ต้นเดือนพฤศจิกายน อากาศยังคงเปลี่ยนผ่านจากช่วงปลายฝนเข้าสู่ฤดูหนาว ฝนตกปรอยๆ แต่เช้าต้อนรับวันเปิดภาคเรียนที่สองของปีการศึกษา เด็กชายนั่งซ้อนมอเตอร์ไซค์รู้สึกอึดอัดภายใต้ชุดกันฝนสีแดงสด เขาเกาะเอวผู้เป็นพ่อซึ่งพยายามลดความเร็วลงทุกครั้งที่ขับผ่านแยกไฟแดง น้ำที่ขังอยู่ตามหลุมบ่อถนนกระเด็นไม่เป็นทิศเป็นทาง เขารู้สึกได้ว่าถ้ายังไม่ถึงที่หมายเร็วๆ นี้รองเท้านักเรียนของเขาจะเปียกชุ่มทั้งสองข้าง
บรรยากาศแบบนี้คงจะดีถ้าไม่ต้องไม่โรงเรียน เด็กน้อยคิดในใจ ระหว่างที่มองดูรอบๆ มีเด็กคนอื่นๆ ร่วมชะตากรรมคล้ายกันไม่น้อยบนท้องถนนเช้านี้ เด็กหญิงรุ่นราวคราวเดียวกันในชุดกันฝนพลาสติกลายการ์ตูนน่ารักนั่งอยู่ด้านหน้ามอเตอร์ไซค์ขาพับงอท่าทางแข็งเกร็งมีแม่เป็นเกาะป้องกันจากด้านหลัง พ่วงมาด้วยเด็กชายวัยโตกว่าเล็กน้อยนั่งซ้อนอยู่ที่เบาะหลัง แม้จะมองเห็นได้ไม่ชัดนักผ่านหมวกกันน็อค แต่ดูจากเครื่องแบบนักเรียนของสองพี่น้องแล้วน่าจะอยู่โรงเรียนประจำจังหวัดชื่อดังในตัวเมือง
พ่อหยุดรถลงเมื่อถึงป้ายรถเมล์ประจำทาง พีทขยับตัวลงจากมอเตอร์ไซค์ท่าทางเก้กัง เขามองดูรองเท้านักเรียนที่แทบจะเปียกไปทั้งหมด รู้สึกได้ถึงความชื้นที่ปลายนิ้วเท้าทั้งสองข้างผ่านถุงเท้า
“รีบเข้าไปหลบฝนในร่มลูก” พ่อของเขาว่าแล้วชี้ไม้ชี้มือไปที่ป้ายรถเมล์
“ขอบคุณครับพ่อ” พีทพนมมือไหว้พ่อเหมือนอย่างเช่นทุกวัน เขาถอดหมวกกันน็อคออกแล้วยื่นให้พ่อ ก่อนจะรีบวิ่งเข้าไปหลบฝนใต้หลังคาที่ป้ายรถเมล์ซึ่งมีคนยืนอยู่ก่อนแล้วกลุ่มหนึ่ง
พีทมองตามหลังพ่อที่ขับมอเตอร์ไซค์ห่างออกไปช้าๆ ถ้าปีที่แล้วเราตั้งใจทำข้อสอบให้มากกว่านี้คงสอบติดโรงเรียนในเมือง ไม่ต้องลำบากมานั่งรถเมล์ไปกลับแบบนี้ทุกวัน เขาหวนนึกถึงช่วงสอบเข้า ม.1 เมื่อหลายเดือนก่อน เด็กน้อยยังไม่เข้าใจนักว่าการทำข้อสอบครั้งนั้นคือการแข่งขันกับกลุ่มคนจำนวนนับพัน ปีก่อนหน้าโรงเรียนชื่อดังในเมืองออกประกาศว่ามีนักเรียน ม.6 เกินกว่าครึ่งที่สอบติดมหาวิทยาลัยระดับประเทศ เนื่องจากการปรับหลักสูตรวิชาการที่เข้มข้นขึ้นกว่าโรงเรียนทั่วไป เลยทำให้พ่อแม่ผู้ปกครองจากทั่วจังหวัดพาลูกหลานมาสอบเข้ากันล้นหลาม
