เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
THE WARMER SIDE OF THE COFFEE SHOPstylojerry
LAPSE
  • 1

    ในร้านกาแฟที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน ผมนั่งอ่านหนังสือในมืออย่างสงบ แต่ผมไม่ได้สนใจตัวอักษรบนหน้ากระดาษของหนังสือในมือเลยแม้แต่น้อย ผมเฝ้ามองกล่องฟิล์มที่บรรจุกลักฟิล์มที่คนที่เพิ่งออกจากร้านไปเกือบชั่วโมงแล้วตั้งอยู่บนโต๊ะให้ผม

    แต่สุดท้ายผมก็หยิบมันขึ้นมาใส่กระเป๋าเป้ พร้อมกับหนังสือที่ลืมคั่นหน้าก่อนจะลุกเดินออกจากร้านไป


    2

    ผมรู้จักกับผู้หญิงคนหนึ่งมาเกือบสิบปี เธอมีอายุน้อยกว่าผมสองปี เธอมักจะชอบถ่ายรูปด้วยกล้องฟิล์มแต่เธอเป็นคนไม่มีความรู้การถ่ายรูปพื้นฐานเลยแม้แต่น้อย ผมมักจะดุเธอเวลาเธอนำรูปที่เธอถ่ายมาอวดผม จาก 36 รูปมีใช้การได้อยู่แค่ 2 รูป แต่ต่อให้ผมจะดุหรือจะบ่นเธอแค่ไหนเธอก็มักจะตอบผมว่า

    "ก็มันเป็นงานอดิเรกนี่นา"


    เมื่อสองปีก่อน เธอส่งข้อความมาบอกผมว่าเธอได้งานทำแล้ว มันเร็วมากสำหรับคนที่เพิ่งเรียนจบจากมหาวิทยาลัยอย่างเธอ ผมที่กำลังเรียนต่อปริญญาโทอยู่ได้แต่แสดงความยินดีไปให้เธอผ่านข้อความ ต่อมาผมรู้ว่าเธอกำลังจะย้ายไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น มันทำให้ผมจำได้ว่าเธอมักจะชอบพูดเรื่องงานแต่งงานแบบญี่ปุ่น เธอบอกว่าอยากแต่งงานแบบนั้นแต่ไม่รู้จะทำได้มั้ย ผมจำได้ว่าผมบอกให้เธอลองไปอ่อยคนญี่ปุ่นดูตอนที่เธอแพลนว่าจะไปเที่ยวญี่ปุ่นกับครอบครัว เธอตีไหล่ผมอย่างแรงแต่ก็หัวเราะไปด้วย เมื่อเธอกลับมาจากการไปเที่ยวกับครอบครัวเธอบอกว่าเธอจะต้องได้แต่งงานกับคนญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะเธอไปเข้าวัดแห่งหนึ่งมาแล้วเขาจัดงานแต่งงานพอดี 

    ผมบอกว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญ เธอมั่นใจว่านั่นคือพรมลิขิต



    หลังจากที่เธอย้ายไปญี่ปุ่นผมก็แทบไม่ได้ติดต่อเธอเลย จนกระทั่งเมื่อไม่กี่เดือนก่อนมีซองจดหมายโทนสีชมพูที่ชื่อ Sunrise Orange ซึ่งเป็นสีโปรดของเธอถูกวางเดียวดายในกล่องจดหมายของผม 

    ผมควรจะรู้ตั้งแต่เห็นสีซองแล้วว่าในนั้นต้องบรรจุบัตรเชิญไปงานแต่งงาน 

    สิ่งแรกที่ผมทำหลังจากอ่านการ์ดแต่งงานที่เจ้าบ่าวมีชื่อเป็นคนญี่ปุ่นคือการกดโทรออกหาเธอ ผมคิดว่าเธออาจจะแกล้งผมเหมือนเมื่อก่อนที่ชอบวางแผนแกล้งผมใหญ่โต ตอนนั้นขณะที่ผมไล่หาชื่อเธอในรายชื่อผมเพิ่งรู้ว่ารายชื่อ Favorite Contact ของผมไม่มีเธออยู่ในนั้นอีกแล้ว 




    "ฮัลโหล" 

    เมื่อติดต่อเธอได้กลายเป็นว่ามีผู้ชายรับสาย ผมไม่คุ้นเสียงผู้ชายคนนั้น ได้แต่ยืนใบ้แบบนั้นจนกระทั่งได้ยินเสียงเธอในสายจากไกลๆ ประมาณว่า ใครเหรอ ? 

