เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Together, Maybe?Moschan Nutthapat Suma
นักเลง
  • โรงอาหารช่วงพักเที่ยงคือเกมส์การแข่งขันอันดุเดือด ทุกคนพากันจับจองที่นั่งจนแน่นแทบไม่มีที่หายใจ บางกลุ่มมากันตั้งแต่ก่อนพักเที่ยง บางกลุ่มถึงขั้นเอากระเป๋าเป๋และหนังสือเรียนมาวางไว้แสดงความเป็นเจ้าของ ยิ่งถ้าเป็นน้องใหม่ ม.1 ยิ่งแทบไม่ต้องหวังว่าจะได้ที่นั่งกินอาหารเที่ยงง่ายๆ และเพราะเหตุนี้เองที่ทำให้ธันวาเกลียดการไปโรงอาหารช่วงพักเที่ยงมากที่สุด

    ธันวายืนมองผู้คนนับร้อยตรงหน้า พวกเขาพากันเบียดเสียดต่อแถวสั่งอาหารยาวจนแทบมองไม่เห็นปลายแถว จับกลุ่มนั่งคุยเสียงดังระงมไปทั่ว บางคนเดินวนไปวนมาพยายามหาพื้นที่นั่งสำหรับตัวเองและเพื่อนๆ เขายืนลังเลว่าจะเดินเข้าไปในโรงอาหารหรือไม่ ใจอยากถอยหลังจากไปเสียง่ายๆ แต่ท้องดันรู้สึกหิวจนไส้แทบจะขาด

    "หาที่นั่งหรอธันวา" เสียงพูดดังมาจากด้านหลัง เป็นกันต์เพื่อนร่วมห้องที่นั่งข้างหน้าเขานั่นเอง "มานั่งที่โต๊ะเราก็ได้นะ ส้มกับพิมพ์จองโต๊ะเอาไว้ตั้งแต่คาบพละน่ะ" เขาว่าด้วยท่าทางเป็นมิตร

    "เออ..." ธันวาคิดประมวลผล เข้าเทอมที่สองแล้วนอกจากโจโจ้ที่นั่งข้างๆ กันมาตลอดตอนเทอมหนึ่ง เขาก็แทบจะไม่ได้คุยกับใครเลย

    "อย่ามัวคิดนานนักสิ เดี๋ยวก็อดกินข้าวเที่ยงหรอ" กันต์ว่าแล้วดึงแขนธันวาเดินไปที่โต๊ะ

    ธันวาจำวันนั้นได้ดี มันเป็นวันแรกที่เขารู้สึกว่าโรงเรียนบ้านนอกแห่งนี้อาจจะไม่ได้แย่ไปเสียหมด พ่อกับแม่ของเขาได้ตกลงแยกทางกันเมื่อสามปีก่อน หลังจากที่จัดการเรื่องตามกฎหมายเป็นที่เรียบร้อย แม่ของธันวาก็ตัดสินใจบินกลับมาใช้ชีวิตที่เมืองไทยกับตาและยายของเขา

    เขาคิดถึงช่วงเวลาที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้า ได้หัวเราะและออกไปผจญภัยในป่าใหญ่กับพ่อเป็นประจำทุกวันหยุดสุดสัปดาห์ ถึงจะเข้าใจได้กับสิ่งที่เกิดขึ้น แต่เขาก็ไม่คิดว่าแม่จะพาเขาออกมาใช้ชีวิตห่างไกลจากพ่อขนาดนี้ แม้จะไม่พอใจและอยากจะหนีไปให้ไกลแค่ไหน แต่ธันวารู้ดีว่าเขาคือคนสำคัญที่ต้องอยู่ข้างๆ แม่ เด็กชายจึงทำได้เพียงเก็บเอาความรู้สึกทุกอย่างไว้เงียบๆ ในใจ

