เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
“เป็น-เรื่อง-เป็น-ราว”MidnightMessageBox
มุมมองชายกลาง
  • เหตุการนี้ไม่ได้เกินขึ้นในปัจจุบัน

    ในยุคที่การเมืองภายในประเทศยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง และไม่สามารถคาดเดาอะไรทั้งนั้น เรื่องที่ไม่คาดคิดต่างเกิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่องโดยแทบจะไม่ให้เรานั้นได้พักหายใจ ควบคู่ไปกับการแข่งขันทางทางการเมืองระหว่างพรรคต่างๆทั้งหน้าใหม่ และหน้าเก่า แต่สิ่งหนึ่งที่อยู่เหนือสิ่งอื่นใด ยิ่งใหญ่ ซะยิ่งกว่าผลของการเลือกตั่งในอนาคตเสียอีกนั้น นั่นก็คือแก้วตาดวงใจที่หมายถึงทายาท ลูกๆหัวแก้วหัวแหวนที่กำลังถูกบ่นเพาะ และประคบประหงมเป็นอย่างดี เพื่อให้พวกเขาเหล่านั้นเติบโตไปเป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพและขับเคลื่อนประเทศให้พัฒนาต่อไปในทิศทางที่ดี 

    แต่สิ่งที่น่าสนใจ และก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผมเลือกที่จะเขียนบทความ “การเมือง แก้วตาดวงใจ และชายกลาง” ขึ้นมานั้น คือทัศนะคติ วิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของลูกชายคนรอง ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนลำดับที่สองจากทั้งหมดสี่คน ของสมาชิกพรรคๆหนึ่ง ผู้เป็นอดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร โดยผมได้มีโอกาสเจอพอดี ที่ห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งโซนสยาม เลยได้มีการทักทาย และพูดคุยกัน เลยได้มีการตกลงนัดแนะ ไปพบปะสังสรรค์กับบรรดาเพื่อนฝูงที่มาเรียนในเมืองกรุงกันอีกหลายคน และระหว่างที่ผมกับเขานั้นกำลังทำหน้าที่ผู้มาจองโต๊ะที่ดีนั้น เลยได้มีโอกาส ถามไถ่ สารทุขสุขดิบ กันอย่างจริงจังและถือโอกาศสัมภาษณ์ไปในตัวอีกด้วยตามแต่สมควร และไม่ก้าวก่ายในความสัมพันธ์กัน มากจนเกินไป และบรรยากาศก็ยังเป็นใจทั้งเสียงดนตรี Dream-Pop ร่วมสมัยที่ใครๆก็เปิดใจรับฟัง ผสมกับเครื่องดื่มเย็นๆที่ไม่ทำให้ใจนั้น ร้อนรุ่มไปกับบรรยากาศ และผู้คนในเมืองกรุง ทำให้ทุกอย่างลงตัว เป็นกันเอง
    นั่นมันทำให้ผมนั้นคิดถึงสมัยเรียนมัธยมอย่างบอกไม่ถูก ในระหว่างการสนทนาและดื่มด่ำบรรยากาศยามค่ำคืนผมคิดว่าการนั่งรอมิตรสหายของเราที่กำลังแต่งองค์ทรงเครื่องเพื่อการพบปะสังสรรค์ในค่ำคืนนี้จะดูมีความหมายมากขึ้นหากผมนำเรื่องราวการใช้ชีวิตของในเมืองกรุงของเขา และการใช้ดำเนินชีวิตของลูกชายหัวแก้วหัวแหวน ของผู้ที่อยู่ในแวดวงการเมืองมาเขียน ให้เข้ากับสภาพสังคม และเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศ ในรูปแบบการดำเนินชีวิตแทน

    ตอนนี้ปี3แล้วเป็นไงบ้างกับรั้วมหาลัย ?
    ก็โอเคเลยเรื่อยๆเหมือนเดิมแต่ที่ไม่เหมือนเดิมก็คงเป็นตัวเมือง

    ตัวเมืองนี่หมายถึงกรุงเทพใช่ป่ะ และมันไม่เหมือนเดิมยังไง ?
    ก็ถ้าจะเอาตามวันที่เราสัมภาษณ์ ก็คงเป็นเรื่องอากาศนี่แหละ ฮ่า ฮ่า ฮ่า

    แล้วอย่างงี้ทาง ม. เขาว่าอะไรบ้าง ?
    ก็ไม่ได้ว่าไรนะ หรือไม่ก็ไม่ได้ใส่ใจเอง แล้วเขาก็หัวเราะแบบสุดเสียง

    แล้วมีอย่างอื่นอีกป่ะที่บอกว่าไม่เหมือนเดิม ?
    ถ้าเรื่องอื่นเหรอ.....ก็คงเป็นเรื่องความเคลื่อนไหวทางการเมืองล่ะมั้ง

