เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
My StoriesJirattipat Tengamnuay
ตะลุยเนปาล(ตอน7)...Bhaktapur เรามาถึงแล้ว!!
  • 26 ธันวาคม 2559

    ตื่นแต่เช้าประมาณ 7 โมงเศษ เช็คข้าวของและลงไปทานข้าวเช้า ซึ่งเมนูก็เหมือนๆ เดิมกับวันก่อนๆ 

     
    นัดคนที่ขับรถมารับพวกเราประมาณ 8 โมงเศษ แต่ก่อนไปเมืองภัคตะปูร์ (Bhaktapur) (หาใน Google ชื่อภาษาไทยจะมี "บักตะปูร์" และ "ปักตะปูร์") พวกเราจะแวะที่ "Changu Narayan" กันก่อน เพราะสอบถามแล้วน่าจะเป็นสถานที่ระหว่างทางก่อนถึง Bhaktapur (รึเปล่า?) ซึ่งดีมาก เพราะว่าไหนๆ มาเนปาลแล้ว สถานที่ที่ถูกแนะนำก็อยากไปถึงให้มากที่สุด

    ส่วนคนขับรถ ตอนแรกพี่เขาขอคนเดิมที่พาเราไป "Swayambhunath" เมื่อ 2 วันก่อน แต่พอมาวันนี้เป็นอีกคน พี่เขาก็บอกคงเพราะเราไม่ได้ให้ทิปเขา ก็อาจจะเป็นไปได้ก็ได้ หรือไม่ก็เพราะแค่ขับรถไปส่งเรา ไม่ได้ไปเที่ยวหลายๆ ที่แบบที่เขาเคยไปจะได้ตามมาอธิบายหรือเที่ยวไปกับเราได้ทั้งวันเหมือนเมื่อ 2 วันก่อน

    ประมาณ 8 โมง 20 นาที (เวลาในรูป) ก็ถึงเวลาออกเดินทาง ผู้จัดการโรงแรมและพนักงานก็เดินออกมาส่งพวกเราที่รถ และคุยกับพี่ เราก็แค่ถ่ายภาพเป็นที่ระลึกอย่างเดียวเพราะพูดภาษาอังกฤษไม่เก่ง


    เดินทางเกือบ 1 ชม.ก็ถึง "Changu Narayan" ก็ซื้อบัตรเข้าชมคนละ 300 รูปีเนปาลและเดินไปกับพี่ 2 คน ซึ่งต้องเดินขึ้นบันไดไปอีก 


    ระหว่างทางที่เดินขึ้นก็มีร้านขายสินค้ามากมาย หลายๆ ร้านเป็นของพื้นเมือง ขายของที่สื่อเอกลักษณ์ของชนชาติและศาสนา 


    บางร้านอย่างพวกงานวาดหรืองานแกะสลักก็จะเห็นคนของร้านนั้นๆ นั่งวาดหรือแกะสลักอยู่ภายในร้านด้วย ดูเป็นงานผีมือจริงๆ แบบคนทำเก่งมากๆ และงานออกมาก็ดีและน่าสนใจ แต่ได้แค่ดูและถ่ายภาพเท่านั้น ไม่มีเงินซื้ออ่ะนะ


    เดินขึ้นมาไม่ถึง 10 นาทีก็ถึงตัว "Changu Narayan Temple" มีนักท่องเที่ยวอยู่บ้างเพราะยังเช้าอยู่


    ไม่แน่ใจว่าซากปรักหักพังที่พบโดยรอบเกิดจากความเสียหายจากแผ่นดินไหวหรือเปล่า แต่ก็มีเศษอิฐหรือไม้ค้ำยันตัวอาคารเยอะเหมือนกัน แต่ความสวยงามด้านสถาปัตยกรรมก็ยังคงอยู่

    ความจริง "Changu Narayan Temple" มีพื้นที่ไม่ได้กว้างมาก ดังนั้นสิ่งที่ทำคือการเดินถ่ายภาพไปรอบๆ เรื่อยๆ ในหลายๆ มุม เก็บภาพเป็นความทรงจำ


    เดินถ่ายภาพไปก็ปวดฉี่ จะให้อั้นไปจนถึงเมืองภัคตะปูร์นี่ก็ไม่รู้อีกนานแค่ไหน เลยตามหาห้องน้ำที่นี่ จำไม่ได้ถามใคร (หรือหาเจอเอง) แต่ก็จะมีทางลงไปด้านข้างด้านหนึ่ง พอโผล่ไปในห้องน้ำ คือไม่ได้ว่าอะไรเขานะ คนทำความสะอาดอาจไม่มี หรือไม่ค่อยมีคนเข้า แต่เปิดดูทุกห้องคือสกปรกรกเลอะเทอะเข้าไม่ได้สักห้อง 


    แต่คือปวดฉี่มากแล้วจะให้ทำไง คือให้รอไปถึงภัคตะปูร์ไม่ได้แน่ๆ ก็ออกจากห้องน้ำมายืนลังเลว่าทำไงดี แล้วก็กลับเข้าไปใหม่ ยืนในห้องน้ำและเจอเหมือนเป็นช่องๆ คิดไปเองว่าที่ฉี่ของผู้ชายหรือเปล่า ก็เอาตรงนี้แหละ และจำได้ว่าไม่ได้ปิดประตูของห้องน้ำด้วย ไม่แน่ใจว่าตอนนั้นคือมันปิดไม่ได้ หรือไม่กล้าปิด เพราะปิดไปคือมืดและก็อยู่คนเดียวในห้องน้ำ คือกลัวผีด้วยมั้งหรือกลัวจิตตกกว่านี้ เพราะสิ่งหนึ่งที่จำได้คือระหว่างทำธุระภาวนาอย่าให้มีคนเดินผ่านมา คือตอนทำธุระไปก็มองช่องประตูที่เปิดไปด้วย แต่เพราะนักท่องเที่ยวยังไม่เยอะ และมันเป็นทางลงด้านข้างที่ดูมีซากหักพังและสกปรก ก็เลยไม่มีใครผ่านลงมาช่วงนั้น


    พอทำธุระแล้ว ถามว่ามีน้ำไหม คือไม่มี แล้วก็อ้วกแตก ทีนี้คือเลอะ ทำไงดีคือไม่ได้พกน้ำขวดใส่กระเป๋ามาด้วย หันไป โชคดีคือเจอขวดน้ำใครไม่รู้วางอยู่ ไม่งั้นซวยแน่ คือมันเลอะมือและปลายเสื้อกันหนาว เลยได้น้ำเอามาล้างๆ อ้วกเท่าที่ล้างได้แล้วเผ่นขึ้นมาด้านบนตัววัด คือพูดถึงเรื่องห้องน้ำเยอะ และไม่ควรไปพูดแบบนี้ในเรื่องอาจที่ไม่โอเคเกี่ยวกับสถานที่เขา แต่คือเคยเข้าห้องน้ำสกปรกมาหลายครั้ง ที่เมืองไทยก็มี แบบพวกสาธารณะบางแห่ง แต่เพิ่งเคยเจอแบบนี้ครั้งแรกเฉยๆ แบบเข้าไม่ได้เลยสักห้อง น้ำก็ไม่มี

