ลีอาร์สายแล้ว เขาวิ่งไปตามทางเลื่อนของสนามบิน มือกระชับสายกระเป๋าเป้ พูดขอโทษคนบนทางเลื่อนเมื่อจำต้องเดินแทรกบางคนที่ไม่ได้ยืนชิดขวาตามกฎ แต่แล้วเมื่อเห็นป้ายประตูหมายเลข 25 เขาก็เริ่มใจเย็นลง เขาเร่งรุดไปออยืนต่อแถวร่วมกับคนอื่น ๆ ที่กำลังให้พนักงานตรวจพาสปอร์ต
“โปรดทราบ ประกาศเรียกครั้งสุดท้ายของสายการบินองค์กรผู้วิเศษ เที่ยวบินที่ MNI 156 ที่กำลังจะเดินทางไปเกาะมารดร ขอเชิญท่านผู้โดยสารขึ้นเครื่องได้ที่ประตูทางออกหมายเลข 25…”
ลีอาร์หอบ ผงกหัวขอบคุณพนักงานที่ตรวจตั๋วกับพาสปอร์ตเขา แล้วไปตามทางเดินเข้าเครื่องบิน เนื่องจากเขาไม่ได้ที่นั่งที่ติดกับทางเดิน จึงต้องขออนุญาตแทรกชายคนหนึ่งเพื่อเข้าไป—
ในทีแรก ลีอาร์ชะงักราวกับโดนสะกดจากคนผู้นั้น อาจเพราะการแต่งกายสีฉูดฉาดสะดุดตา ด้วยแนวแฟชั่นแดนดี้ของสุภาพบุรุษจอมสำรวยในยุควิคตอเรียน แต่ยิ่งกว่านั้นคือ หน้าตาหล่อเหลาอันเป็นเอกลักษณ์ เขามีสันกรามได้รูป จมูกโด่งสวยงาม ขนตางอนสีอ่อนทำให้นัยน์ตาสีน้ำผึ้งของเขาเด่นชัดขึ้น ปอยผมสีทองสลวยทิ้งตัวลงมาตามกรอบหน้า เรือนผมที่เหลือถักเป็นเปียใหญ่ยาวถึงกลางหลัง ชวนให้นึกถึงเทพเทวดาตามปกรณัมปรัมปรา เมื่อแย้มยิ้มก็ราวกับส่องแสงอบอุ่นให้กับผู้พบเห็น กายสูงสมส่วนลุกขึ้นหลบให้ลีอาร์เข้าไปก่อน
ลีอาร์ผงกหัวขอบคุณ ยกกระเป๋าเก็บไว้ในช่องใส่สัมภาระเหนือที่นั่ง ก่อนจะผินกายผ่านบุรุษตรงหน้าเข้าไปนั่ง เขาอดไม่ได้ที่จะเกร็งไหล่ราวกับได้นั่งข้างดารา บางทีเขาอาจจะเป็นดาราจริง ๆ ก็เป็นได้ ลีอาร์ไม่มีทางรู้แน่ชัด ด้วยไม่ได้ดูโทรทัศน์สักเท่าใดนัก เขาประสานมือเข้าหากันขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง นิ้วก้อยข้างขวาเกลี่ยโคนนิ้วก้อยซ้าย อันมีเนื้อนูนคล้ายวงแหวนที่เขามีมาแต่เกิด ลีอาร์เห็นปีกเครื่องบินอยู่ที่ปลายหางตา
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกเหมือนกำลังถูกจับตามองจากคนข้างกาย
ลีอาร์คลายความเกร็งลงเมื่อเสียงประกาศกฎระเบียบของสายการบินดังขึ้น มีแอร์โฮสเตสกับสจ๊วตเดินมาตรวจดูความเรียบร้อย ความสนใจของลีอาร์หันเหไปสู่การเดินทาง เมื่อหันไปอีกทีเขาก็เห็นว่าชายผมทองเองก็กำลังมองออกไปนอกหน้าต่าง