    ใช่เลยฮ่า ฮ่า ฮ่า ว่าจะถามอยู่เลย เล่นเปิดประเด็นก่อนเลยนะ แล้วมันเป็นยังไงบ้าง ?
    ก็ไม่ยังไงหรอกก็แค่บรรยากาศเก่าๆมันกลับมา มีทั้งป้ายหาเสียง ทั้งรถขยายเสียงและนักการเมือง
    มันก็คงเป็นความคิดถึงที่เราไม่ได้สัมผัสมาหลายปีนะ แล้วผู้คนเป็นไงบ้างที่เจอ

    อย่างใน ม. อะ กับเรื่องการเมือง ?
    ก็พูดคุยกันนะแต่เท่าที่เห็นมักจะเป็นการพูดคุยในเชิงล้อกันมากมากกว่า จะไม่ได้จริงจังกันระหว่างฝ่ายแต่ก็เห็นแบบพวกนึงที่ชอบปั่น แบบหยิบเอาเรื่องนู่นี่นั้นมาจับใส่รวมกันและยกมาเป็นเหตุผล แต่ก็นะมันก็ถือว่าธรรมดา แต่โดยรวมแล้วคนก็ดูสนใจเยอะ

    แล้วถ้าอย่างคนภายนอกที่เจอทั่วไปหล่ะ เป็นไงบ้าง ?
    โห่ถ้านอกรั้ว ม. ไปนี่เงียบเลยไม่ได้ยินคนพูดกันเลยถ้าอย่างมากที่ได้ยินก็แค่ “มึงว่าพรรคอะไรจะมาวะ” ก็คงจะมีแค่นี้

    แล้วคิดว่าครั้งนี้พรรคอะไรจะมา ครับ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ?
    ไม่รู้สิ ฮ่า ฮ่า ฮ่า เหมือนคาดเดาได้นะ แต่ก็ไม่อะ อะไรก็เกิดขึ้นได้ เอาเป็นว่าอย่างน้อยก็ยังได้เป็นส่วนหนึ่งของการเลือกตั้งละกัน

    ไม่เผื่อใจบ้างเหรอ มันอาจจะเลื่อนอีกก็ได้นะ ?
    ไม่เลื่อนสิ เชื่อว่ายังไงก็ไม่เลื่อน
    เราก็ต่างภาวนาให้ทุกอย่างเป็นไปตามครรลองของประชาธิปไตย กันต่อไป เออว่าแต่เอาเรื่องชีวิตบ้างดีกว่า 

    ถามจริงๆเถอะ มาเรียนอยู่กรุงเทพสามปีกว่าละ ยังคิดว่าการเดินทางในกรุงเทพนี้ยากอยู่ไหม ?
    คิดว่ายังคงยากเหมือนเดิม แต่ความรู้สึกเราเองที่เปลี่ยนไป เพราะมันกลายเป็นความเคยชิน แต่ยอมรับว่าเราต้องแข่งกับคนอื่น คือต้องอยู่ให้เป็นนั่นแหละ ถ้าจะพูดง่ายๆ

    แล้วคิดเราโอเคไหมที่จะอาศัย ?
    จริงๆมันก็โอเคนะถ้าพูดถึง แบบว่ามีสีสัน แต่ถ้าภาพรวมก็อยากอยู่เชียงใหม่มากกว่า

    แล้วบ้านอะ ไม่อยากกลับไปเหรอ ?
    มันก็อยากอยู่ แต่ถ้าพูดถึงสไตล์การใช้ชีวิตอะ คิดว่าเชียงใหม่นี้โอเคสุดละ ถึงจะเกิดที่นั่นก็จริง แต่ก็มาโตเชียงใหม่ นั่นก็คงเป็นอีกเหตุผลละมั้ง

    นั้นสินะความคุ้นเคย ?
    ใช่ๆถึงคนเขาจะบอกว่าเชียงใหม่มันเป็นเมืองแมส แต่ส่วนตัวก็ยังมองว่ามันเรียบง่าย สบายๆ ไม่รีบร้อน

    และแล้วโฉมหน้าของเพื่อนที่มาร่วมสังสรรค์ก็โผล่มา และบรรยากาศทุกอย่างตื่นเต้นและสนุกสนานกว่าเดิมเมื่อมิตรภาพ ที่ผสานกับเครื่องดื่มเย็นๆ และตบท้ายด้วยเสียงดนตรี สิ่งเหล่านี้เองที่ช่วยจรรโลงพวกเราไว้ในโลกที่โหดร้าย และประเทศที่ไม่มีขื่อมีแป

    time capsule
    จากอดีต นั้นมีเรื่องมีราว
     
    “ว่าแต่แล้วตอนนี้ล่ะ ปัจจุบันทุกคนเป็นยังไงกันบ้าง”

    ด้วยความปรารถนาดี
    จาก เพื่อนมุษย์ท่านหนึ่ง
    ถึง เพื่อนมนุษย๋ท่านอื่น


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in