    พอนึกย้อนกลับไปถึงช่วงเวลานั้นทีไรธันวาก็อดขำตัวเองไม่ได้ ที่ทำตัวแข็งทื่อเหมือนซอมบี้ ไม่พูดไม่จาไม่ยอมยุ่งกับใครง่ายๆ มองเห็นทุกอย่างเป็นสิ่งไม่น่าอภิรมย์ไปเสียหมด เขามองหน้าเพื่อนที่กลายมาเป็นหนึ่งในคนที่เขาสนิทที่สุดซึ่งนั่งหัวเราะกิ๊กกั๊กอยู่ฝั่งตรงข้าม ถ้าไม่ใช่เพราะหมอนี่ชวนเขาไปนั่งด้วยวันนั้น เขาก็นึกไม่ออกเหมือนกันว่าเด็กน้อยธันวาคนนั้นจะโตมาแบบไหนกัน

    “โอ้โห หล่อเหลาเลยเพื่อนเรา ฮ่าๆ ฮ่าๆ” กันต์หัวเราะแล้วชี้ไปที่ซันซึ่งเดินหาเซ็งเข้ามาในโรงอาหาร

    “ซะใจมึงละสิไอ้กันต์” ซันชี้หน้าเพื่อนชาย ทำท่าทางนักเลง

    “เฮ้ย! อย่าเข้าใจผมผิดนะครับเพื่อนซัน ผมว่าก็ดูเท่ไปอีกแบบ ฮ่าๆ ฮ่าๆ” กันต์ยังไม่หยุดหัวเราะ

    “เดี๋ยวกูจะตัดผมมึงบ้าง” ว่าแล้วซันก็ขย้ำผมกันต์ด้วยสองมือของเขา

    “ไอ้ซัน หยุดเดี๋ยวนี้” กันต์พยายามดึงแขนเพื่อหยุดอีกฝ่าย

    “อ่าวซัน นี่ตกลงมึงโดนตัดผมหรอ” พีทที่เพิ่งเดินเข้ามาเสริมทัพ ในเมืองถือถาดอาหารที่เป็นข้าวราดแกงบนจาน เขาแปลกใจที่สุดท้ายซันก็โดยตัดผมจนแหว่ง

    “เออดิ” เขาว่าแล้วปล่อยมือจากกันต์ก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งท่าทางเหมือนหมดแรง “ก็พอครูสมพงษ์กับมึงไป ครูสมใจแม่ง รีบวิ่งแจ้นออกมาจากห้องปกครอง โผล่มาตัดผมกูเข้าให้!”

    “ครูสมใจ” พีทว่าแล้ววางถาดอาหารบนโต๊ะก่อนจะทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ธันวา “นึกว่าแกยุ่งอยู่กับเอกสารบนโต๊ะเสียอีก”

    “หึแกอยากจะเป็นครูปกครองแทบขาดใจ ตัดผมพวกกูแต่ละคนไปพึมพำร้องเพลงไป อย่างกับกิจกรรมจรรโลงใจอย่างนั้น” ซันว่า

    “แกเป็นขนาดนั้นเลยหรอวะ” กันต์สงสัย

    “เออดิมึงไม่เชื่อก็ไปลองให้แกไถผมดูไอ้กันต์”

    “ดูๆ ไปก็เท่ดีเหมือนกันนะ” ธันวาว่าแล้วอมยิ้มก่อนจะตักข้าวเข้าปากทำเหมือนไม่ได้พูดอะไร

    “จ้ะ เท่สู้พ่อหนุ่มฮอตประจำ ม.6/1 ไม่ได้หรอก” ซันหันเล่นหน้าเล่นตา

    “โอเคพีทได้ข้าวละ งั้นพวกเราก็ไปหาอะไรกินกันบ้างดีกว่า” กันต์หันไปส่งสัญญาณให้ธันวาที่นั่งฝั่งตรงข้าม

    “โอเค” ธันวาตอบรับเสียงอ่อน

    ” แต่ซันกลับเงียบไม่มีท่าทางว่าจะลุกตามทั้งสองไป กันต์และธันวามองหน้ากันอย่างสงสัย

    “มึงไม่กินข้าวหรอซัน” กันต์เอ่ยถาม

    “ไม่อะ พวกมึงไปกันก่อนเลย เดี๋ยวกูทำใจแป๊บแล้วจะตามไป”

    “โหถึงขั้นต้องทำใจ เพื่อนกูนี่มันเซนซิทีฟจริงๆ”