เมื่อถึงวันประกาศผลการสอบ เด็กชายพีทพล บุญประเสริฐ มีชื่อติดอยู่ในรายชื่อตัวสำรองห้องคิง หรือห้องเรียนหลักสูตรพิเศษสำหรับมัธยมต้น เดิมทีเขาคิดว่าน่าจะหมดหวังได้เข้าเรียน เพราะตัวสำรองนั้นหมายถึงการรอให้ตัวจริงสละสิทธิ์ โอกาสถึงจะตกมาถึงเขา แต่กลายเป็นว่าการที่ตัวสำรองจะกลายมาเป็นตัวจริงนั้นต้องแลกมาด้วยการบริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับทางโรงเรียน
พ่อกับแม่พีทแม้จะอยากให้ลูกได้รับการศึกษาที่ดีมากแค่ไหน แต่เพราะมีอาชีพคลุกคลีอยู่ในวงการการศึกษามานาน เลยไม่เห็นด้วยกับการส่งเสริมกิจกรรมไร้จรรยาบรรณ พวกเขาปฏิเสธข้อเสนอและให้พีทไปสอบเข้าโรงเรียนเกษมสาสน์ที่แม้จะเป็นโรงเรียนขนาดกลางตั้งอยู่ชานเมือง แต่ระบบการคัดเลือกก็ตรงไปตรงมา อีกทั้งยังมีป้าๆ ลุงๆ ซึ่งเป็นเพื่อนครูที่ดีของพวกเขาคอยดูแลพีทอีกด้วย
การย้ายจากโรงเรียนประถมเอกชนในเมืองมาอยู่โรงเรียนมัธยมชานเมืองทำให้พีทต้องปรับตัวอย่างมาก ทั้งต่อการเดินทาง สิ่งแวดล้อมรอบตัว และโดยเฉพาะเพื่อนใหม่ ที่มีลักษณะนิสัยต่างจากที่เขาคุ้นเคยอย่างสิ้นเชิง
“เขาว่าจะมีเด็กใหม่มาเข้าเรียนกลางเทอมวันนี้” เด็กหญิงผมสั้นเต่อที่นั่งอยู่โต๊ะหน้าห้องแถวกลางหันไปพูดกับเพื่อนของเธอขณะที่กำลังจัดวางสมุดบนโต๊ะ
“คนที่ชื่อซันที่ถูกให้ออกจากโรงเรียนเก่าใช่มั้ย” คู่สนทนาหน้าตาจิ้มลิ้มทำเสียงตื่นเต้น
“เออ ก็ไอ้ซันลูกแม่ตาเจ้าของบ่อกุ้งแถวหลังวัดไง” เด็กหนุ่มหน้าทะเล้นยื่นหน้าเข้ามาแทรกเด็กสาวทั้งสองจากข้างหลัง
“โห ตัวแสบเลยนะนั่น” เด็กหญิงว่า
“นั่นสิ พวกครูเขาให้เข้ามาเรียนกลางเทอมแบบนี้ได้ยังไงนะ แถมมาอยู่ห้องเดียวกับพวกเราอีก” เด็กหญิงผมสั้นเต่อสงสัย “แบบนี้ไอ้บอลคงยิ้มแฉ่งที่ได้เพิ่มสมาชิกแก๊ง” เธอว่าแล้วหันไปมองเพื่อนร่วมชั้นที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หลังห้อง
“ท่าจะไม่ เห็นว่าไอ้ซันมันอยู่คนละฝั่งกับพวกลูกพี่ไอ้บอลมัน” เด็กชายทำท่าทีเป็นผู้รู้
“กันต์แกไปรู้เรื่องรู้ราวอะไรพวกนี้มาได้ยังไงเนี่ย”
“เอ้า! ส้มเช้ง เขาเรียกว่าเส้นสายกว้างขวางยังไงล่ะ” เด็กชายพูดแล้วก็อมยิ้มภูมิอกภูมิใจ
“แล้วอย่างนี้จะเป็นยังไงนะ คิดไม่ออกเลย” พิมพ์ผู้ไร้เดียงสาพยายามจินตนาการถึงอนาคตของเด็กใหม่