    ผมกดวางสายทันที ตอนนั้นเหมือนผมได้รับบทเรียนครั้งใหญ่ในชีวิต 

    บทเรียนนั้นมีชื่อว่า การที่เพิ่งรู้ตัวว่าผมรักเธอก็คือวันเดียวกับวันที่ผมเสียเธอไปอย่างเป็นทางการ 



    3

    ผมนั่งหมุนกล่องฟิล์มในมือขณะนั่งดูหนังที่ผมจำชื่อไม่ได้หลังออกมาจากร้านกาแฟ ผมรู้สึกว่าผมอยากจะลืมโลกแห่งความจริงไปสักพักแต่หนังมันก็ห่วยซะจนโลกแห่งความจริงที่ผมเผชิญตอนนี้งดงามกว่าสักร้อยเท่า 

    ผมออกมาจากโรงหนังก็เย็นแล้ว ผมเดินไปที่รถก่อนจะขับออกมา รถติดอยู่นานแต่ผมก็มาถึงบ้านโดยสวัสดิภาพ ผมรีบตรงไปที่เตียงทิ้งตัวนอนคว่ำเอาหน้าคว่ำบนหมอน เงยหน้ามามีคราบน้ำตาเต็มหมอนไปหมด

    ผมเพิ่งรู้ตัวว่าผมร้องไห้มาตลอดทางกลับบ้าน 



    4

    "ร้านล้างฟิล์มเหรอ ร้านนั้นไง ที่ใกล้ๆ กับร้านขายรองเท้าน่ะ" ผมโทรไปหาเพื่อนของผม ถามหาร้านล้างฟิล์มพลางหมุนกล่องฟิล์มเล่นในมือไปด้วย 

    "อ่อ อืม ขอบใจมาก" ผมตอบเขา กดวางสาย คว้าการ์ดงานแต่งสีหวานที่วางบนโต๊ะกินข้าวแล้วยัดกล่องฟิล์มใส่ช่องเล็กๆ ในกระเป๋าเป้ก่อนจะเดินออกจากบ้านไป 


    5

    'ภาพฟิล์มมันให้ความรู้สึกเหมือนกับว่าเราจะต้องพยายามทำอะไรสักอย่างเพื่อให้ได้ความทรงจำออกมาเก็บไว้ ในขณะที่กล้องโทรศัพท์เหมือนกับว่าโอเค ฉันจะอวดให้ทุกคนรู้ว่าความทรงจำของฉันเป็นยังไง'

    'เธอจะเอาปรัชญาของเธอมาเป็นข้ออ้างในการเสียเงินล้างฟิล์มที่มีรูปดีแค่สองจากสามสิบหกรูปไม่ได้นะ ยัยบ๊อง'

    'ฮ่าฮ่าฮ่า เพราะแบบนี้ไง ฉันถึงชอบกล้องฟิล์ม' 


    ผมนึกถึงบทสนทนาตอนบ่ายขณะที่เราช่วยกันถอนหญ้าหลังบ้านของเธอ ตอนนั้นผมจำได้ว่าผมไม่ได้ตอบอะไรเธอไป ผมก้มลงกลับไปถอนหญ้า ในใจก็สับสนเพราะไม่เข้าใจผู้หญิงคนข้างๆ 


    "มารับได้ตอนสี่โมงนะครับ" พนักงานหลังเคาน์เตอร์บอกดึงผมออกจากภวังค์ ผมรับใบนัด มองนาฬิกาเรือนโปรด ตอนนี้เพิ่งจะเที่ยง ตัดสินใจทันทีว่าจะดูหนังสักเรื่อง ไม่กินข้าวเที่ยงแต่จะซื้อป๊อปคอร์นแทน 

    คราวนี้ผมตั้งใจเลือกหนังที่จะดู มันช่วยผมออกจากโลกแห่งความเป็นจริงได้อย่างดี พอหนังจบผมก็กลับมาสู่โลกแห่งความเป็นจริงอีกครั้ง มองนาฬิกา เวลาบ่ายสองห้าสิบพอดี ผมลุกออกจากโรงหนัง ทิ้งถังป๊อปคอร์นกับแก้วน้ำอัดลมที่ยังไม่หมดไว้ที่เดิม ตอนนั้นที่คิดได้ว่าผมก็คงเป็นแบบถึงป๊อปคอร์นและแก้วน้ำอัดลมแหละมั้ง 


    6

    "เรียบร้อยแล้วครับ ขอบคุณมากครับ" ผมรับถุงกระดาษจากพนักงานมา อยากจะบอกเขาว่าคงไม่มีคราวหน้าหรอกแต่ก็ไม่ได้พูดออกไป ผมตรงไปที่รถ ขึ้นไปนั่งและสตาร์ทรถ โยนถุงกระดาษไปที่เบาะหลังยังไม่กล้าหยิบออกมาดูตอนนี้เพราะกลัวจะร้องไห้ไปตลอดทาง 