รู้ตัวอีกที เครื่องบินก็เคลื่อนจากปฐพี เป็นช่วงเวลาที่เขาไม่เสียดายที่นั่งติดหน้าต่าง ทิวทัศน์เบื้องล่างเต็มไปด้วยเฉดสีเทา ฟ้าและเหลือง เนื่องด้วยสนามบินอยู่ในเมืองกรุง จึงดูแตกต่างจากความเขียวขจีที่หมู่บ้านของเขา
“เครื่องบินลำนี้จุคนได้เท่าไร” เสียงชายผิวดำสูงวัยที่นั่งข้างหน้าลีอาร์เอ่ยขึ้น
“525 คนค่ะ” เด็กผู้หญิงที่นั่งข้างกันตอบเสียงสุภาพ ราวกับว่าเธอได้เก็บข้อมูลนี้ไว้ในหัวตั้งแต่ก่อนจะขึ้นมาแล้ว “10 คนที่ชั้นหนึ่ง 76 คนที่ชั้นธุรกิจ และ 439 คนที่ชั้นประหยัด”
“ผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหมดคงจะขึ้นเครื่องบินลำนี้...” ชายผิวดำเคาะปลายนิ้วกับที่เท้าแขน สำเนียงของทั้งคู่ฟังดูเหมือนจะเป็นคนทางตอนเหนือ
“ค่ะ อาจจะมีผู้คุมการคัดเลือกอยู่บนเครื่องบินลำนี้ด้วยก็ได้นะคะ”
ลีอาร์นิ่งคิด จากข้อมูลในอีเมล์ เขาก็ได้รับข้อบังคับให้เดินทางด้วยเที่ยวบินนี้ โดยทางองค์กรผู้วิเศษเป็นผู้รับผิดชอบตั้งแต่ตั๋วเครื่องบินจนถึงที่พัก ณ เกาะมารดร เขาคิดว่าการที่ผู้คุมการคัดเลือกจะมาขึ้นเครื่องนี้เช่นเดียวกันก็มิใช่เรื่องแปลก ลีอาร์มองปีกเครื่องบินที่กำลังเคลื่อนเข้าสู่ชั้นเมฆา ภายนอกหน้าต่างปกคลุมไปด้วยสีขาว เท้าคางมองเมฆหมอกด้านนอกที่ดูอัดแน่นขึ้น รอเวลาที่จะเห็นฟ้ากระจ่างเมื่อเครื่องบินโผล่พ้นหมู่เมฆ
ผ่านไปสักพัก หน้าต่างยังคงถูกปกปิดมิดชิดไปด้วยหมอกเมฆ ไม่ให้เห็นแม้แต่ปีกเครื่องบิน
ลีอาร์ละสายตาแล้วโน้มกายไปมองหน้าต่างฝั่งตรงข้าม อันมีสีขาวสนิทไม่แพ้กับฝั่งเขา เครื่องบินลำนี้บินอย่างนุ่มนวลปราศจากหลุมอากาศ เขาสังเกตว่าสายตาของชายผมเปียก็กวาดสำรวจไปทั่วเช่นเดียวกัน
“เริ่มแล้วสิครับ” ชายข้างกายเอ่ยขึ้น
“ครับ?” ลีอาร์เอ่ยทวน
ชายผมทองหันมายิ้มด้วยรอยยิ้มเฉกเดิม ในครั้งนี้ลีอาร์ตระหนักแล้วว่าอะไรที่สะดุดตาเขานักเกี่ยวกับรอยยิ้มของคนผู้นี้ มันเป็นรอยยิ้มที่ผ่านการตระเตรียมมาอย่างดี เขาไม่ยิ้มมากจนเกินงาม แต่ไม่น้อยจนเกินไป ดวงตามีแววพินิจพิเคราะห์คนที่เขากำลังมองอยู่ แต่หาได้ยิ้มไปพร้อมกับริมฝีปาก อันขยับเป็นถ้อยคำโดยไม่ออกเสียงว่า ‘การคัดเลือก’