พีทที่นั่งอยู่หน้าห้องแถวริมหน้าต่างบังเอิญได้ยินบทสนทนาของทั้งสามแล้วก็แปลกใจอยู่ไม่น้อยที่จู่ๆ จะมีเพื่อนร่วมชั้นคนใหม่เข้ามาเรียนกลางเทอมแบบนี้ แต่โรงเรียนชานเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้
“โอ๊ย” พีทอุทานเมื่อรู้สึกถึงวัตถุที่มากระทบกับไหล่ของเขาจากด้านหลัง เขาหันขวับไปมองหาที่มาของมันทันที
“ฮ่าๆ เฮ้ย! ไอ้พีท คิดถึงพวกกูมั้ย” หัวหน้าแก๊งหลังห้องว่าแล้วหันไปหัวเราะชอบใจกับกลุ่มเพื่อน
“…” พีทได้แต่มองพวกนั้นอย่างไม่พอใจ แต่เขาไม่อยากมีเรื่อง ถ้าไม่ตอบโต้ก็จะไม่มีอะไรเกิดขึ้น พวกอันธพาลมันก็จะเบื่อแล้วเลิกยุ่งกับเขาไปเอง
“ทำหน้าบูดเหมือนตูดลิงตั้งแต่วันแรกเลยหรอ พ่อไม่ให้เงินมาใช้หรือไงวะ ฮ่าๆ ฮ่าๆ”
“…” พีทพยายามนิ่งเงียบ เขาต้องปรับตัวอีกเยอะเพื่อให้อยู่รอดกับสิ่งมีชีวิตเหล่านี้อย่างสงบสุข
“พี่พีทเขาไม่พูดไม่จาเลยว่ะวันนี้” บอลทำหน้าเซ็ง “สงสัยต้องถึงเนื้อถึงตัวพี่เขาสักหน่อย” ว่าแล้วก็ลุกขึ้นจากที่นั่งท้ายห้อง ทำท่าเดินเป็นหัวหน้าแก๊งนักเลง เพื่อนๆ ร่วมแก๊งก็ส่งเสียงเชียร์ยกใหญ่
“นักเรียนทุกคนกลับไปนั่งที่ให้เรียบร้อย” เสียงแหลมแต่หนักแน่นทำให้เจ้าบอลต้องหยุดชะงักแล้วรีบวิ่งกลับไปประจำที่นั่งของตัวเอง เจ้าของเสียงคือครูสุวิมลคุณครูประจำชั้นห้อง ม.1/1 เสียงมาก่อนแต่ไกลแล้วตัวจึงตามมา เธอเป็นหญิงสาววัยสามสิบปลายที่หน้าตาคมเข้มจริงจัง แต่เอาเข้าจริงก็ถือเป็นครูหมวดวิทยาศาสตร์คนหนึ่งที่ใจดีทีเดียว ครูสุวิมลใส่เสื้อแขนยาวสีน้ำตาลเนื้อผ้าเบาสบาย กระโปรงพลิ้วยาวเลยเข่าสีขาวครีม เข้ากับรองเท้าส้นสูงสีขาวดูทะมัดทะแมงแต่ก็มีความอ่อนหวานในตัว
“นักเรียนทำความเคารพ” เด็กหญิงส้มผู้เป็นหัวหน้าห้องกล่าวด้วยน้ำเสียงชัดเจน
“สวัสดีครับ สวัสดีค่ะคุณครู” ทุกคนประสานเสียงพร้อมกันแล้วยกมือไหว้ทำความเคารพคุณครู
“สวัสดีจ้ะนักเรียน เป็นยังไงบ้างเปิดเทอมวันแรก เปียกปอนกันเลย” ครูสุวิมลว่าแล้วเดินไปที่กลางห้อง “ปิดเทอมไปทำอะไรกันมาบ้าง” เธอถามแล้วค่อยๆ เดินไปรอบๆ ห้องเรียนนี้แบ่งออกเป็นสามแถว แต่ละแถวจัดแบ่งโต๊ะเรียนคู่กันเพื่อให้เหมาะกับการเรียนที่มักจะต้องมีการจับคู่ทำกิจกรรม และยังถือเป็นการทำให้นักเรียนได้มีเพื่อนที่คอยดูแลกันและกันอีกด้วย การจัดตำแหน่งที่นั่งมักจะมาจากการเลือกเองโดยสมัครใจ หรือบางครั้งครูสุวิมลก็เป็นคนจัดแจง
