข้าไป
"ผมชงกาแฟมาเผื่อคุณน่ะ" ผมยิ้มและบอกเขา เขาพยักหน้า
"ขอบใจมาก" สั้นๆ แค่นั้นคือสิ่งที่เขาบอกกับผม สายตายังไม่ละไปจากกองต้นฉบับตรงหน้า
ผมลอบมองถาดเขี่ยบุหรี่ที่เต็มไปด้วยมวนบุหรี่มากมาย ผมตั้งใจจะเอาไปเปลี่ยนให้เขาแต่เขาก็ห้ามผมไว้เหมือนกับอ่านใจผมออก
"ไม่ต้อง มันคือเครื่องจับเวลาของฉัน"
ผมมองเข้าอย่างไม่เข้าใจนัก แต่ผมก็ไม่เคยเข้าใจอะไรเขาอยู่แล้ว
ผมเลยเดินออกไปจากห้องโดยไม่รบกวนอะไรเขาอีก
ผมชงกาแฟให้เขาแบบนี้ทุกๆ ซัมเมอร์จนกระทั่งเวลาได้ล่วงเลยมา 3 ปีเต็ม
รู้ตัวอีกทีผมก็กลายเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของเขาในงานวิวาห์ของเขาแล้ว
"นี่ นายคิดว่าฉันดูหล่อมั้ย" เขาถามผมขณะยืนอยู่หน้ากระจกบานใหญ่ในห้องแต่งตัว ผมที่ยืนมองเขาจากข้างหลังได้แต่ยิ้มบางๆ แล้วหันไปสบดวงตาสีน้ำตาลอ่อนราวกับใบใบไม้ที่แห้งกรอบของเขาผ่านกระจก
ผมเพิ่งมานึกได้อีกเรื่องว่านานๆ ทีที่ผมจะได้มองนัยน์ตาสวยคู่นั้น เขามักจะใช้มันจ้องมองกองต้นฉบับ ไม่ก็แก้วกาแฟของตัวเอง นานๆ ทีเขาจะใช้มันมองผม
"หล่อครับ หล่อมากๆ" ผมตอบเขาไปตามจริงก่อนจะหันไปหยิบดอกกุหลาบจากโต๊ะที่วางอยู่ข้างช่อลิลี่ที่เจ้าสาวของเขามอบให้ก่อนพิธีวิวาห์ก่อนจะเดินไปหาเขาอย่างช้าๆ เพื่อจะเสียบกุหลาบนั่นบนชุดสูทของเขา
"ขอบคุณนายมากนะที่มาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าวของฉันในวันนี้" เขาพูดขณะที่ผมง่วนกับการเสียบกุหลาบและจัดมันให้สวยงาม
"ไม่ใช่ปัญหาหรอกครับ"
"รู้ตัวอีกที ชีวิตของฉันก็ไม่เหลือใครนอกจากนายแล้วล่ะนะ" มือของผมที่กำลังจัดปกเสื้อให้เขาชะงักไปชั่วจังหวะหนึ่ง
"ครับ ผมก็เหมือนกัน"
"ฉันบอกนายแล้วใช่มั้ยว่าฉันจะขายห้องนั้นน่ะ"
"ครับ บอกแล้ว คุณบอกว่าอพาร์ตเมนท์นั้นห่วยมากด้วย"
"จริงสินะ ฉันจะลืมบอกนายได้ยังไง"
"ลืมก็ไม่เป็นไรหรอกครับ" ผมจัดเสื้อผ้าของเขาเสร็จก็เขยิบถอยหลังออกไปก้าวหนึ่งก่อนที่เขาจะพูดออกมาว่า
"ฉันคงคิดถึงกาแฟขมๆ ของนาย"
ผมเงยหน้ามองเขาด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัย เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะยีหัวผม
"ฝีมือชงกาแฟของนายห่วยที่สุดในโลกเลยนะ"
"คุณก็ควรบอกผมสิ ผมจะได้ไม่ชงให้คุณ"
"ฉันชอบที่นายชงเผื่อฉันเสมอ อีกอย่างตอนนายมาช่วยฉันช่วงซัมเมอร์ฉันก็มีความสุขมากจริงๆ ฉันเป็นเหมือนเป็นคนง่อยที่ไม่ต้องทำงานบ้านอะไรเลยเพราะนายช่วยหมด"
"คุณไม่เคยพูดอะไรเลย" ผมยังคงย้ำคำเดิม
"ปีหน้านายก็เรียนจบแล้วนี่นา" เขาเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง หันไปมองตัวเองในกระจก
"ใช่ครับ"
"ก็คงจะไม่มีช่วงเวลาซัมเมอร์อีกแล้วล่ะนะ" เขายิ้มพลางจัดผมของตัวเองที่เขาทรงดีอยู่แล้ว
"เหมือนจะเป็นอย่างนั้นแหละครับ" ผมรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกเลยบอกเขาไปว่า "ผมไปรอคุณข้างนอกนะครับ"
เขาพยักหน้ารับรู้ ผมเดินออกไปแต่ก่อนจะได้ผลักประตูออกไปเขาก็เรียกผมเอาไว้
"ขอบคุณนะ สำหรับทุกอย่างในช่วงซัมเมอร์ รวมถึงความรู้สึกของนายด้วย ฉันขอโทษที่เห็นแก่ตัวรับมันไว้โดยไม่บอกนาย แต่ตอนนี้ฉันขอคืนมันให้นายเอาไปให้คนอื่นนะ"
ผมยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นหลังจากฟังประโยคที่เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่อยู่ๆ ก็ไหลออกมาโดยไม่รู้ว่าเพราะความดีใจหรือเสียใจกันแน่
เขาช่างเป็นนักเขียนที่ปฏิเสธความรู้สึกของคนอื่นได้อย่างงดงามจริงๆ ผมไม่แปลกใจว่าทำไมหนังสือของเขาถึงได้ขายดีมากมายขนาดนี้
"ไม่เป็นไรครับ ผมกะแล้วว่าที่ผ่านมาคุณต้องรู้" ผมบอกเขาพร้อมทั้งรอยยิ้มแหละหยาดน้ำตา
"ฉันรู้"
ผมผลักประตูออกไปก่อนจะหันไปมองเขาที่มองผมผ่านกระจก ผมยิ้มให้เขา เขายิ้มให้ผม
นั่นดูเหมือนจะครั้งแรกที่เขาตั้งใจยิ้มให้ผม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in