    หยอกพอหอมปากหอมคอ กันต์กับธันวาก็เดินหายไปจากโต๊ะ เหลือเพียงพีทที่กำลังตั้งใจกินข้าวตรงหน้าอย่างเงียบๆ กับซันที่ดูเหมือนว่ากำลังทำใจอย่างที่เขาว่า แต่จริงๆ แล้วเขากลับคิดอะไรบางอย่างอยู่ในใจ ซันล้วงมือไปในกระเป๋ากางเกง เขากำกระดาษที่เพิ่งเก็บได้เมื่อเช้าไว้แน่น

    “เอ่อ พีท”

    “ว่า” พีทเงยหน้ามองอีกฝ่าย แววตาคู่นั้นที่เขาเฝ้าดูมาตลอดหกปี ยังคงเหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

    “คือ” ซันลังเล “กู

    “มีอะไรก็ว่าอย่าอ้ำอึ้ง” พีทท่าทางอารมณ์ไม่ดี

    “คือเมื่อเช้ากูเจอกระดาษนี่ตกอยู่ที่พื้น” ซันตัดสินใจพูดไปตรงๆ พร้อมกับชูกระดาษในมือ

    ” 

    เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ในมือของซัน พีทรู้สึกร้อนผ่าวขึ้นมาเหมือนมีคนมาก่อกองไฟรอบตัวเขา หัวใจเต้นแรงราวกับจะหลุดออกมาจากอก แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องพยายามเก็บอาการเอาไว้ ไม่อย่างนั้นถ้าความแตกขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้เป็นคนพูดเอง ทุกอย่างอาจจะแย่ไปกว่าที่เขาคิดเอาไว้

    ไอ้ซันมันเปิดอ่านหรือยังเนี่ย แย่แล้ว ความแตกจนได้ อุตส่าห์ระวังมากๆ แล้วแท้ๆ ไม่น่าทำอะไรให้เป็นหลักฐานแบบนี้เลย ทำอะไรโง่ๆ อีกแล้วเรา

    “มันใช่ของมึงเปล่าวะ” ซันถาม

    “ของกู?” พีททวนคำพูดอีกฝ่ายโดยไม่ตั้งใจ เพราะกำลังคิดหาทางแก้ไขสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

    “มันดูมันลับลมคมใน น่าจะมีอะไรสำคัญในจดหมายน้อยนี้”

    “มีอะไรสำคัญ” พีทยังคงไม่หลุดออกจากภวังค์แห่งความคลุ้มคลั่งในหัว

    “แต่กูยังไม่ได้เปิดอ่านข้างในหรอก คิดว่าจะมาถามมึงก่อนว่ามันใช่ของมึงหรือเปล่า”

    “ยังไม่ได้เปิดอ่านหื้อ” ทันทีที่เขาได้ยินว่าไอ้ซันตัวแสบยังไม่ได้เปิดอ่านพีทถึงกับตาลุกวาว เขารีบวางช้อนส้อมตรงหน้าแล้วยื่นไปคว้าเอากระดาษนั่นมาจากมือซัน

    “อ่าว เฮ้ย!” ซันอุทาน “มึงจะเอาไปไหน”

    “มันน่าสงสัยอย่างที่มึงบอกจริงๆ” พีทมองดูกระดาษในมือ แสร้งว่าไม่ใช่ของตัวเอง

    “งั้นมันก็ไม่ใช่ของมึงละสิ” ซันถามเพื่อความแน่ใจ

    “ถ้าเป็นของกู กูคงไม่ทำตกให้มึงมาเจอหรอก” พีทพูดกลับไปกลับมา

    “ก็ดี” ซันยิ้ม แล้วลุกขึ้นชิงเอากระดาษแผ่นนั้นกลับไปอย่างรวดเร็ว

    “แต่มันก็ไม่ใช่ของมึงอยู่ดีไม่ใช่หรอไง” พีทว่าแล้วลุกขึ้นเอื้อมมือไปคว้ากระดาษนั้นเอาไว้ แต่คราวนี้ซันถือเอาไว้แน่น ทั้งสองเลยยื้อกันไปมา

    “มึงนี่มันน่าสงสัยนะ ถ้าไม่ใช่ของมึงแล้วมึงจะแย่งจากกูไปทำไม” ซันพยายามรับบทนักสืบ

