เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
The Dream Devourers #นักกินฝันdaiong
[ฝันที่ 1] บทที่ 3 : วิธีออกจากฝัน
  • “การฆ่าเพื่อปลุก!” เสียงหนึ่งตอบ


    “ใช่แล้วครับ วิธีอื่นล่ะ” ดีเรธถาม


    “หาเจ้าของฝัน ทำให้เขารู้ตัวว่าเป็นความฝันของตัวเอง แล้วให้เขาตื่น” อีกเสียงว่า


    “สร้างความเครียดเพื่อทำลายฝันนี้!”


    “มีอีกสองทาง” ดีเรธชูนิ้วสองนิ้วขึ้น


    “สามารถให้คนที่ตื่นอยู่ในโลกจริงเรียกออกจากฝันได้!”


    “รอเจ้าของฝันหมดพลังชีวิต!”


    “ใช่แล้วครับ รวมเป็นห้าตัวเลือก” ดีเรธสรุปจากคำตอบของฝูงชน “ทีนี้ก็เหลือแต่คุยกันว่า มีอะไรที่ทำได้หรือไม่ได้บ้าง เพื่อออกจากฝันนี้”


    เงียบไปครู่หนึ่ง


    “ทำไมคุณไม่เฉลยให้พวกเราเสียเลยล่ะครับ ตั้งใจจะลองเชิงทุกคนหรือยังไงครับ” เอลเลียตเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงยียวน


    ดีเรธหัวเราะหึ “ผมเป็นประเภทพูดไปคิดไปน่ะ ทั้งนี้พวกเราคุยให้ทุกคนเห็นความเป็นไปได้ทั้งหมด แล้วค่อยเลือกทางของตัวเองน่าจะสะดวกที่สุด ไม่คิดแบบนั้นหรือครับ เช่น ทางเลือกหนึ่งก็คือ ‘รอเจ้าของฝันหมดพลังชีวิต’ ที่พวกเราสามารถอยู่เงียบ ๆ  ปล่อยให้เจ้าของฝันใช้พลังงานชีวิตจนเลยขีดจำกัด และไม่สามารถจำกัดพวกเราให้อยู่ในฝันนี้ได้อีก พวกเราก็จะออกไปจากที่นี่ได้”


    “แต่นั่นไม่ใช่ตัวเลือกที่จะใช้ในกรณีนี้ได้ เพราะมีความเสี่ยงเยอะเกินไป ข้อแรก...” เอลเลียตเหยียดกายลุกขึ้น ท่ามกลางบรรยากาศอันตึงเครียดเขาก็ยังคงยิ้มอยู่นั่นราวกับทำตามความเคยชิน “คนที่จะทำแบบนั้นได้อย่างสบายใจ คือคนที่ต้องแน่ใจว่าตัวเองไม่ใช่เจ้าของฝันครับ การอยู่เฉย ๆ และปล่อยให้พลังชีวิตหมดไปนั้นมีสิทธิ์ถึงแก่ชีวิต แม้จะมีโอกาสรอดอยู่ ผมก็แน่ใจว่าพวกเราทุกคนเซ็นสัญญารับรู้และยินยอมก่อนขึ้นเครื่องมาแล้วว่าการเข้าคัดเลือกนี้มีโอกาสที่จะได้รับอันตรายเพียงใด ผมไม่แน่ใจว่าผู้คุมสอบจะคอยพยุงชีวิตเจ้าของฝันที่ล้มเหลวในการหาทางออกจากฝันตัวเองไหม หรือจะปรับตกและปล่อยให้ตาย คำถามคือ พวกเราหาข้อมูลในระดับที่สามารถตัดตัวเองออกจากตัวเลือกในฐานะเจ้าของฝันนี้ได้แล้วหรือครับ”


    “อินคิวบัส” หญิงคนหนึ่งซุบซิบกับดีเรธ สายตามองเอลเลียต “กลิ่นอายมันฟุ้งตั้งแต่ขึ้นมาบนเครื่องแล้ว”


    นักกินฝันสาย ‘อินคิวบัส’ คือพวกกินฝันที่เกี่ยวข้องกับความปรารถนาเบื้องลึกในจิตใจ ส่วนใหญ่เป็นทางเพศ จึงมักจะมีรูปลักษณ์งดงาม กลิ่นอายและบรรยากาศยวนใจ