    ใช้เวลาไม่นานผมก็มาถึงโรงแรมที่เป็นสถานที่จัดงานแต่งงาน คว้าแจ๊คเก็ตตัวเก่งมาสวมทับเสื้อยืดเพื่อให้ดูสุภาพ เธอไม่ได้กำหนดว่าให้แต่โทนสีอะไรแต่ผมก็เลือกสีเสื้อที่ใกล้เคียงกับสี Sunrise Orange ให้ได้มากที่สุด ผมลงจากรถ สูดหายใจเข้าเหมือนสมัยประถมที่กำลังจะต้องสอบม้วนหน้าในคาบพละ 

    ผมก้าวเดินหนักแน่นเข้าไปในงาน คนเยอะกว่าที่ผมคิดไว้

    แอบผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้เห็นเธอในชุดแต่งงานแบบญี่ปุ่น 




    "น้องเค้าจะย้ายไปอยู่ญี่ปุ่น เดี๋ยวก็จัดงานแต่งแบบธรรมเนียมที่นู่นด้วยเหมือนกัน" แม่ของเธอทักทายผม ไม่ได้เจอกันนานพอสมควร เธอแก่ลงจนผมตกใจ 
    เธอยื่นของชำร่วยมาให้ผม ของชำร่วยนั้นเป็นสมุดโน๊ตเล่มเล็กๆ ที่เจ้าบ่าวเป็นคนออกแบบ แม่ของเธอชมเจ้าบ่าวให้ผมฟังไม่หยุด เธอยื่นปากกามาให้ผมเขียนอวยพร ผมส่ายหน้าไม่เอา

    "เดี๋ยวผมอวยพรน้องเค้าเอง" ผมบอกไป เธอยิ้มกว้างแล้วคุยกับแขกคนอื่นต่อ ผมเดินวนรอบงาน เจอซุ้มถ่ายรูปที่ตกแต่งด้วยดอกไม้ราคาแพง เบะปากเล็กน้อยเมื่อคิดถึงประโยคที่เธอพูดไว้เมื่อก่อนว่าอยากจัดงานแต่งงานแบบเล็กๆ เหมือนในเรื่อง Mama Mia! ผมบอกเธอว่านั่นเขาเชิญคนทั้งเกาะเลยนะ เธอเหมือนเพิ่งนึกได้ แต่ก็ยืนยันคำเดิมว่าจะจัดงานแต่งแบบเล็กๆ เชิญเฉพาะเพื่อนๆ เท่านั้น 

    ผมสงสัยว่าเธออาจจะมีเพื่อนเยอะกว่าที่เธอจินตนาการไว้ในตอนนั้นก็เป็นได้




    ผมเห็นเธอในชุดแต่งงานสีขาว สวยกว่าเธอตอนปกติอย่างมาก เจ้าบ่าวยิ้มกว้างดูภูมิใจ ผมเกลียดตัวเองที่ได้แต่มองเธออยู่ไกลๆ แบบนี้ พวกเขาเหมาะสมกันมาก แขกในงานต่างต่อแถวรอถ่ายรูปด้วย เธอกลบรัศมีผู้หญิงทุกคนในงานหมด ผมเพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองกำลังกำมือแน่น 

    สุดท้ายผมไม่ได้ต่อแถวถ่ายรูป และไม่ได้อวยพรเธอแบบที่รับปากกับแม่ของเธอไว้

    รู้ตัวอีกทีผมพาตัวเองมาอยู่ที่บาร์แห่งหนึ่งที่ไม่ไกลจากงานแต่งงานของเธอนัก ผมร้องไห้ออกมากลางร้านหลังจากซดเหล้าไปแก้วที่แปด มีผู้หญิงคนหนึ่งมาปลอบผม หน้าของเธอละม้ายคล้ายเธอที่กำลังอยู่ในงานแต่งงานตอนนี้ ผมไม่สนใจอะไรอีกต่อไป ผมกอดผู้หญิงคนนั้น หวังว่าบ่าเล็กๆ ของเธอจะคลายความเศร้าในใจของผมไปได้ 


    เช้าวันต่อมาผมตื่นมาบนเตียงของโรงแรม มองดูผู้หญิงแปลกหน้าที่นอนอยู่ข้างๆ เธอสวยกว่าคนในงานแต่งมาก ผมออกมาจากห้องอย่างเงียบเชียบ จ่ายค่าห้องพักให้กับหญิงแปลกหน้า