“ธันวา ไหนบอกครูสิไปทำอะไรช่วงปิดเทอมมาบ้าง” ครูสาวหยุดอยู่ที่ข้างโต๊ะของเด็กชายหน้าหวานผมสีดำอมน้ำตาล ดวงตากลมโตรับกับใบหน้าขาวใส คิ้วหนาได้รูป จมูกโด่งเข้าที่แม้จะอยู่ในช่วงวัยรุ่นตอนต้น ใบหน้าเรียวรูปไข่แทบไม่เหลือเค้าโครงของความเป็นคนไทย
“คุณแม่พาผมไปเยี่ยมคุณปู่คุณย่าที่ออสเตรเลียครับ” เพื่อนๆ ตาลุกวาวพากันตื่นเต้นกับคำตอบของเจ้าตัว
“โอ้โห ไปไกลเลยนะ สนุกมั้ย” ครูถาม
“ก็…” เขาพยายามนึกถึงช่วงเวลาสามสัปดาห์ที่ผ่านมา “ไม่ถึงกับไม่สนุกครับ”
“ธันวานี่โชคดีจังเลยได้เดินทางไปต่างประเทศ ครูว่ามีเพื่อนไม่กี่คนในห้องนี้หรอกที่ได้เดินทางไปต่างประเทศ”
ครูสุวิมลพูดพร้อมกับส่งยิ้มให้เด็กชายแล้วเดินต่อ เธอถามคำถามเดียวกันกับคนอื่นๆ เด็กนักเรียนที่นี่แม้ส่วนใหญ่จะมาจากครอบครัวชาวนาชาวสวน แต่แต่ละคนก็ได้ทำกิจกรรมที่น่าสนใจกันทั้งนั้นช่วงปิดเทอม ระหว่างที่กำลังสนุกสนานกับเรื่องราวของเพื่อนร่วมห้อง ครูสมพงษ์ก็เดินมาเข้ามาเรียกหาครูสุวิมล ทำให้กิจกรรมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ช่วงปิดเทอมต้องหยุดลงชั่วขณะ
“น้องพีททำอะไรช่วงปิดเทอมบ้างจ๊ะ” บอลถือโอกาสสานต่อความกวนประสาทของตัวเองทันทีที่คุณครูไม่อยู่ในห้อง
“…” พีทได้แต่นิ่งเงียบเหมือนเคย
“เฮ้ย! กูพูดกับมึงอยู่ไอ้พีท” บอลตะโกนเสียงดังก่อนจะปาปากกาพุ่งไปโดนเข้าที่ไหล่ของพีทอีกแล้ว
“โอ๊ย” พีทเอามือลูบไหล่ตัวเองแล้วหันกลับไปมองเจ้าตัวปัญหา
“เอาทุกคนครูมีนักเรียนใหม่มาแนะนำ” ครูสุวิมลเดินกลับเข้ามาพร้อมกับเด็กชายที่ก้มหน้าก้มตาท่าทางเขินอาย สายตาทุกคู่จ้องมองไปที่เขา “แนะนำตัวให้เพื่อนๆ ได้รู้จักหน่อยสิตะวัน” เธอว่าแล้วหันไปส่งยิ้มให้เด็กชาย
เขารู้สึกถึงความกดดันที่ไหลไปตามร่างกาย มือไม้เย็นสั่น สายตาของคนแปลกหน้าที่เต็มไปด้วยความสงสัยปนความอยากรู้อยากเห็นทำให้เขาอยากจะอ้วกออกมาเสียตรงนั้น มันผิดมากหรือไงที่ต้องย้ายโรงเรียนมากลางเทอมแบบนี้ เขาคิดแล้วกำมือแน่น ไม่ใช่ความผิดของเขาเสียด้วยซ้ำ เขาสะดุ้งเมื่อครูสุวิมลเอื้อมมือมาลูบหลังเด็กชายเพื่อให้เขาผ่อนคลาย