    ขึ้นมาด้านบน พี่ก็ถามไปไหนมา ก็ตอบไปห้องน้ำและคือสกปรกมาก ไม่ต้องลงไป จากนั้นก็มายืนถ่ายภาพกันต่อ ก็ตามมุมเดิมๆ แต่ก็โพสต์ท่าเอา ทั้งใกล้ทั้งไกลเอาให้พอใจ จน 10 โมงเช้าก็เดินลงจากตัววัดกัน ก็ถ่ายภาพไล่ลงมาจนถึงด้านล่างที่รถจอดรออยู่


    ออกเดินทางกันต่อ สถานที่ต่อไปคือภัคตะปูร์ ระหว่างทางคือไม่แน่ใจช่วงเด็กไปโรงเรียนหรือเปล่า แต่เห็นเด็กนักเรียนเยอะมากระหว่างทาง


    ระหว่างนั่งรถก็ถ่ายภาพข้างทางไปเหมือนดูชีวิตประจำวันของคนที่เราผ่านไปพบเจอเรื่อยๆ คนขับก็มีจอดรถถามทางบ้าง


    จน 10 โมงกว่าเราก็มาถึงภัคตะปูร์ ซึ่งต้องจ่าย 15 ดอลล่าร์สหรัฐก่อนเข้าเมือง 
    (ตอนหาที่พักในภัคตะปูร์ ที่พักที่เราสนใจก็ไปอ่านรีวิว ก็เจอว่าต้องจ่าย 15 ดอลล่าร์สหรัฐ เราก็็ไ่ม่แน่ใจ เพราะ 15 ดอลล่าร์สหรัฐนี่ไม่ใช่เงินน้อยๆ นะ และพี่ที่มาด้วยสนใจพักอีกที่แล้วตอนนั้นไม่รู้ว่าเขาต้องจ่ายไหม แต่ลองหาข้อมูลก็เจอว่าเข้าเมืองไม่ว่าพักที่ไหนจ่าย 15 ดอลล่าร์สหรัฐเหมือนกันหมด)


    รถจะจอดที่ป้อมก่อนเข้าเมือง มีการเอาเล่มพาสปอร์ตไปตรวจดูด้วยมั้ง พอจัดการทุกอย่างเรียบร้อยก็เข้าเมืองภัคตะปูร์กัน ก็จะเป็นเมืองที่มีสถาปัตยกรรมแบบเก่าทั้งเมืองเลย โทนสีก็ออกแนวสีเหลือง, สีส้มและสีน้ำตาล สวย น่าสนใจดี

    ที่พักในภัคตะปูร์ เรากับพี่จะพักแยกโรงแรมกัน เพราะพี่เขาสนใจโรงแรมหนึ่ง แต่เราดูราคาแล้วไม่แน่ใจ อยากได้ที่ถูกกว่า แต่ตอนที่จอง เราก็ไม่ทราบว่า 2 โรงแรมนี้ห่างกันแค่ไหน แต่ตอนเข้าเมืองมา โรงแรมของพี่เขาจะถึงก่อนของเรา ที่พักพี่เขาชื่อ "Peacock Guest House"


    หลังส่งพี่เข้าที่พัก คนขับก็พยายามแกะรอยจากใบจองที่เราปริ้นออกมา เราก็ถ่ายภาพรอบๆ รถ สุดท้ายคนขับอาจไม่ทราบว่าอยู่ตรงไหน เลยตัดสินใจเข้าไปถามในโรงแรมที่พี่เราเข้าพัก


    พอถามแล้ว เราก็เดินทางต่อ แต่คือยิ่งรถขับไปเรื่อยๆ รู้สึกที่พักของเรา 2 คนจะไกลกันไปนิดหนึ่งนะ ซึ่งรู้สึกไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่เวลาเดินมาหากัน เพราะตอนพี่เขาลงรถไป ก็กำชับเราให้มาหาเขาด้วยหลังเก็บของเข้าที่พักแล้ว แต่ระหว่างที่นั่งรถ เราก็ถ่ายภาพสิ่งที่เราสนใจข้างทางไปเรื่อยๆ จนมาถึงแถวที่พักของเรา


    พอรถจอดก็เจอซากปรักหักพังของโบราณสถานที่สวยงาม (ก่อนที่จะพังลงมา) คือเห็นสิ่งที่เหลืออยู่แต่พอดูออกว่าแต่ก่อนน่าจะสวยแค่ไหน ที่พักเราจองไว้ใกล้ "Bhaktapur Durbar Square" แต่เป็นห้องถูก อยู่คนเดียว ห้องน้ำรวม คืนละ 10 ดอลล่าร์สหรัฐ (หรือไม่ก็ 9 ดอลล่าร์สหรัฐ) คือหาอย่างถูกสุดแต่อยู่ได้

    ความจริงตลอดทาง เราคิดว่าคนขับไม่ชอบหน้าเรารึเปล่า คือแทนที่จะพักด้วยกัน พักแยกแถมไกลจากกันด้วย ทำให้เขาต้องขับรถต่อไปอีก แต่ตอนลงรถ คนขับก็ช่วยลากกระเป๋าให้เราไปส่งถึงที่พัก คือตอนแรกคิดว่ายกกระเป๋าเราลงแล้วจะจากไปเลย คือขอบคุณเขามาก ก็ลากไปไกลพอสมควรก่อนถึงที่พัก เราก็ถ่ายภาพสิ่งที่พบเจอระหว่างทางตามเขาไป มีบางช่วงที่มีคนงานกำลังซ่อมแซมสิ่งก่อสร้างที่พังลงมากลางแดดร้อนเปรี้ยง


    ห้องที่เราจองไว้คิดเป็นเงินไทย 320 บาท แต่ตอนนั้นโง่คือเคยจองผ่าน Agoda จะหักเงินจากบัญชี แต่นี่มาจองผ่าน Booking เราก็คิดว่าหักจากบัญชี แต่ไม่ใช่คือต้องจ่ายที่ที่พัก ได้ห้องชั้น 2 ก็มีพนักงานยกกระเป๋าขึ้นไปให้ ที่พักของเราชื่อ "Shiva Guest House" คือจากในรูปตามเว็บจอง ถ้าชั้นสูงๆ (แพงกว่า และพัก 2 คนขึ้นไป) จะได้วิวสวยคือมองลงมาเห็นโบราณสถานจากมุมบน แต่เราเน้นถูก อยู่ได้ ถ้าอยากชื่นชมก็ไปเดินดูเอา

    ตอนเข้าไปในห้อง ม่านมันปิดไว้อยู่ เราเลยจะเปิดม่านออก อยากเห็นวิว แต่ราวมันตกมาทั้งอันซะงั้น แต่ห้องพักโอเคเลย คือเรานอนคนเดียว ที่เห็นคืออยู่ได้ สบายมาก น่าอยู่ดี ส่วนตัวคือชอบ

    ส่วนห้องน้ำรวม ตอนแรกกังวลว่าจะแย่งกันใช้ไหม แต่ก็ใช้กันแต่ละชั้นแหละ ชั้นเราน่ามี 5 ห้อง และห้องละ 1 คนด้วย ดังนั้นสบายเลยจ้า เพราะตอนอยู่ที่พักเข้าห้องน้ำหรืออาบน้ำ ออกจากห้องมา ส่องๆ ดู ว่างตลอด เข้าไปได้เลย คืออาบให้พอใจ ไม่ต้องกังวลมีคนมากดดัน เพราะ 5 ห้องไม่รู้อยู่กันกี่ห้อง และไปเที่ยวก็คงไม่ได้กลับมาใช้ห้องน้ำพร้อมกันก็ได้