    “ข้อที่สอง” เอลเลียตกล่าวต่อ สายตาปรายเลยผ่านผู้หญิงคนนั้นไป “โจทย์คือ การหาทางออกจากฝันนี้ ต่อให้เรารอจนพลังของเจ้าของฝันไหลหมดไป ผู้คุมการคัดเลือกก็มีสิทธิ์ใช้พลังเวทเคลื่อนย้ายฝันนี้ไปสู่เจ้าของฝันคนใหม่ ทำให้พวกเราไม่สามารถหลุดออกจากฝันได้ แค่เปลี่ยน ‘เจ้าบ้าน’ เท่านั้น


    “ข้อที่สาม เราไม่อาจรู้ได้ว่าเจ้าของฝันมีพลังงานมหาศาลเพียงใด เขาอาจจะสามารถหลับยาวจนถึงสิบเอ็ดชั่วโมงก็เป็นได้—แม้ว่าคนที่มีพลังระดับนั้นจะหายาก แต่สำหรับพวกที่กล้ามาสอบ ก็ใช่ว่าจะมีความเป็นไปได้ต่ำ ผมนึกภาพว่า ผู้คุมสอบจงใจเลือกคนที่เขาคาดว่ามีระดับพลังงานสูง—”


    “อันที่จริงแล้วเธอคนนี้พูดอะไรน่าสนใจอยู่นะ” ดีเรธแทรกขึ้น นิ้วโป้งชี้ไปที่ผู้หญิงข้างกาย “คนที่สามารถดึงพวกเราทั้งหมดและเครื่องบินทั้งลำเข้าไปอยู่ในจิตใต้สำนึกได้ คือพวกที่ช่ำชองการกลืนกินพลังชีวิตผู้อื่นในฝันอยู่แล้ว หรือก็คือพวกที่มีพลังจิตมหาศาล อย่างพวกปิศาจแบบอินคิวบัส”


    “ลองฆ่ามันดีกว่า” มีคนหนึ่งกล่าว พลางชี้มาที่เอลเลียต “ถ้ามันเป็นเจ้าของฝัน การฆ่าจะเพิ่มระดับความเครียด บังคับให้มันตื่น แล้วพวกเราก็อาจออกไปจากที่นี่ได้”


    เมื่อลีอาร์ตระหนักว่าเขากำลังอยู่ใกล้คนที่อาจตกเป็นเหยื่อฆาตกรรม เขาก็หยัดกายลุกขึ้นยืน “ผมคาดว่า...” เขาเอ่ย ก่อนจะยกมือป้องรอบปากเพื่อเพิ่มระดับเสียง “ผมคาดว่าเราโดนยาสลบอยู่ – ยาที่ผ่านการปรุงโดยใช้พลังเวท หากเราใช้วิธี ‘ฆ่าเพื่อปลุก’ เพื่อบังคับใครออกจากพื้นที่นี้ มีความเป็นไปได้ว่าพวกเราจะไม่ตื่น  แต่เปลี่ยนเข้าสู่สภาพหลับลึก”


    “แต่โจทย์ไม่ใช่การตื่น แต่เป็นการออกจากฝันนี้นะ” คนหนึ่งแย้ง


    “ครับ แต่เราต้องแน่ใจว่า คนที่เราฆ่าไม่ใช่เจ้าของฝัน ไม่อย่างนั้นคนอื่นจะทั้งไม่ตื่นและไม่สามารถออกไปจากฝันได้ถ้าเราไม่ใช่เจ้าของฝัน การฆ่าตัวตายก็ควรจะหมายความว่าเราออกไปจากฝันนี้ แต่ถ้าเราไปฆ่าคนที่เป็นเจ้าของฝันเข้า เราทั้งหมดอาจหลุดออกไปจากที่นี่ได้ยากกว่าเดิม – ตกเป็นสิ่งติดค้างอยู่ในจิตของเจ้าของฝัน เหมือนเวลาคนเรากลับไปฝันต่อเรื่องเดิมน่ะครับ ยังไงก็ตาม จะลงมือฆ่าใครก็ตามเป็นการสร้างระดับความเครียดในฝันนี้มากขึ้น ซึ่งเราไม่อาจแน่ใจได้ว่าความเครียดจะไปกระตุ้นอะไร—”