ลีอาร์เบิกตากว้างขึ้น
พลันเสียงประกาศดังขึ้นภายในเครื่อง เป็นเสียงของสตรี ‘สวัสดีค่ะ ท่านผู้ผ่านเข้ารอบการคัดเลือกนักกินฝันทุกท่าน ยินดีต้อนรับเข้าสู่ก้าวแรกสำหรับการเป็นผู้วิเศษมืออาชีพของท่าน ขณะนี้ เราได้ทำการปล่อยบททดสอบแรกออกไปแล้วค่ะ
‘ขอให้พวกท่านหาทางออกจากความฝันปัจจุบัน และถ้าจะให้ดีก็อยากให้หาคำตอบด้วยว่า พวกท่านกำลังอยู่ในความฝันของใคร—ใครคนหนึ่งคนเดียว—ให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะมีความเสียหายมากเกินความจำเป็น พวกท่านมีเวลาสิบเอ็ดชั่วโมงก่อนที่เครื่องบินของจริงจะบินถึงเกาะมารดร ที่หน้าจอหน้าที่นั่งของท่าน ได้ฉายเวลานับย้อนหลังให้แล้ว ขอให้โชคดีค่ะ’
ไม่ทันทีเธอจะได้พูดจบดี เสียงคลิกของการปลดเข็มขัดที่นั่งก็ดังจากทั่วทุกสารทิศ บางคนลุกขึ้น เสียงคุยเซ็งแซ่ดังไปทั่วเครื่องบิน แม้จะไม่ใช่ทุกคนที่เริ่มพูด แต่คลื่นความตื่นตระหนกก็แผ่กระจายออกมาจากหลายต่อหลายคน หน้าจอหน้าที่นั่งทุกที่มีตัวเลขปรากฏขึ้น นับถอยหลังจากสิบเอ็ดชั่วโมง
_
คุณลุงที่นั่งข้างหน้าลีอาร์ปลดเข็มขัดของตน เลื่อนมือไปจับเบาะด้านหลังแล้วหยัดกายโผล่หัวไปมองชายผมดำกับชายผมทอง
“ผมได้ยินคุณพูด” คุณลุงเริ่ม เขามีร่างกำยำ ผิวดำตัดกับสีผมและเคราขาวแซมเทาประปราย เส้นผมตัดเตียน ดูเป็นระเบียบ เฉกเดียวกับการแต่งตัวเป็นทางการด้วยเชิ้ตขาวและสูทสีดำ เขาชี้ไปที่บุรุษผมทอง “ที่ว่า ‘เริ่มแล้วสิครับ’ ในตอนนั้น คุณรู้อยู่แล้วสินะครับว่าพวกเรากำลังอยู่ในความฝัน”
“เอลเลียตครับ ยินดีที่ได้รู้จัก” คนโดนถามยิ้มอย่างสบายอารมณ์
“ลีอาร์ครับ” อีกคนแนะนำตัว
“ผมอลันครับ” ชายผิวดำตอบรับ เพิกเฉยวิธีที่เอลเลียตเบี่ยงคำถาม แล้วหันไปพินิจลีอาร์ผู้มีนัยน์ตาสีมืดทมิฬไร้แสงสะท้อนจนชวนขนลุก นอกจากนั้น ชายหนุ่มก็ดูจะมีอากัปกิริยาที่แสดงอารมณ์ความรู้สึกเบาบาง “ตาของคุณเป็นแบบนั้นเสมอเลยหรือครับ”
ลีอาร์กะพริบตาปริบ “หมายถึง...”