    พอเก็บของเสร็จ เราก็ออกเดินทางไปหาพี่เขาที่โรงแรมที่เขาพัก แต่ระหว่างเดินไปก็ถ่ายภาพตามทางไปเรื่อยๆ คืออย่าได้เสียเวลา เดินหาโรงแรมพี่เขาไป เราก็เดินชมเมืองไปเรื่อยๆ ความจริงก็จำไมไ่ด้หรอกว่าโรงแรมพี่เขาไปทางไหน ก็เอารูปที่ถ่ายหน้าโรงแรมพี่เขา ถามคนระหว่างทาง



    เมืองภัคตะปูร์เป็นเมืองที่สวยงาม คือเป็นเมืองที่มีสิ่งก่อสร้างแบบเก่าทั้งเมือง มองอะไรก็น่าสนใจ และเป็นเมืองที่เราเพิ่งเคยมาครั้งแรกและไม่รู้จะได้มาอีกไหมชีวิตนี้ พวกร้านค้าหรือผู้คนจึงเป็นสิ่งน่าสนใจสำหรับเราทั้งหมด



    สุดท้ายก็มาถึงโรงแรมที่พักของพี่เขา เดินมาถึงพี่เขาก็นั่งรอด้านหน้าโรงแรมแล้ว ถ่ายรูปหน้าโรงแรมกันสักหน่อย ก่อนเดินเข้าไปสำรวจโรงแรมด้านใน ก็มีส่วนนั่งทานขนม, ส่วน Show Room, ส่วนห้องพัก ภาพรวมคือสวย


    ดูชั้น 1 ก็ขึ้นไปชั้น 2 ตอนแรกคิดว่าพี่เขาพักห้องที่เคยส่งรูปให้เราดู ที่เป็นห้องใหญ่ เห็นวิวเมืองสวยๆ ห้องละ 1,600 บาทแต่ไม่ใช่ เป็นห้องเล็กที่ทึบๆ มืดๆ คือตอนที่พี่เขาส่งรูปมาเป็นห้องใหญ่ เราไม่แน่ใจว่าพี่เขาอยากอยู่คนเดียวหรือเปล่า หรือจะหาร เราก็มองห้องเล็กที่โรงแรมนี้เหมือนกันจะได้อยู่ที่เดียวกัน ราคาในเว็บคือคืนละ 800 บาท (มั้ง) แต่ดูแล้วทั้งทึบทั้งมืด เราไปเอาห้องราคา 300 กว่าบาทดีกว่าแต่ห้องพี่เขาก็ห้องน้ำในตัวและห้องใหญ่กว่านั่นแหละ


    หลังสำรวจที่พักพี่เขาจนพอใจแล้วเราก็ออกไปเดินเล่นสำรวจเมืองกัน เพราะมีหลายๆ ที่ตามรีวิว ถ้าเรามาเมืองนี้แล้วต้องได้ไปถ่ายภาพให้ได้ ก็เริ่มจากแถวหน้าที่พักพี่เขาก่อนเลย


    ตลอดทางที่เราเดินจะมีร้านขายของมากมาย บางร้านก็มีคนนั่งทำงานฝีมืออย่างวาดภาพให้เห็น งานดี ฝีมือเยี่ยมเป็นมืออาชีพ


    เดินกันมาเรื่อยๆ ก็เจอสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมขนาดใหญ่ 2 หลัง ไม่ทราบชื่อ (ขี้เกียจหาข้อมูล T.T) ไม่แน่ใจว่าใช้ประกอบพิธีทางศาสนาอะไรหรือเปล่า แต่สภาพดี ไม่ได้ถล่มลงมาเหมือนสิ่งก่อสร้างสำคัญอื่นๆ ก็ถ่ายภาพกัน


    พอออกจากจุดนี้ เราก็เดินกันต่อไปที่ "Pottery Square" คืออ่านตามรีวิว มาภัคตะปูร์ก็ต้องมาถ่ายภาพที่ตรงนี้ด้วย สถานที่ขึ้นชื่อแห่งหนึ่งของเมืองภัคตะปูร์



    ออกจาก "Pottery Square" จุดหมายของเราต่อไปอยู่แถวที่พักของเราเองคือ "Bhaktapur Durbar Square" ตอนที่เดินเข้าไปแรกๆ จะเจอสิ่งก่อสร้างที่พังถล่มหักพังลงมาเยอะเหมือนกัน


    พอเดินผ่านสิ่งก่อสร้างที่หักพังลงมา ที่พักของเราก็อยู่ไม่ไกล เลยแวะเข้าไปพักที่โรงแรมเราก่อน แวะทานข้าวกลางวันด้วย

    ตอนเจอกันที่โรงแรมหรือระหว่างทางสักที่ พี่เขาก็บอกเรื่องรถไปสนามบินพรุ่งนี้ เขาถามที่โรงแรมเขา ปรากฏราคาแพงเลยมาถามที่โรงแรมเรา ได้ราคาเท่าไหร่จำไม่ได้ แต่ก็โอเคอ่ะถูกกว่า พี่เขาก็เขียนชื่อโรงแรม + เวลาให้ไปรับไว้กับคนรับเงิน


    ตอนนั่งที่โต๊ะทานข้าว เราก็ขึ้นไปเอาโน๊ตบุ๊คลงมาด้วย คือมาเช็คหน่อยว่า Booking ให้มาจ่ายที่ที่พักจริงเหรอ นึกว่าหักบัญชีธนาคาร ปรากฏว่าจริงเพราะมันเขียนระบุไว้อยู่ คือเราก็ไม่ได้เตรียมเงินเผื่อมาจ่ายค่าที่พักที่ไหนทั้งนั้น แต่ยังดีที่ของเราราคาไม่ได้แพงจนน่าหนักใจ แต่ตอนนั่งที่โต๊ะก็ได้ยินเสียงคนพูดภาษาไทยมาจากโต๊ะไม่ไกลจากเรา มาเป็นแก๊ง เพิ่งมาเจอคนไทยแบบชัดๆ ที่นี่มั้ง

    ทานข้าวเสร็จก็ออกเดินสำรวจเมืองกันต่อ สำรวจแถวๆ ที่พักเรานี่แหละ อยู่ตรง "Bhaktapur Durbar Square" แต่โบราณสถานตรงนี้ก็พังลงมาเยอะเหมือนกัน ถ้าไม่พังก็มีไม้ค้ำยันไว้


    ถ้าเดินไปทางด้านข้างจะเจอประตูซุ้มสีทองอันหนึ่ง เดินเข้าไปจะเจอะสระเล็กๆ และมีรูปปั้นแกะสลักงูด้วย แต่ถามว่าชื่อสถานที่นี้คืออะไร ก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่รอบสระเล็กๆ จะมีเป็นชั้นๆ คือให้เดินลงไปได้