“สวัสดี” เขาได้แต่มองไปที่พื้น “เราชื่อซัน ตะวัน พิทักษ์กุล”
“ทุกคนตบมือต้อนรับตะวันหน่อย” ครูสุวิมลพยายามสร้างบรรยากาศให้เป็นมิตรกับเด็กใหม่ แต่นั่นกลับยิ่งทำให้เขารู้สึกประหม่า “เอาล่ะ ทีนี้มีใครอาสาอยากแลกที่หรือให้ตะวันไปนั่งด้วยมั้ย”
ทั้งห้องเงียบสนิท ไม่มีใครยกมือหรือส่งสัญญาณตอบกลับ ซันที่รู้สึกประหม่าอยู่แล้ว เพราะถูกให้ยืนอยู่หน้าชั้น แนะนำตัวเองต่อคนแปลกหน้า การที่ไม่มีใครอยากให้เขาไปนั่งด้วยแบบนี้ยิ่งรู้สึกน่าอายเข้าไปใหญ่ เขาไม่กล้าแม้แต่จะเงยหน้ามองเพื่อนใหม่ในห้องสักคน เขาอาจจะไม่เป็นที่ต้องการของคนพวกนี้ก็ได้ คงไม่มีใครอยากเป็นเพื่อนกับเด็กที่ถูกให้ย้ายโรงเรียนหรอก
“ให้ซันนั่งข้างผมก็ได้ครับ” พีทยกมือขึ้น
“ขอบคุณมากจ้ะพีทพล” ครูสุวิมลว่าแล้วก็ผายมือให้ซันเดินไปนั่งข้างๆ เขาที่แถวหน้าริมหน้าต่าง ซันเดินก้มหน้าตรงไปยังโต๊ะว่างข้างพีทโดยแทบจะไม่มองเพื่อนใหม่เลยสักนิด เขาขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงเงียบๆ
“เราชื่อพีทพลนะ” พีทแนะนำตัว “อยู่ไปเดียวก็ชินเอง”
น้ำเสียงของเพื่อนข้างๆ ฟังแล้วช่างอบอุ่นจริงๆ ซันค่อยๆ เงยหน้าหันไปมองพีท เด็กชายหน้าตาธรรมดาเหมือนเด็กเรียนทั่วไป ทรงผมตรงระเบียบเรียบร้อย ดวงตาชั้นเดียวสีดำเข้ม คิ้วเรียวเล็กรับกับจมูกจิ้มลิ้ม พร้อมกับรอยยิ้มที่ทำให้เขารู้สึกถูกชะตาอย่างบอกไม่ถูก
“เราชื่อซัน” เขาพูดเก้ๆ กังๆ
“เรียกเราว่าพีทเฉยๆ ก็ได้” พีทพูดเมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกฝั่งแนะนำตัวเองเป็นชื่อเล่น “ตื่นเต้นใช่มั้ยวันแรก เดี๋ยวเราพาไปดูรอบๆ โรงเรียนได้นะตอนพักเที่ยง”
น่าแปลกที่เพื่อนใหม่คนนี้ทำให้ซันรู้สึกสบายใจและปลอดภัยขึ้นมาเสียอย่างนั้น เป็นเพราะลักษณะท่าทางที่ดูเหมือนเด็กเรียนทั่วไป รอยยิ้มหวานๆ หรือน้ำเสียงที่อบอุ่นนั่นกันแน่ที่ทำให้เขารู้สึกอย่างนี้ เขาเองก็ยังไม่แน่ใจ แต่ที่แน่ๆ เขารับรู้ได้ถึงความจริงใจจากเพื่อนคนนี้
“ขอบใจนะ” ซันยิ้ม
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in