(หนึ่ง)
"นายมีเสื้อผ้าอยู่ชุดเดียวเหรอ"
นั่นไม่ใช่คำทักทายที่เหมาะที่ควรเท่าไรนัก โดยเฉพาะกับคนแปลกหน้าที่เพิ่งเจอกันแค่ครั้งสองครั้ง ตามหลักการแล้วความสุภาพควรแปรผกผันกับระดับความสนิทสนม แต่ช่วยไม่ได้ที่เขาไม่ได้อยู่ในอารมณ์อยากทำตัวมีอารยะ สาเหตุหลักอาจเป็นเพราะความเคืองที่ตกค้างจากเมื่อสัปดาห์ก่อน ข้อแรก เขาเป็นพวกเจ้าคิดเจ้าแค้น และข้อสอง หน้าตาซื่อ ๆ ของไอ้หนุ่มผมบลอนด์ในเสื้อเชิ้ตสีฟ้าอ่อนกับแจ็กเก็ตสีดำดันชวนโมโหอย่างบอกไม่ถูก หมอนี่ชอบมองหน้าเขาแล้วไม่พูดไม่จา ก่อนจะถอยหนีไปแบบที่ไม่ได้เรื่องได้ราวอะไรทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เขากำลังขอเสียงสนับสนุนเพื่อต่อกรกับป้าเจ้าของแฟลตหรือตอนที่อยู่ในโรงหนัง เขายังไม่ทันได้ถามว่า นายเป็นอะไรของนายวะ ด้วยซ้ำ ให้ตายเถอะ
หนุ่มผมบลอนด์ก้มดูเสื้อตัวเองโดยอัตโนมัติ ทึ่มจริง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย อีกแล้ว เอาแล้วไง
"เหมือนเมื่ออาทิตย์ก่อนเป๊ะ" เขาพูดเสริม พร้อมทำท่ามองขึ้นมองลง ก่อนจะหันไปหยิบกาแฟจากเคาน์เตอร์ รู้สึกแปลกใจเล็กน้อยที่หันกลับมาแล้วยังพบว่าอีกฝ่ายยังยืนอยู่ ไม่ได้ฉวยโอกาสชิ่งหายไปเหมือนคราวก่อน เขาเกือบจะยกประโยชน์ให้หมอนั่นในฐานะคนเข้าสังคมไม่เก่งอยู่แล้ว ถ้าเสียงนุ่ม ๆ เนิบ ๆ นั่นไม่เอ่ยขึ้นมาเสียก่อน
"บางทีเวลาอาจไม่ได้ผ่านไปเลยก็ได้นะ"
อะไรวะ —
สีหน้าดูเอาจริงเอาจังเหมือนไม่ได้พูดเล่น นั่นใช่มุกตลกหน้าตายหรือเปล่า เขาควรจะขำดีหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็ไม่ได้หัวเราะ เขากำลังงง เอาเถอะ จะไปเอาอะไรมากกับคนที่ทนฟังเสียงโซโล่กีตาร์ตอนดึกดื่นแล้วไม่บ่นสักคำ แถมยังแต่งตัวเหมือนตาลุงแก่ ๆ อีก
"นายนี่เพี้ยน ๆ นะ"
"คุณก็เหมือนกัน"
(สอง)
"ผมชอบใส่เสื้อนอกแบบนี้เพราะว่ามันมีกระเป๋าให้เก็บของเยอะดี" จู่ ๆ คนที่ชวนออกมานั่งดื่มกาแฟริมทางก็เอ่ยขึ้นมา ว่าไม่ว่าเปล่า ยังจะพิสูจน์ให้เห็นด้วยการหยิบแก้วเก็บความร้อนใบย่อมออกมาวางบนโต๊ะ พร้อมกับสมุดและปากกา รวมถึงหนังสือบทกวีเล่มจิ๋วของใครสักคน ถ้าบอกว่ากระเป๋าเสื้อแจ็กเก็ตของหมอนี่เป็นโพรงกระต่ายที่นำไปสู่ดินแดนมหัศจรรย์ เขาก็คงไม่แปลกใจเท่าไร
"แล้วนายเอาไอ้นั่นติดตัวไปด้วยทุกที่เนี่ยนะ" เขาชี้ไปที่แก้วทรงกระบอกสีเงิน ตลกชะมัด
"ผมติดชา" จากนั้นหมอนั่นก็ยกแก้วขึ้นดื่มหน้าตาเฉย เอาที่นายสบายใจเลยพวก เขาจัดการดื่มเครื่องดื่มในแก้วของตัวเองบ้าง เหลือเวลาอีกชั่วโมงให้แกร่วก่อนจะถึงเวลาซ้อม แม้จะรู้ทั้งรู้ว่ามีอะไรอย่างอื่นให้ไปทำ — อะไรที่ดีกว่าการนั่งมองอดีตคนข้างห้องนั่งก้มหน้าขีดเขียนอะไรสักอย่างไม่พูดไม่จา แต่อะไรที่ดีและมีประโยชน์ไม่ใช่สิ่งที่เขาให้ความสำคัญนัก โลกนี้มีคนอยู่สองประเภท: คนที่น่าสนใจและคนที่น่าเบื่อ และคนตรงหน้าก็ดูก้ำกึ่งระหว่างสองพวกนี้อย่างบอกไม่ถูก บางที — บางทีเขาอาจต้องการเวลาตัดสินใจอีกหน่อย