    “ก็กูอยากรู้ว่าข้างในมันเขียนอะไรไว้”

    พีทไม่ยอมปล่อยมือจากกระดาษแผ่นนั้นง่ายๆ จะให้ไอ้ซันเอาไปได้อย่างไรละ ถ้าเกิดมันเห็นข้อความข้างในละก็ทั้งโลกได้รู้ความลับของเขาหมด จังหวะที่ทั้งคู่กำลังจดจ่ออยู่กับการแย่งเอากระดาษนั่นมา ซันรู้สึกเหมือนมีใครบางคนมาสะกิดที่ไหล่ แต่เขาไม่สนใจ เพราะไม่อยากปล่อยให้พีทได้กระดาษนั้นไปก่อนที่เขาจะเปิดดูข้อความข้างใน

    “เล่นชักเย่อสนุกกันเลยนะพวกมึง” เสียงแหลมแปลกหูประหลาดแว่วมาจากด้านหลัง

    “เฮ้ยยยย!” ซันตกใจเมื่อตัวเองถูกกระชากเสื้อให้ผละมือจากกระดาษจนขาดออกเป็นสองส่วน ตัวของเขาแทบจะหงายหลังลงไปกับพื้น

    “นั่นไง” พีททำหน้าหวอ

    “พวกมึงเล่นอะไรกันเป็นเด็กน้อยไปได้” ซันหันไปหาคนที่กุมแขนเสื้อเขาเอาไว้เหมือนหุ่นกระบอก

    “พี่ป๋อง”

    ซันเรียกชื่อหัวหน้าแก๊งจอมแซบหน้าตาดุดัน ดวงตากลมโป๋ ปากแห้งซีด หัวสกินเฮด ตัวสูงผอมแห้ง ท่าทางน่าสังเวชแต่ก็น่ากลัว ถึงจะอยู่ชั้นเดียวกันแต่เขาอายุมากกว่าพวกซันหนึ่งปีเพราะต้องดรอปเรียนไปช่วงกลางมอปลาย

    “กูมีเรื่องจะคุยกับมึง” เขาว่าแล้วปล่อยมือจากซัน

    “เรื่องอะไรครับพี่”

    ซันพยายามตั้งหลักแล้วลุกขึ้นยืน ท่าทางเจียมเนื้อเจียมตัว พีทที่ได้โอกาสรีบยัดเศษกระดาษส่วนที่ติดอยู่ที่มือของเขาใส่กระเป๋ากางเกง เขาเกลียดขี้หน้าไอ้หมอนี่สุดๆ แต่ก็ไม่เคยแสดงความไม่พอใจหรือหาเรื่อง หลายครั้งที่เขาบอกให้ซันเลิกยุ่งกับพวกแก๊งนี่ แม้ซันเองจะพยายามปลีกตัวเองออกมาช่วงสองปีหลังมานี้ แต่ด้วยสถานการณ์บางอย่างเลยทำให้เขายังคงไม่สามารถตัดขาดจากกลุ่มของป๋องได้

    “เรื่องไอ้ทราย พี่มึงไง” ป๋องเหลือบไปเห็นกระดาษในมือซัน “นั่นอะไร”

    “อ่อ ขยะครับพี่ป๋องไม่มีอะไร” ซันหันไปมองหน้าพีทแล้วยัดเศษกระดาษที่ขาดครึ่งในมือลงใส่กระเป๋ากางเกงตัวเอง “งั้น... เราไปคุยกันที่อื่นดีกว่ามั้ยพี่”

    พีทนั่งลงที่เดิมหัวใจของเขายังเต้นแรงจากสิ่งที่เกิดขึ้น เรื่องกระดาษที่มีข้อความในใจของเขาฉีกเป็นของส่วนก็อีกเรื่องหนึ่ง แต่เรื่องไอ้ป๋องต้องการคุยกับซันเรื่องพี่ทรายนี่มันยังไงกันนะ เขามองตามสองนักเลงที่เดินออกไปจากโรงอาหาร ซันหันกลับมามองพีทเป็นระยะด้วยสีหน้ากังวล

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in