    ออกมาด้านนอกก็ยังวนเวียนอยู่ใน "Bhaktapur Durbar Square" ด้านหนึ่งจะมีส่วนของ "national art museum" ประตูเปิดแง้มไว้นิดนึง แต่สิ่งที่น่าสนใจจริงๆ น่าจะเป็นรูปแกะสลักที่อยู่ด้านหน้ามากกว่า


    ออกจาก "Bhaktapur Durbar Square" เราก็เตร็ดเตร่เดินสำรวจเมืองกันต่อ เพราะวันนี้เป็นวันเดียวที่เราจะได้สำรวจเมือง พรุ่งนี้เราจะเดินทางกลับเมืองไทยกันแล้ว แต่เราชอบเมืองนี้นะ เวลาเดินไป นึกถึงตัวเองเดินวิ่งไปรอบๆ เมืองนี้ ดูน่าสนใจ ดูสนุก เป็นอิสระดี ชอบความเก่าแก่และความสวยงามของที่นี่


    ตอนเดินผ่านร้านขายผ้าข้างทางร้านหนึ่ง พี่เขาก็แวะดูผ้า ซึ่งความจริงร้านขายผ้ามีเยอะ แต่ร้านนี้ลายผ้าของเขาก็มีเอกลักษณ์ดี สื่อถึงความเป็นพื้นเมือง ความเป็นวัฒนธรรมมั้ง แบบใครมาเห็นก็รู้ว่าน่าจะมาจากประเทศแถบไหน 

    ในการเดินรอบเมืองแบบนี้ ทำให้เรารู้ทางกลับที่พักเรามากขึ้น เรียนรู้ว่าเดินกลับทางไหนได้บ้าง อย่างร้านผ้าร้านนี้ ถ้าเราจำไม่ผิดมันเป็นทางผ่านกลับที่พักของเราอีกทางหนึ่ง 


    ร้านค้าในเมืองเยอะมาก ตลอดเส้นทาง คงเป็นแหล่งรายได้เพราะ Bhaktapur เป็นเมืองมรดกโลก นักท่องเที่ยวน่าจะมากันเยอะ คือถ้ามาเนปาล เมืองนี้เป็น 1 ในสถานที่แนะนำที่ต้องมาเยือน

    ตอนที่เดินในเมือง เราขอพี่กลับไปที่ "Pottery Square" อีกรอบ พี่เขาก็บ่นว่าจะกลับไปทำไม คือเรามีเวลาเดินเมืองนี้แค่วันนี้ ไม่อยากเสียเวลา แต่พอดีผ่านไปแถวนั้นเราเลยขอแวะเข้าไปหน่อย อยากถ่ายภาพ


    ไม่แน่ใจเมืองนี้ใหญ่แค่ไหน แต่ตอนเราเดินชมเมืองเราก็เดินย้อนกลับไปกลับมา แต่ไม่ว่าเดินผ่านกี่ครั้งก็ยังน่าสนใจ อย่างผู้คน เดินผ่านแต่ละรอบก็คือมีความแตกต่าง


    เดินดูรอบเมือง พอเอารูปถ่ายมาเปิดดู สวยจริง นึกถึงแบบแต่ก่อนชอบต่อจิ๊กซอว์มาก บางรูปเห็นน่าจะเอาไปทำเป็นรูปจิ๊กซอว์


    เดินตามกันมาจนย้อนกลับไปที่ "Peacock Guest House" พี่พาเดินไปข้างๆ ที่พักอีกด้านนึงซึ่งจะมีตรอกเล็กๆ พี่เขาจะพาไปดูรูปแกะสลักนกยูงที่มีชื่อเสียงทีี่ประดับอยู่บนโรงแรม "Peacock Guest House"


    หลังดูรูปแกะสลักนกยูง เราก็เดินต่อไปในตรอกนั้นอีกสักหน่อย พอไม่เห็นมีไรก็เดินกลับ แต่ตอนที่มาตรอกนี้ครั้งแรก เราสนใจร้านหนึ่งที่ต้องเดินเข้าไปอีกหน่อย คือผ่านประตูที่ด้านข้างกำแพงนี่แหละ และเดินเข้าไปจะเจอเหมือนขายพวกหนังสือ-กระดาษ พอเดินกลับย้อนมาเลยจะเดินเข้าไปดู (จำไม่ได้จริงๆ ว่าตอนนั้นเจ้าของร้านอยู่แถวประตู เลยเชิญเข้าไปในร้านเขาหรือเดินเข้าไปเอง)


    ด้านในเป็นร้านกระดาษ คือขายภาพวาด-ภาพพิมพ์บนกระดาษ, ผลิตภัณฑ์จากกระดาษอย่างกล่องหรือโคมกระดาษ 

    เจ้าของร้านชวนเรา 2 คนไปดูด้านหลังที่เป็นตึกผลิตสินค้าของเขา เราก็เดินตามไปดูเพราะตึกอยู่ใกล้ๆ แค่นี้เอง


    พอดูชั้นแรกเสร็จ เจ้าของก็ชวนขึ้นไปดูชั้นบนๆ ตอนนี้เรา 2 คนไม่แน่ใจแล้ว ไม่ได้มองคนในแง่ร้ายหรือจะกล่าวหาใครไม่ดี แต่เราไม่ได้รู้จักเขาไง แล้วข้างบนก็มืดๆ ชั้น 1 ประตูอยู่ข้างหลังนี้เอง เพื่อความปลอดภัยไว้ก่อน เราเลยไม่ขึ้นไปแต่เดินย้อนกลับมาหน้าร้านเพื่อดูสินค้าแทน

    เดินดูรอบๆ ร้านก็มีที่ปั๊มไม้แกะสลักอยู่เต็มชั้น, มีธงเล็กๆ ด้วย ส่วนภาพพิมพ์บนกระดาษก็เยอะ (มีลายไม่ได้เยอะมาก แต่ดูลายแล้วรู้เลย "เนปาล") เราสนใจภาพพิมพ์บนกระดาษเพราะยังไม่มีของฝากให้ครอบครัว, ญาติสนิทหรือเพื่อนที่ยังคบอยู่ สอบถามราคาแล้วโอเคเลย ซื้อได้ เลยยืนเลือกจะเอาภาพไหนดี ก็คิดก่อนว่าจะฝากใครบ้างจะได้ซื้อถูกจำนวน ส่วนพี่ก็ไปนั่งโซฟา คุยกับเจ้าของร้าน ถ้าดูจากในรูปเจ้าของร้านหยิบหนังสือเล่มหนาออกมายืนคุยกับพี่เขาด้วย คือเราโง่ภาษาอังกฤษ ส่วนใหญ่คุยอะไรกัน พี่เขาเป็นคนคุย เราชอบถ่ายภาพเก็บความทรงจำมากกว่า


    ดูจากรูป เราเหมือนให้เจ้าของเขียนอะไรให้ด้วยบนกระดาษ อาจเป็นลายเซ็นต์เขาก็ได้ จำไม่ได้แล้ว แต่ภาพพวกนี้ ถ้าจำไม่ผิด เจ้าของเขาวาดเองแล้วเอาไปพิมพ์ๆ เป็นหลายๆ แผ่นไว้ขาย 