    พอขึ้นรถผมก็ร้องไห้อีกครั้ง คิดว่าอีกนานกว่าจะหยุดร้องไห้ได้




    "ไปเที่ยวกัน"
    "ใครไปบ้าง?"
    "เราสองคน"
    "จะบ้าเหรอ"
    "ฉันอยากถ่ายรูป ไปกับฉันหน่อยเถอะ" 

    ผมฝันถึงวันนั้นวันที่เธอเดินมาชวนผมไปเที่ยวด้วยกันสั้นๆ แค่สามวัน เราตกลงไปเที่ยวกันในเมืองที่ไม่ไกลเท่าไหร่ นั่งรถประจำทางไปได้เพราะผมในตอนนั้นแม้มีใบขับขี่แต่ก็ขี้เกียจยืมรถของแม่ไป มีหลายอย่างเกิดขึ้นที่นั่นแต่ผมจำได้แค่ลางๆ เท่านั้น แต่ผมก็นึกขึ้นได้ว่ารูปจากกล้องของเธอในตอนนั้นเหมือนจะเป็นฟิล์มม้วนสุดท้ายที่เราถ่ายก่อนผมจะขึ้นมหาลัยแล้วเราก็แยกย้ายกันไปคนละทาง

    ผมลุกขึ้นนั่งบนเตียง ถุงใส่อัลบั้มจากฟิล์มที่ล้างแล้ววางอยู่บนหัวเตียง ผมกลั้นใจหยิบมันออกมา แล้วเปิดมันออกมาดู หวังว่าจะเป็นเพียงแค่ภาพมืดๆ ที่ถ่ายอะไรไม่ติดเพราะเธอไม่รู้จักปรับกล้องของเธอ

    แต่มันผิดคาด 

    ผมเปิดดูทุกรูปซ้ำไปมาจนน้ำตามันรื้นขึ้นมาแล้วผมก็มองไม่เห็นอะไรอีก

    มันเป็นรูปของผม ทั้ง 36 รูป 

    ที่แย่คือมันดีทุกรูป 

    ในห้องของผมมีเพียงเสียงร้องของผมที่ดังก้องกับเสียงลมแอร์ที่ไม่ได้ถูกล้างมานาน ผมร้องไห้ กอดอัลบั้มนั้นไว้แน่นเพราะกลัวมันจะหายไป 

    ความทรงจำตอนนี้ฉายขึ้นมาเหมือนสมองผมเป็นเครื่องเล่นแผ่นซีดีที่ถูกใส่ซีดีที่ชื่อ 'ความทรงจำบนรถบัส'



    10

    มันเป็นบ่ายวันอาทิตย์ เรานั่งรถบัสกลับจากทริปของเรา ผมเหนื่อยมากจนผล็อยหลับแต่เสียงเจื้อยแจ้วของเธอก็เรียกผมให้ตื่นมาดูวิวอยู่เรื่อยๆ 

    "กลับไปทุกอย่างก็ไม่เหมือนเดิมแล้ว" จู่ๆ เธอก็พูดขึ้นมา ผมขยี้ตาแล้วหันไปมองเธอที่นั่งมองวิวข้างๆ 
    "หมายความว่าอะไร"
    "พี่ก็จะต้องเข้ามหาลัย เราจะไม่ได้เที่ยวเล่นกันแบบนี้ แม่ก็จะใช้ฉันถอนหญ้าคนเดียว จะไม่มีใครบ่นฉันเวลาฉันพูดอะไรไร้สาระ" 
    "แบบนั้นก็ดีแล้วนี่นา หูเธอจะได้ไม่ต้องชาเพราะฉัน" ผมเอื้อมมือไปดึงติ่งหูเธอ 
    "ฉันคงเหงาน่าดูเลย"
    "งั้นก็รีบๆ ตั้งใจเรียนแล้วสอบเข้ามาอยู่กับฉันสิ"
    "พี่ก็รู้ว่าฉันไม่มีความพยายามขนาดนั้น"
    "ยัยบ๊อง ไม่ลองแล้วจะรู้ได้ไงล่ะ" 
    เธอถอนหายใจ สายตาจับจ้องไปที่ภายนอก
    "บางทีฉันก็อยากให้เราอยู่ในรถบัสนี้ด้วยกันตลอดไป ไม่ต้องไปไหน ไม่มีจุดจบ"
    ผมหัวเราะกับความคิดของเธอ
    "แต่รถบัสคนนี้สุดท้ายก็ต้องจอดอยู่ดี เธอก็รู้ใช่มั้ย"
    เธอพยักหน้าเบาๆ มองไปข้างนอก ไม่รู้ว่าเธอมองอะไร แต่มันดูไกลเกินกว่าผมจะไปถึง 