    พลันเกิดเสียงหวีดร้องขัดจังหวะการพูดของเขาจากอีกฟาก มีเสียงกระดูกหักตามมา อลันรีบเลื่อนมือไปปิดหูของเด็กหญิงเป็นเชิงปกป้อง เธอสะดุ้ง


    วินาทีนั้น กระจกหน้าต่างทุกบานของเครื่องบินก็แตกกระจาย เรียกเสียงหวีดร้องไปทั่วเครื่องบิน เอลเลียตคว้าตัวลีอาร์ให้ออกห่างจากกระจก เวลาเดียวกับที่อลันเอาตัวเข้าบังเด็กหญิงเอาไว้


    หลังเสียงกรีดร้อง ก็บังเกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น ตามมาด้วยเสียงสะอื้น


    ดีเรธขอให้ผู้หญิงข้างกายกับผู้ชายบางคนช่วยไปดูแหล่งต้นเสียงว่าเกิดอะไรขึ้น


    ลีอาร์สำรวจแขนของเอลเลียตด้วยท่าทีลนลาน เขาเห็นเสื้อนอกที่ฉีกขาดและแขนที่โดนกระจกบาดลึก สีแดงชาดเริ่มซึมเนื้อผ้าเป็นวง เขาขยับปากจะเอ่ยถาม


    “เจ็บ” เอลเลียตตอบกลับมาราวกับเดาคำถามของเขาออก เขาสบตาลีอาร์ แล้วพยักหน้า “เป็นฝันเสมือนจริง”


    “คนคนนั้นกำลังกินพลังจิตของคนอื่น” ลีอาร์พูดเสียงเบา ความตระหนักรู้สื่อผ่านสีหน้าของเขา เขาหันไปสบตากับอลัน “ผู้คุมการคัดเลือก... ที่พวกเขาให้พวกเราพยายามออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุด ไม่ใช่แค่เพราะเจ้าของฝันเสี่ยง แต่เพราะพวกเราเองก็เสี่ยงด้วย พวกเราเสี่ยงที่จะถูกกินจนพลังจิตหมดไป”


    หลักการของการกินฝันคือ ไม่มีวันได้สิ่งใดมา โดยไม่เสียสิ่งใดไป ทุกรูปแบบพลังจิต ทุกต้นเหตุของพลังเวท ย่อมแลกมาด้วยพลังงานบางอย่าง


    และความฝันนี้ สิ่งที่เดิมพันคือพลังงานชีวิตของพวกเขาเอง


    “ไม่ใช่แค่นั้นครับ” เอลเลียตว่า พลางหันไปมองหลายคนที่ยังคงจับจ้องมาที่เขา “นี่อาจเป็นความฝันระดับกายภาพ”


    ดีเรธหน้าถอดสี เขาส่ายหน้า “ไม่น่าจะเป็นไปได้ แค่เพราะคุณรู้สึกว่ามันเหมือนจริงเกินไป ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นอย่างนั้น”


    เอลเลียตยิ้มเจื่อน “คำเด่นในประโยคของคุณคือคำว่าน่าจะ ผมอยู่ในฝันที่เหมือนจริงเกินไปมาเยอะครับ แผลนี่รู้สึกจริงยิ่งกว่านั้นอีก”


    “ระดับกายภาพหมายความว่ายังไงหรือครับ” ลีอาร์เอ่ยถาม เขาสังเกตว่าคนบางคนก็มีสีหน้าฉงนสงสัยเช่นเดียวกัน


    ดีเรธเอากำปั้นทุบกับหน้าจอที่ตัวเลขวินาทีกับนาทีลดลงไปทุกขณะ “พวกเราไม่มีเวลามานั่งอธิบายเด็กหน้าใหม่หรอกนะ!”


    “โอเคครับ โอเค…” ลีอาร์ยกมือปราม


    “พวกเรามีเวลาอีกสิบกว่าชั่วโมง” เอลเลียตว่า


    “ถ้าพลังจิตของพวกเรากำลังถูกกินอยู่ พวกเราอาจอยู่ได้ไม่ถึงสิบชั่วโมง สิบชั่วโมงก็เป็นแค่เวลาก่อนที่เครื่องบินจะลงจอด!” ดีเรธตะคอก