    หลังจากเราซื้อสินค้าเขาเสร็จ เขาก็ชวนไปดูตึกผลิตสินค้าของเขาอีก คือคุยกันมานานแล้ว ซื้อสินค้าก็ซื้อแล้ว เราคิดว่าโอกาสไม่ได้มีบ่อยๆ ที่จะได้เห็นสถานที่ผลิตสินค้าของเขา เลยตัดสินใจเดินตามเข้าไปยังตึกด้านหลังอีกครั้ง เขาก็เหมือนไกด์นำทัวร์ อธิบายสิ่งต่างๆ แต่พี่เขาคุยกับเจ้าของแค่ 2 คน เราเดินตามถ่ายภาพ ภาษาอังกฤษด้อย


    ตึกนี้จะมีหลายชั้น หลังเดินดูส่วนทำกระดาษ เจ้าของก็พาเดินมาชมไม้แกะสลัก ไม่ว่าตรงเสาหรือตรงขอบโครงสร้าง ถ้าจำไม่ผิดเขาน่าจะบอกว่าเขาเป็นคนแกะสลักเอง (ไม่แน่ใจ?) แต่พวกงานแกะสลักที่ได้ชมมีความละเอียดสวยงาม คนแกะสลักคงใช้ทักษะฝีมือและเวลาทำนานเพราะต้องพิถีพิถันมากๆ


    พอดูงานแกะสลักแล้ว เจ้าของก็พาเรา 2 คนไปห้องนึง เพื่อดูหนังสือที่เขาเก็บไว้ ส่วนนี้ก็ไม่แน่ใจว่าเขาบอกว่าเขาเป็นอาจารย์มาก่อนหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ เขาสนใจเกี่ยวกับ "พระพุทธศาสนา" มากๆ และเขาเป็นญาติกับเจ้าของ "Peacock Guest House" ด้วยมั้ง แต่ห้องที่เขานำไป ไม่ว่าจะเป็นเสาหรือขื่อด้านบนมีแต่รอยแกะสลักที่ปราณีตละเอียดสวยงามแบบต้องใช้เวลาทำนานแค่ไหนเนี่ย


    พอดูหนังสือเสร็จแล้ว เจ้าของก็พาเดินไปในส่วนต่อไป ก็ไม่รู้ส่วนไหนเหมือนกัน แต่ของก็รกอยู่ มืดด้วยแต่มีงานฝีมือพวกเสาไม้แกะสลักหรือพระพุทธรูปไม้ ก็ถือว่าเดินสำรวจ ความจริงตอนเดินเข้ามา มีป้ายบอกว่าที่นี่เป็นโรงงานกระดาษ


    เดินสำรวจกันแล้วก็ย้อนกลับมาที่หน้าร้านอีกครั้ง เจ้าของก็ให้เซ็นต์สมุดเยี่ยมชม คือพี่กับเจ้าของคุยกันสนุกสนานมากๆ ซึ่งดีกับเราเพราะถ้ามีแต่เราคือเงียบแน่นอน


    พอเซ็นต์สมุดเยี่ยมชมกันแล้วทั้งเราและพี่ ก็ถึงเวลาออกจากร้าน เจ้าของก็มายืนยิ้มส่งเราหน้าร้าน บ๊ายบาย "ร้านกระดาษ" 

    ออกจากร้านมาสู่ถนนหลัก ฟ้าก็มืดแล้ว ตอนนั้น 5 โมงกว่า ก็เดินย้อนไปในเมืองตามเส้นทางเดิม


    ระหว่างทางจะเจอวงดนตรีเล่นอยู่ ตอนแรกคิดว่ามาเล่นชิลๆ ฆ่าเวลาตอนเย็นก่อนนอน แบบสังสรรค์กัน แต่ความจริงคนชมก็ต้องเสียเงินเหมือนกัน วงแรก เรายืนอยู่เขาเฉยๆ แบบถ่ายภาพแล้วก็เดินผ่านไป แต่วง 2 เราเห็นแล้วแหละ แต่ไม่ได้ขึ้นไปฟังอะไร ยืนอยู่ด้านล่าง แล้วมีผู้หญิงคนหนึ่งวิ่งมาให้เราขึ้นไปฟังดนตรีด้านบน พอขึ้นไปจึงได้เห็นกระดาษรับบริจาค พวกเรา 2 คนเลยเดินลงมา

    ตอนนั้นประมาณ 6 โมงเศษ คือฟ้ามืดหมดแล้ว คนก็มีเดินอยู่ หลายร้านก็เปิดกิจการอยู่ แต่โดยรวมก็คือเงียบ สิ่งที่คิดตอนนั้นคือทำไมถึงได้มืดและเงียบเร็วขนาดนี้ เหมือนต่างจังหวัดไกลๆ ในบ้านเรา ที่เขาว่า 2 - 3 ทุ่มก็ปิดบ้านนอนกันหมดแล้ว

    เดินหาร้านทานอาหารเย็นก็มาหยุดที่ร้านหนึ่ง ขึ้นไปด้านบน คือจะมีระเบียงยื่นออกไป สามารถมองวิวจากมุมบนได้ ซึ่งถ้ามองแบบมุมบนในเมืองเก่าแบบนี้ สถาปัตยกรรมแบบนี้ คงจะสวยตอนกลางวัน แต่เรามาทานกันตอนกลางคืนแล้ว ทุกอย่างก็คืออยู่ในความมืดๆ ไม่เห็นอะไรเท่าไหร่ แต่ยืนยันว่าเมืองเงียบและมืดจริง 

    ร้านที่เรามาทาน ดูจากเมนู ราคาอาหารไม่แพง คิดง่ายๆ ไม่เอาเศษ คือ 100 รูปีเนปาล คือ 1 ดอลล่าร์สหรัฐ อย่างสั่งข้าวผัดก็แพงกว่าร้านข้างทางของเมืองไทยนิดหน่อย


    เมนูที่สั่งก็ง่ายอย่าง "ข้าวผัด" คือมาเนปาล 2 เมนูหลักที่ทานคือ "chicken steak" และ "ข้าวผัด" + น้ำอัดลม คือทานสลับกัน 2 เมนูนี้เป็นส่วนใหญ่


    ตอนเช็คบิลค่าอาหาร คือทานมา 3 เมืองคือ Pokhara, Kathmandu และ Bhaktapur บางร้าน เราสั่งอาหารราคาเท่าไหร่ก็จ่ายเท่านั้น แต่บางร้านจะมีบวกภาษี หรือมีบวก service charge อย่างใดอย่างหนึ่ง หรือบางร้านบวกเพิ่มทั้ง 2 อย่าง ก็วัดดวงเอา ร้านนี้บวก service charge อย่างเดียว

    ออกจากร้านอาหารก็ต้องเดินทางกลับที่พัก ตอนนั้นยังไม่ทุ่มครึ่ง แต่มืดมาก และเงียบ ที่พักเราไม่ไกลจากร้านอาหารนี้ แต่ของพี่เขาไกลมาก ตอนลงมาจากชั้นบน พี่เขาก็เอาผ้าพันคอคลุมศีรษะ ถามทางจากพนักงานต้อนรับ แล้วเรา 2 คนก็แยกกันตรงหน้าร้านอาหาร