"เป็นนักเขียนเหรอ" เขาถาม ถึงจะมองไกลจากระยะสามร้อยเมตรก็ดูออกว่ามาดให้
"ก็ไม่เชิง" อีกฝ่ายใช้ปากกาเกาคางและครุ่นคิด "ผมเขียนบทหนังอยู่"
ค่อยน่าสนใจหน่อย "อยากเป็นนักเขียนบทงั้นสิ"
"ก็ไม่เชิงอีก" ถ้าไม่มีสีหน้าเครียด ๆ และคิ้้วที่ขมวดมุ่นประกอบ เขาคงคิดว่าไอ้หนุ่มติดชาคนนี้กวนบาทาเขาเข้าให้แล้ว "ผมอยากเป็นผู้กำกับ"
"พูดเป็นเล่น" นี่มันจะน่าสนใจเกินไปแล้ว "นายดูไม่เหมือนผู้กำกับเลย"
"คุณก็ดูไม่เหมือนร็อคสตาร์"
ถ้าบทสนทนานี้เกิดขึ้นที่บ้านเกิด เขาอาจจะซัดหน้าเด๋อ ๆ ของคนตรงหน้าไปแล้ว แต่โชคนี้ที่ที่นี่ไม่ใช่ เขาจึงทำได้เพียงแค่นเสียงหัวเราะและถามคำถามยอกย้อนกลับไป "ถ้างั้นฉันดูเหมือนอะไรล่ะ"
นัยน์ตาสีฟ้าแจ๋วฉายแววงุนงงกลับมา เขารู้สึกถึงชัยชนะเล็ก ๆ ที่ตอกกลับคนแปลกหน้าฝีปากดีไปได้ แน่ล่ะว่าวินาทีนั้นเขายังไม่รู้ว่าชายหนุ่มว่าที่ผู้กำกับมีไม้ตายอะไรซ่อนอยู่ หมอนั่นใช้ปากกาเกาคางราวกับใช้ความคิดอย่างหนักหน่วง สายตาเหม่อลอยไปไกลจนเขาเกือบจะเอ่ยปากว่าช่างมันเถอะ ไปแล้ว แต่จู่ ๆ เขาก็ได้ดันคำตอบหลังจากอีกฝ่ายก้มมองสมุดบันทึกแล้วเงยหน้าขึ้นมาสบตาด้วย
"คุณเหมือนตัวละครที่ผมกำลังเขียนอยู่"
(สาม)
หมอนั่นชื่อคริส — ชื่อที่เวลาเรียกแล้วฟังดูนุ่มนวลบนปลายลิ้นและริมฝีปากอย่างบอกไม่ถูก ก็เข้ากับเขาอยู่หรอก เหมือนกับเสื้อเชิ้ตสีฟ้านั่น
เขาบอกชื่อตัวเองไป ("เพื่อน ๆ เรียกผมแบบนี้" เขาอธิบาย — ลืมนึกไปว่านั่นหมายความว่าพวกเขาเป็นเพื่อนกันแล้ว นี่มันบ้าบอสิ้นดี) จริง ๆ แล้วเขาคาดหวังว่าจะได้เห็นปฏิกิริยาพิลึก ๆ แบบเดียวกับที่คนลอนดอนทั่วไปชอบทำเวลาได้ยินชื่อของเขา แต่คริสก็แค่ดื่มชา ส่งเสียง "อืม" เบา ๆ แล้วพูดหน้าตายว่า "ชื่อนี้เข้ากับคุณดีนะ คิล"
วิธีที่คริสเอ่ยชื่อของเขานั้นราวกับกำลังพูดกับตัวเอง เขาไม่รู้ว่านั่นเป็นคำชมหรือไม่ เช่นเดียวกับที่เดาไม่ถูกสักครั้งว่าชายหนุ่มเสื้อฟ้าพูดจริงหรือแค่หลอกกวนอารมณ์เขาเฉย ๆ แต่เมื่อคริสพูดว่า "ยินดีที่ได้รู้จัก" อย่างสุภาพ เขาก็พบว่าตัวเองกล่าวตอบว่า "เช่นกัน" โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว นี่ต่างหากที่เป็นการทักทายที่เหมาะที่ควร อาจจะดูผิดคาดไปสักหน่อยในเมื่อพวกเขาไม่ใช่แค่คนคุ้นหน้าแบบเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน หรืออันที่จริงก็สัปดาห์ก่อน เขาไม่อยากจะเชื่อว่าตัวเองเผลอผูกมิตรกับคนคนนี้เข้าให้แล้ว บทสนทนาที่เขาเป็นฝ่ายหาเรื่องเริ่มก่อนจึงกลับหัวกลับหางกลายเป็นอะไรที่เขาเองก็ยากจะคาดเดา
เมื่อหมดวัน เขายังคงคิดไม่ตกว่าเรื่องราวพลิกผันที่ตรงไหน แสงไฟจากหน้าต่างแฟลตเก่าที่เขาอาศัยอยู่แค่สัปดาห์เดียวยังดูสว่างไสวจากอีกฟากถนน คิลจับกีตาร์ขึ้นมาบรรเลงเป็นทำนองเรื่อยเปื่อยที่เขาก็ไม่รู้จัก ขณะที่สรุปเอาเองในใจให้ตัวเองนอนหลับในคืนนี้ว่าคนที่ชื่อคริสนั่นก็น่าสนใจดี
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in