    “นั่นล่ะครับ” เอลเลียตมองดีเรธด้วยสายตานิ่งลง “มันแปลว่าเครื่องบินน่าจะยังเป็นภาพสะท้อนของจิต ลอยปลอดภัยดีอยู่บนฟ้าในโลกจริง และคงจะมีผู้คุมสอบคอยดูแล แต่ข้อสันนิษฐานของผมคือตัวพวกเราตอนนี้ไม่ใช่แค่จิต แต่คือตัวตนจริง นั่นคือฝันระดับกายภาพ การกลืนกินเข้าไปทั้งร่างเนื้อ” เขาหันไปอธิบายกับลีอาร์ “โจทย์ยังคงเดิม – จะออกไปได้ยังไง”


    “ข้อสันนิษฐานไร้สาระน่ะสิ” ดีเรธแย้ง “ถ้าเป็นแบบนั้นเจ้าของฝันต้องใช้พลังจิตหนักยิ่งกว่าดึงจิตพวกเราเข้ามาอยู่ในจิตใต้สำนึกของตัวเอง เป็นพลังมหาศาลเกินกว่าคนที่ไม่ใช่มืออาชีพทั่วไปจะทำได้!”


    “หรือจะมาสู้กับผม แล้วดูว่าเวลาคุณบาดเจ็บแล้วเหมือนฝันระดับกายภาพรึเปล่า” เอลเลียตยักคิ้ว กระดกมือเข้าหาตัวเองเป็นเชิงเรียก


    “นั่นหมายความว่า หากเลือกเชื่อทฤษฎีนี้ของคุณเอลเลียต” อลันรีบแทรกขึ้น “คนที่ถูกทำร้าย—ที่พวกเราได้ยินก่อนหน้านี้—มีสิทธิ์บาดเจ็บจริง ฉะนั้น พวกเราไม่ควรเสี่ยงทำร้ายใคร”


    หลาย ๆ คนเริ่มหันไปคุยกันเอง


    “หรืออาจมีคนคิดจะรุมสู้กันมากกว่าเดิม” เอลเลียตว่า มิใช่ด้วยเสียงที่ดังพอจะให้ได้ยินกันทั้งกลุ่มอีกแล้ว “พวกเราตัดออกไปสองตัวเลือกแล้ว ทีนี้การ ‘สร้างความเครียดเพื่อทำลายฝันนี้’ เป็นทางเลือกที่แวบแรกแล้วชัดเจนที่สุด ถึงแม้ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่เจ้าของฝันจะอยู่ที่นี่ในระดับกายภาพแบบคนอื่น แต่ต่อให้เผลอฆ่าภาพสะท้อนของเจ้าของฝันแล้วทำให้เขาหลับลึกไป ก็ยังทำลายฝันได้ และในมุมมองของหลาย ๆ คน... คงดูง่ายกว่าการหาเจ้าของฝันในจำนวนคนห้าร้อยคนภายในเวลาน้อยกว่าสิบเอ็ดชั่วโมง” เขามองตาดีเรธ ยิ้มบาง แล้วส่ายหน้า “ผมไม่คิดว่าการรวมตัวแทนของแต่ละกลุ่มจะได้ผล ทุกคนกำลังแตกตื่น อยากหาทางออกจากที่นี่ให้เร็วที่สุดโดยกำจัดพวกคู่แข่งไปด้วย”


    “แต่... การฆ่ากันเป็นการลดพลังงานที่ไหลเวียนอยู่ในนี้” ลีอาร์ขมวดคิ้ว “ทำให้เจ้าของฝันมีอะไรกินน้อยลง แล้วพวกคนที่ยังค้างอยู่ในฝันนั้นจะถูกกินเร็วขึ้นกว่าเดิม”


    “ผมถึงบอกว่า ‘เผลอฆ่า’... การเพิ่มความเครียดของฝันจริง ๆ ไม่จำเป็นต้องฆ่ากัน แค่ทำร้ายให้สลบหรือเจียนตายก็พอแล้ว”


    จบบทที่ 3



    เคยทำ poll นี้เอาไว้ด้วยล่ะค่ะ เห็นมีคนเริ่มไปโหวตแล้ว 55 อยากรู้ว่าทุกคนคิดยังไงเหมือนกันค่ะ ไปโหวตกันได้นะคะ
    นิยายเรื่อง "The Dream Devourers : #นักกินฝัน" เหมาะกับหมวดอะไร
    Facebook page : Daiong's writings
    Beta-readers : Blue Cat & https://my.dek-d.com/tasenda/writer/

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in