    การเดินทางกลับที่พัก คือทางของพี่ไปอีกไกล ทางของเราก็ดูมืด แม้มาเมืองนี้ครั้งแรก แต่เพราะตอนบ่ายเดินไปมา เลยพอรู้เส้นทางไป "Bhaktapur Durbar Square"  ว่ามีอย่างน้อย 2 ทาง คือทางที่ผ่านซากปรักหักพังกับผ่านทางตรอกแห่งหนึ่งแล้วออกสู่ถนนหลัก ซึ่งใกล้ที่พักเรามาก เราเลยเลือกเดินไปทางตรอก ซึ่งตอนกลางวันจำได้ว่าขายผ้าแขวนๆ ผืนใหญ่ แต่พอกลางคืนก็มืดแล้ว ช่วงที่มืดมากๆ แม้ทางไม่ไกล เราก็เปิดอัดคลิปมือถือพูดกับตัวเอง คือไม่ว่าที่ไหนบนโลกจะมีทั้งคนดีและไม่ดี เราไม่ได้ว่าใครไม่ดี แต่เรามาเดินคนเดียวมืดๆ ในทางที่ไม่คุ้นเคยก็ต้องกลัวบ้าง ตอนนั้นก็คิดส่งเสียงพูดกับตัวเองหรือเดินเงียบๆ ดี ตอนนั้นไม่มีเนต แบบจะ live ผ่าน FB แบบคิดไปเอง live ไป เกิดมีไรเกิดขึ้นจะได้มีเบาะแส 555 แต่พอเดินในตรอกมืดๆ ถ้ามาย้อนดูจากคลิป จะเห็นมีคนเดินสวนมาเหมือนกัน และพอออกจากตรอกมืดๆ ซึ่งเป็นทางไม่ไกลก็ออกมาสู่ทางหลักที่ยังพอมีแสงสว่างจากร้านค้าที่ยังเปิดอยู่บ้าง


    ถ้าดูเวลาจากภาพที่เราถ่ายไว้ตั้งแต่แยกกับพี่ที่ร้านจนรูปที่เราถ่ายไว้ที่หน้าที่พักเรา คือเดินมา 6 นาทีเอง คือใกล้มากๆ


    เดินกลับห้องพัก อาบน้ำ เก็บของ คือชอบห้องเรามาก เล็กๆ แต่อยู่แล้วสบายใจ วันนี้ก็หมดไปอีกวัน พรุ่งนี้ก็ถึงเวลากลับกรุงเทพฯ แล้ว 

    (ราวผ้าม่านหลังจากเราจับนิดจับหน่อยแล้วมันหล่น เลยเอาไปแขวนไว้ที่ราวแขวนเสื้อผ้า)


    แต่ภารกิจเรายังไม่หมด เพราะเรายังอยากถ่ายภาพและคลิปเมืองนี้อยู่และต้องหาซื้อของฝากด้วย ก็คือต้องออกแต่เช้าพรุ่งนี้ มีเวลาไม่มากก่อนขึ้นรถไปสนามบิน


    27 ธันวาคม 2559

    ออกจากที่พักตั้งแต่ 7 โมงเช้า เร่ร่อนถ่ายภาพแถวที่พักก่อน เริ่มจากอาคารที่อยู่ด้านหน้าเราที่สุดและเราเห็นได้อย่างชัดเจนจากหน้าต่างห้องนอนเรา เมื่อวานแค่เดินผ่าน แต่วันนี้มาเดินดูดีดี จะพบว่าสามารถเดินเข้าไปด้านในได้ด้วย เห็นมีคนเข้าไปเหมือนกัน เราเลยเดินไปด้อมๆ มองๆ แล้วอยู่ๆ ก็มีผู้หญิงคนหนึ่งเรียกเราเข้าไป เราก็เลยเดินตามเข้าไปในอาคาร ตอนแรกก็ไม่คิดไรหรอก คิดว่าเรียกให้เข้ามาดูข้างใน แต่ไม่นาน ผู้หญิงคนนั้นก็แบมือมาด้านหน้าเรา เราก็ทำหน้างงๆ คืออาจจะเข้าใจว่าขอเงิน? แต่ไม่ให้ ผู้ชายคนหนึ่งแถวนั้นก็บอกให้เราเหมือนให้เงินหล่อนไป เราเลยเดินออกมาเลย ไม่ใช่ใจร้าย แต่เรามาเที่ยวก็ไม่ใช่มีเงินเหมือนกันนั่นแหละ เก็บเงินมา


    ยืนๆ อยู่แถวอาคารหลังนี้ ก็เห็นคนเดินผ่านไปผ่านมา บางคนก็ยกมือไหว้หรือเดินเข้าไปในอาคาร ถ้าลองมองไปรอบๆ จะเห็นบางรูปปั้นจะก็มีคนไปไหว้เหมือนกัน ให้ความรู้สึกพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางศาสนา 

    เช้าๆ แบบนี้ จะเห็นบางคนถือถาดใส่ดอกไม้และถ้วยที่มีสีแดงๆ อยู่ข้างใน เดินไปแตะๆ ตรงรูปปั้นที่ต้องการกราบไหว้


    เรายืนเฝ้ามองอยู่ตรงบริเวณนั้น ดูคนที่เข้ามาทำพิธีกราบไหว้ บางคนก็ทำพิธีน่าสนใจ เราก็ถ่ายภาพเอาไว้เป็นความทรงจำ


    ตอนนี้ยืนถ่ายภาพที่ "Bhaktapur Durbar Square" นอกจากถ่ายสถานที่และผู้คนแล้ว นกตอนนี้ยังเยอะมาก เราก็พยายามถ่ายภาพนกที่กำลังบินด้วย ซึ่งก็แล้วแต่จังหวะ คือเราไม่สามารถไปบังคับนกให้บินตามใจเราได้ หรือไปในทิศทางที่เราต้องการได้ บางทีนกเป็นฝูงอยู่ด้านหน้า ข้างหลังเป็นโบราณสถาน เรานึกในห้ว ภาพจะสวยไหม ถ้าจากจุดตรงนี้ แล้วมีนกบินขึ้นไป และบินไปมาประกอบในภาพ เราพยายามยืนรอ เตรียมกล้องให้พร้อม นกก็ไม่บิน พอเราพอแหละ เลิก ไม่ได้เตรียมกล้อง นกกลับบินขึ้น เราก็ถ่ายภาพไม่ทันแล้ว บางทีรอนานอยากจะวิ่งใส่ฝูงนกให้บินขึ้นแบบถือกล้องไปด้วยเพื่อให้ได้ภาพที่ต้องการ มันก็ไม่ได้ ภาพมันจะสั่นอีก ยากบอกเลยว่ายาก ที่ถ่ายภาพมาได้ก็ยังไม่ใช่แบบที่ต้องการ