“สีดำ” เอลเลียตว่า
“ดำจนผิดปกติ” อลันเสริม “เหมือนกับ—” คนตาย เขาได้แต่ต่อความอยู่ในใจ “คือผมไม่แน่ใจว่า ‘เจ้าของฝัน’ จะมีลักษณะที่ต่างจากคนทั่วไปรึเปล่า”
“ผมเป็นแบบนี้ตั้งแต่เกิดน่ะครับ—” ลีอาร์ตอบ
“—เขาเป็นแบบนี้ตั้งแต่เขาขึ้นเครื่องมา” เอลเลียตตอบพร้อมกัน เขาเว้นช่วงไปอึดใจ “ผมนึกภาพว่าพวกเราน่าจะโดนแก๊สยาสลบกันบนเครื่องบิน และเพิ่งเริ่มหลับกันไปเมื่อไม่นานมานี้” แม้ว่าชาวเมโดว์แบงค์จะมีลักษณะหน้าตาที่เหมือนกับมนุษย์ปกติเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็ไม่แปลกเท่าไรที่หลายคนจะมีลักษณะภายนอกบางอย่างที่ดูผิดธรรมชาติ เขาจึงพยายามไม่ให้อลันยึดติดกับข้อสงสัยเรื่องนี้นัก
“เฮ้ พวกคุณ!” เสียงหนึ่งดังขึ้น เจาะจงมาที่พวกเขาสามคน หนุ่มหัวเกรียนคนหนึ่งกวักมือให้พวกเขาหันมาสนใจกลุ่มคนที่เกาะกลุ่มเป็นวงกว้างตรงกลาง “มาคุยด้วยกันไหม ดูเหมือนว่าคนทั้งลำกำลังแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ ๆ เพื่อหารือการหาทางออกจากที่นี่น่ะ”
อลัน เอลเลียต และลีอาร์สบตากันชั่วครู่ ก่อนที่อลันจะเป็นคนตอบก่อนว่า “ได้เลยครับ คุยเลย พวกเราฟังอยู่” เขาผินกายเข้าหา โดยที่เอลเลียตกับอลันทำแบบเดียวกัน เด็กหญิงตัวเล็กที่นั่งข้าง ๆ อลันเงยมองทุกคนด้วยดวงตาคมเฉียงสีน้ำตาลดำ เธอมีผมสั้นสีดำขลับและไว้ผมม้าตัดตรง สวมชุดกระโปรงหลวมโพรกสีซีด
เมื่อกลุ่มนั้นพบว่าได้ดึงความสนใจจากพวกเขาแล้ว ชายหัวเกรียนก็ขยับขึ้นคุกเข่าบนที่นั่งและยืดกายให้ทุกคนเห็นเขาง่าย ๆ แล้วว่า “หวัดดี ผมชื่อเดฟ หรือ ‘ดีเรธ’ อย่างที่ใครหลายคนเรียก ผมได้รวมกลุ่มกับหลายคนที่นี่ที่เคยคุยกันในเว็บบอร์ด ตอนนี้พวกเรากระจายคนออกไปเพื่อสื่อสารกับคนที่อยู่ส่วนอื่น ๆ ของเครื่องบิน แนะนำให้พวกเขาจับกลุ่มย่อม ๆ เพื่อหารือความเป็นไปได้ที่จะหาทางออก ความเสี่ยงต่าง ๆ ในฝันนี้ และคาดการณ์ว่าใครบ้างที่อาจเป็นเจ้าของฝัน ก่อนจะให้แต่ละกลุ่มส่งตัวแทนมาคุยกันอีกทีว่าได้อะไรมาบ้าง ด้วยวิธีนั้นพวกเราจะได้สื่อสารกันง่ายขึ้นในเครื่องบินลำใหญ่
“จากคำพูดของผู้คุมสอบแล้ว มีเพียงแค่คนคนเดียวที่เป็นเจ้าของฝัน ดูจากรูปการณ์แล้ว ผมว่าจิตใต้สำนึกของคนคนนั้นเขมือบพวกเรา—และเครื่องบินทั้งลำ—ให้เป็นภาพสะท้อนในฝันตัวเอง หรือก็คือ ตอนนี้พวกเรากำลังหลับอุตุอยู่ในเครื่องบิน แต่อยู่ในความฝันเดียวกัน นั่นเป็นการใช้พลังจิตอันมหาศาลในคราวเดียว… ถึงแม้ว่าผู้คุมสอบจะไม่ได้บอกตัวเลือกกับพวกเรา แต่ผมคิดว่าหลายคนคงทราบใช่ไหมครับว่าวิธีออกจากฝันมีอะไรบ้าง”
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in