    11

    เธอเคยสารภาพรักกับผมหลายรอบ แต่ผมก็ตอบปัดไปตลอด แต่ดูเหมือนว่าบนรถบัส เธอจะสารภาพรักอย่างจริงจังแม้มันจะไม่มีคำว่า 'รัก' เลยก็ตาม 

    ผมเก็บอัลบั้มรูปนั้นใส่ถุงเหมือนเดิม คิดว่าจะโทรไปหาเธอและนัดวันที่จะเอาไปให้เธอด้วยตัวเอง

    ตลอดมาผมรู้ว่าเธอชอบผม แต่ตอนนั้นผมยังสับสน เธอเป็นเหมือนน้องสาวของผม เห็นกันตั้งแต่เด็กๆ เลยไม่รู้ว่าผมรู้สึกกับเธอยังไงกันแน่ 

    แต่อย่างที่ผมบอกไป ผมเรียนรู้ว่าผมรักเธอตอนที่เธอแต่งงานไปแล้ว

    มันเป็นเรื่องที่น่าสมเพชเสียจริง

    จริงอยู่ที่รถบัสคันนั้นจอด แต่เธอฟังผมและเลือกลงจากรถ ส่วนตัวผม ดูเหมือนว่าจะยังคงนั่งอยู่บนรถบัสคั้นนั้น อาจจะเพราะผมไม่ทันได้เห็นว่าเธอลงไป ผมเลยไม่ได้ลงตามเธอไป พอหันมาอีกทีเธอก็ไม่อยู่แล้ว 

    ผมหัวเราะกับตัวเองเมื่อคิดว่าส่วนหนึ่งของผมยังคงนั่งอยู่บนรถบัสคันนั้น 




    12

    การที่เธอนัดผมมาที่ร้านกาแฟในวันนั้นอาจจะเป็นการขอคำอวยพรของผมในแบบของเธอก็เป็นได้ เธอยังคงมีลักษณะเหมือนผู้หญิงคนเดิมที่ผมรู้จักมาตลอด แต่เพราะเวลาและระยะทางผมสัมผัสถึงเส้นบางๆ ระหว่างเราได้ ผมปิดหนังสือลงเมื่อเห็นเธอ เธอนั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้าม เอ่ยทักทายผม และบอกว่าคิดถึงผมมากๆ ก่อนจะเล่าถึงชีวิตในญี่ปุ่น และงานแต่งงานที่กำลังจะจัด 

    "ได้แต่งงานแบบญี่ปุ่นสมใจอยากล่ะสิ" ผมบอกเธอ

    "เหมือนฝันเลยล่ะ" เธอยิ้มกว้างอย่างมีความสุข

    "ยินดีด้วยนะ" ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อพบว่าเธอยิ้มออกมาอย่างมีความสุขแบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน 

    จากนั้นเธอก็หยิบกล่องใส่กลักฟิล์มขึ้นมา บอกผมว่า นี่คือม้วนที่ดีที่สุดที่ถ่ายมา เธอมั่นใจแบบนั้น ไม่รู้ว่าทำไมเหมือนกัน เธอบอกว่าหลังจากม้วนนี้ก็ไม่ได้ถ่ายกล้องฟิล์มอยู่นาน แถมยังทำม้วนนี้หายและเพิ่งเจอ อยากให้ผมเอาไปส่งล้างเพราะอยากให้ผมเห็นภาพก่อนใคร

    "พี่จะได้รู้ว่าฉันฝีมือดีจริงๆ ไม่ได้ล้อเล่น" เธอบอกผมแบบนั้น วิธีพูดต่างจากเธอในความทรงจำของผมลิบลับ

    เธอเล่าต่อว่าช่วงอยู่ญี่ปุ่นเธอกลับมาถ่ายกล้องฟิล์มอีกครั้ง เลยทำให้เจอกับว่าที่เจ้าบ่าว 

    ผมไม่ได้รับกล่องฟิล์มมาจากมือของเธอ ปล่อยให้มันตั้งบนโต๊ะ และฟังเสียงของเธอเล่าเรื่องราวความรักของเธอให้ผมฟัง มันค่อยๆ กรีดผมช้าๆ แต่ผมก็ยิ้มออกมา

    เราบอกลา เธอเดินจากไป

    ผมจ้องมองกล่องฟิล์ม

    เข้าใจแล้วว่าความชอบมีวันหมดอายุ




     




Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in