    ตอนเรายืนถ่ายภาพ ถ่ายคลิปรอบๆ "Bhaktapur Durbar Square" หมุนไปหมุนมา เราสังเกตเห็นผู้ชาย 3 คนยืนอยู่ตรงริมอาคารด้านหนึ่ง ตอนแรกไม่ได้สนใจเพราะเราก็ถ่ายภาพ ถ่ายคลิปของเราไปเรื่อย แต่นานๆ จะสังเกตเห็นได้ เพราะเรายืนนานมากๆ พวกเขาก็อยู่ตรงนั้นนาน และไม่ไกลกันมาก ตอนเราเดินผ่าน ไม่รู้ยังไงถึงได้คุยกัน แบบทักๆ ผู้ชายคนหนึ่งในนั้นบอกทำเกี่ยวกับพวกสารคดีและมีความสนใจประเทศไทยเพราะตอนคุย เราบอกมาจากประเทศไทย เขาก็โชว์ภาพที่เขาไปถ่ายภาพอย่างภูเขาหิมะให้เราดู ก็ยืนคุยกันตรงนั้นแป๊ปนึงแล้วแยกย้าย เรากลับก็เข้าที่พักของเรา แต่เรารู้อ่ะว่าเขาทักเราเพราะเห็นเรายืนถ่ายภาพตรงนั้นนานมาก อย่างถ่ายคลิปก็หมุน 360 องศา เก็บภาพโดยรอบ เพราะแค่ถ่ายภาพเก็บได้ไม่หมด และรอนกบินให้ได้ภาพตามต้องการด้วย แต่สุดท้ายก็ไม่ประสบความสำเร็จ คนเราบังคับนกบินไม่ได้

    ตอนเดินผ่านอาคารโบราณหลังที่อยู่หน้าที่พักเรา ก็เจอคนมายกมือไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในอาคารหลังนั้นอยู่เรื่อยๆ


    เดินเข้าที่พัก เราก็รอทานอาหารเช้า ก็มีแขกมานั่งทานบ้าง แต่ของเรารอทำอาหารอยู่ เลยถ่ายภาพ รอบๆ ห้องอาหารรอเวลา แม่บ้านก็ยังคงทำความสะอาดในห้องอาหารอยู่


    ตอนรออาหารเช้า เราเลยออกไปเตร่หน้าประตูที่พัก ก็เจอผู้หญิงถือถาดมีดอกไม้มาด้านหน้า พอเห็นใครก็เอาดอกไม้พรมให้ เราว่าน่าสนใจดีเลยตามถ่ายภาพเธอคนนั้น ตั้งแต่หน้าประตูถึงด้านในห้องอาหาร ก็มีพนักงานโรงแรมเดินเข้ามาให้เธอพรมดอกไม้ให้ อาจจะให้พรด้วยก็ได้


    อาหารเช้าก็เหมือนๆ ที่เคยทานก็ต้องมีไข่, มีขนมปังและเครื่องดื่ม แต่จำไม่ได้เครื่องดื่มนี่แบบพวกโอวัลตินหรือชานม เพราะมาเป็นแบบกา ไม่ได้ถ่ายภาพเมนูที่สั่งไว้ด้วย ราคาค่าอาหารมื้อเช้านี้ก็รวมในค่าที่พัก พอมาดูตามรูป คือเราเพิ่งมาจ่ายค่าที่พักตอนนี้เอง หลังจากเมื่อวานงง อ้าว นึกว่าหักจากบัญชีธนาคาร แต่ต่อมาเริ่มเรียนรู้ตอนหลังว่าจองผ่าน Booking ต้องจ่ายที่ที่พักเท่านั้น ราคาที่พักของเราที่นี่คือ 963 รูปีเนปาล


    ทานข้าวเช้าเสร็จก็ขึ้นไปบนห้อง ชาร์จแบตและเอาไฟล์รูปเซฟใส่โน๊ตบุ๊ค คือการแบกโน๊ตบุ๊คมาด้วย แบบแบกมาทำไม หนัก แต่มีประโยชน์ตอนหลังในเรื่องการเซฟไฟล์จากมือถือเรามาก เพราะเมมไม่พอ พอจะเต็มก็ถ่ายโอนใส่เครื่องคอม ทำให้ถ่ายภาพไปเรื่อยๆ ตามต้องการ อยากจะอัดคลิปเยอะแค่ไหนก็ได้

    9 โมงเช้า ก็ออกไปถ่ายภาพอีกรอบและต้องหาของฝากเพิ่มด้วย ก็ออกเดินทางจากที่พัก ระหว่างทางก็ผ่านเขตก่อสร้าง, ได้มองดูคนมาทำพิธีขอพร (เรียกแท่นนี้ไม่ถูก แต่เป็นแท่นสูงขึ้นมา มีรูปแกะสลักด้านบน ด้านล่างเหมือนมีช่องๆ วงกลม ไม่รู้ใช้วางเทียนหรือเปล่า มีระฆังแขวนด้วย) และถ่ายภาพชีวิตผู้คนที่เราผ่านไปพบเจอ (รูปยอดฮิตคือคนนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ ไม่รู้ทำไม อยากได้ภาพนั้น)



    เมื่อวานก็เดินกลับไปกลับมาหลายรอบในเมือง แต่วันนี้มาเดินอีกก็มองสิ่งที่เจอรอบตัวเป็นสิ่งที่น่าสนใจอยู่ดี ที่ทำก็คือหยุดเดินถ่ายภาพไปตลอดทาง


    จุดหมายของเราในการเดินเตร็ดเตร่มาเรื่อยคือแถว "Peacock Guest House" แต่ไม่ได้มาหาพี่เขา เราแค่อยากกลับมาร้านขายกระดาษเมื่อวานอีกรอบ อยากมาถ่ายภาพเก็บตก แต่พอมาถึงร้านยังไม่เปิด เลยเดินรอบๆ แถวนั้นก่อน

    แวะซื้อของฝากที่ร้านค้าแถว "Peacock Guest House" 


    เดินวนรอบเมืองไปเรื่อยๆ อีกรอบ วันสุดท้ายแล้วก็อยากถ่ายภาพเก็บความทรงจำให้มากที่สุด และมันอาจจะมีมุมใดที่เราอาจพลาดไม่เคยเห็นไปก็ได้ อย่างสระน้ำสีเขียวนี้ คือเพิ่งเห็นครั้งแรก



    เดินย้อนกลับไปยังที่พักของเราอีกรอบ ก็เดินวนไปวนมาอยู่แบบนี้แล้วก็ย้อนกลับไปทางเดิมเอง เดินผ่านซากปรักหักพังของโบราณสถานเข้าไปยังเขตที่พักของเรา ก็เจอพระรูปหนึ่งเดินสวนมา ก็เหมือนทักว่าคนไทยหรือเปล่า ก็เลยได้คุยกันนิดนึงก่อนเดินจากกัน เดินต่อมายังแถวที่พัก ก็มีคนงานมาซ่อมแซมโบราณสถานที่ชำรุดอยู่หลายจุด


    กลับที่พักมาตอนประมาณ 10 โมงเช้าก็เช็คของเตรียมออกเดินทางและต้องแวะรับพี่เขาที่ "Peacock Guest House" ด้วย 

    ตอน 10 โมงกว่าก็ Check-out ออกจากที่พัก เพราะนัดไปรับพี่เขาตอน 11.00 น. ที่ "Peacock Guest House" พนักงานโรงแรมก็ช่วยลากกระเป๋าเราเดินไปที่รถ ซึ่งสถานที่ขึ้นรถของเราคือที่ "shiva guest house 2""


    ข้างในรถจะเป็นแบบเบาะนุ่มๆ หันหน้าเข้าหากัน ระหว่างออกเดินทางไปรับพี่เขาที่ "Peacock Guest House" เราก็ถ่ายภาพข้างทางไปด้วย ช่วงถนนหนึ่งเห็นว่ามีมอเตอร์ไซด์เยอะมาก


    มาถึง "Peacock Guest House" พี่ยังไม่ลงมา เราก็วิ่งไปร้านกระดาษที่มาเมื่อวานและมาเมื่อเช้าแต่ว่ามันปิดอีกครั้งเพื่อถ่ายภาพรอบๆ ร้านส่งท้าย เพราะอาจไม่ได้กลับมาที่นี่อีกแล้ว (แต่มาเปิดดูภาพย้อนหลัง คือรีบถ่ายภาพ หลายภาพคือเบลอ) ตอนเข้ามาในร้านเห็นร้านเปิดก็โอเค แต่เจ้าของร้านไม่อยู่ อยู่แต่คนดูแล เลยขอเขาเข้าไปถ่ายภาพในร้าน


    ออกจากร้านมาก็ถ่ายภาพตรอกที่ร้านตั้งอยู่เป็นการส่งท้าย (สำหรับตัวเองคือภาพนี้สวยพอใช้ แต่ไม่ใช่เพราะฝีมือตัวเอง เชื่อว่าถ้าสถานที่สวย หรือวัตถุที่ถูกถ่ายสวย มีเสน่ห์ ต่อให้ถ่ายภาพแบบกดปุ่มถ่ายๆ ไปแบบเราทำ ภาพก็ออกมาสวยพอใช้ได้เหมือนภาพนี้แหละมั้ง)


    เดินกลับมาที่ "Peacock Guest House" พี่ก็แนะนำให้แลกเงินที่นี่เลย ไปแลกที่สนามบิน เรทจะแย่กว่า เราก็เลยเอาเงินมานั่งนับแล้วแลกเงินตามที่พี่แนะนำ


    ออกเดินทางตอน 11 โมงเศษไปสนามบิน เดินทางไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็ถึงสนามบินตรีภูวัน ที่กาฐมาณฑุ คือไวมาก แป๊ปเดียวมาถึงแล้ว


    เข้าแถว Check-in รอขึ้นเครื่อง แถวยาวนิดหน่อย ผ่านด่าน Check-in ก็ไปกรอกเอกสารขาออกด้านบน สแตมป์วันเดินทางออกนอกประเทศก็ผ่านไปรอขึ้นเครื่องด้านใน ตอนนั้นเที่ยงนิดๆ รออีกเป็นชั่วโมง

    เข้ามาด้านในก็มีร้านขายของเล็กๆ ก็แค่เดินดูผ่านๆ แต่คนรอขึ้นเครื่องเยอะมาก


    ที่น่าสนใจคือถ้าขึ้นเครื่องบินต้องเดินไปขึ้นที่ลานจอด ว่างไม่มีอะไรทำก็ถ่ายรูปเครื่องบินและบริเวณรอบๆ จุดคอย ตอนประมาณบ่ายโมงก็เห็นเครื่องบินการบินไทย น่าจะใช่เครื่องนี้แต่ต้องรอก่อน


    รอไปเรื่อยๆ เครื่องบินอยู่ใกล้แค่กระจกกั้นแต่ยังขึ้นไม่ได้ ตอนรอ เนื่องจากทุกอย่างอยู่ระดับเดียวกันหมด เห็นเครื่องบินขึ้น - ลงก็สนใจอย่างถ่ายคลิปตอนเครื่องบินขึ้นและลงแต่ก็พลาดหลายครั้งแบบกดอัดคลิปไม่ทัน คือทันแต่เครื่องบินดันใกล้ ดังนั้นก่อนบินขึ้นก็หลุดจากกรอบสายตาไปซะแล้ว


    กว่าจะได้ขึ้นเครื่องก็บ่าย 2 โมงคือว่าเลท รอกันนานมาก boarding time จริงๆ คือ13.15 น. แต่ใจหายพอมาย้อนดูภาพเก่าๆ ตอนเดินขึ้นเครื่องแล้วนึกถึงวันมาถึงและลงเครื่องครั้งแรก รีบมาก กลัวต่อเครื่องไม่ทัน แป๊ปเดียวก็มาถึงวันเดินทางกลับแล้ว


    พอมาถึงที่นั่งก็นั่งตรงกลางเหมือนตอนมา ที่ติดหน้าต่างคือคนแปลกหน้า ส่วนพี่นั่งติดทางเดิน

    ตอนบินขึ้นไม่นานเท่าไหร่ก็ผ่านภูเขาหิมะ คือเสียดายมาก ตอนไปชมวิวที่ Pokhara ฟ้าดันปิด หรือตอนนั่งเครื่องบินเล็กดันไปนั่งติดปีก พอมาเห็นตอนนี้ก็เลยถ่ายภาพไปหลายรูป คือถ้าดูเวลาจากรูปแรกจนรูปสุดท้ายตั้งแต่ 14.29 - 14.44 น. นับได้ 77 รูปกับอีก 5 คลิปสั้นๆ ไม่กี่วินาที ถ่ายภาพแบบคนที่นั่งติดหน้าต่างบอกว่าเปลี่ยนที่กับเขาไหม แต่เราบอกไม่เป็นไรค่ะ แล้วเลิกถ่ายภาพ


    อาหารและเครื่องดื่มที่ทานในเที่ยวบินนี้


    สิ่งหนี่งที่แตกต่างจากตอนขามาคือเราให้ความสนใจคนที่นั่งข้างเราที่เราไม่รู้จัก นั่นคือคนที่นั่งติดหน้าต่างว่าหน้าตาเป็นอย่างไร ไม่ให้เหมือนตอนขามาที่เราจำคนที่นั่งข้างๆ เราอย่างคุณลุงที่ไปเจอกันที่โรงแรมที่กาฐมาณฑุไม่ได้ต้องให้พี่บอก 

    นั่งเครื่องบินไปเรื่อยๆ ก็มาถึงประเทศไทยในเวลา 17.24 น. แยกย้ายกับพี่ที่สนามบิน บ๊ายบาย ก็ถือเป็นประสบการณ์ดีดีที่พี่เขาชวนทำให้เราได้เดินทางไปยังประเทศทีี่มีธรรมชาติอันงดงาม, มีสิ่งก่อสร้างสถาปัตยกรรมและวัฒนธรรมที่เก่าแก่มีเอกลักษณ์และงดงาม เป็นความทรงจำและประสบการณ์ชีวิตที่ดีมากๆ จ้า 

    ส่วนของฝากครอบครัว, ญาติสนิท, เพื่อนที่ยังคบกันและพี่ที่มีบุญคุณก็มีพวกแม่เหล็ก, ธงเล็กๆ, ไพ่และภาพพิมพ์ ส่วนผ้า 2 ผืนคือสำหรับป้า 2 คน


    ***เนื้อหาไม่ค่อยมีอะไรเท่าไหร่แต่ลงรูปเยอะมาก ก็คือแบบพวกบ้าๆ ว่างงาน เขียนบ่นไปเรื่อยๆ พอเอารูปออกมาไล่ดูก็อดใจไม่เอาลงไม่ได้ รูปมันเล่าเรื่องได้ดีกว่าว่าพบเจออะไรมาบ้าง***
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in