เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Together, Maybe?Moschan Nutthapat Suma
ความในใจ
  • ไม่รู้ว่าเพราะเป็นปีสุดท้ายของมัธยมปลาย อากาศเย็นๆ ช่วงฤดูหนาว หรือเพราะความรู้สึกข้างในถูกบ่มเพาะจนสุกงอมที่ทำให้พีทอยากจะเผยความในใจให้อีกฝ่ายได้รับรู้ เขาไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่าเสียงหัวใจเขาเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะเมื่ออยู่ใกล้คนๆ นั้นตั้งแต่เมื่อไหร่ พอมารู้ตัวอีกทีก็เหมือนมีผีเสื้อนับร้อยบินวนอยู่ในท้องทุกครั้งที่เขาเข้ามาใกล้

    ใบหน้าเกลี่ยเกลาสุขุมเหมือนคิดอะไรอยู่ภายในหัวตลอดเวลา ทุกครั้งที่ได้คุยกัน พีทรู้สึกว่าอีกฝ่ายมีแรงดึงดูดบางอย่างที่ทำให้เขาถลำลึกลงไปในห้วงมิติไร้กาลเวลา น้ำเสียงทุ้มนุ่มลึกส่งคลื่นความถี่เฉพาะเจาะจงตรงเข้าไปในจุดที่ลึกที่สุดของสมองส่วนขมับ ลมหายใจหอมสะอาดชวนเคลิบเคลิ้ม กลิ่นโคโลนอ่อนๆ จากตัวเขาห่อหุ้มทั้งสองคนเอาไว้ในลูกแก้วใสไร้เสียงรบกวนจากภายนอก หากมีคนคอยสังเกตปฏิกิริยาของพีทเวลาอยู่ใกล้เพื่อนคนนี้ เขาคนนั้นคงจะเข้าใจในทันทีว่าพีทหลงรักอีกฝ่ายเข้าให้อย่างจัง

    ธันวา

    พีทมองดูตัวหนังสือบนเศษกระดาษที่ขาดแหว่งในมือ ทำไมถึงไม่พูดออกไปตรงๆ เลยนะ ทำไมต้องเขียนลงกระดาษนี่ด้วย เขาถามตัวเองซ้ำๆ ในหัว ถ้าบอกออกไปตรงๆ อย่างน้อยก็มีคนรู้แค่คนเดียวคือเจ้าตัว ไม่ต้องมานั่งกังวลกลัวไอ้ซันจะเอาไปป่าวประกาศให้ขายหน้าคนอื่นเขาไปทั่ว ถึงจะโชคดีที่แย่งส่วนที่เป็นชื่อธันวามาได้ แต่ข้อความที่เหลือ ดูยังไงก็รู้ว่าเป็นลายมือเขา โดยเฉพาะไอ้ซันที่ชอบเอาการบ้านเขาไปลอกอยู่เสมอ จะปฏิเสธหาข้อแก้ตัวยังไงให้ไม่น่าสงสัย คงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ 

    กูชอบมึงนะ

    ซันอ่านข้อความนั้นซ้ำแล้วซ้ำเหล่า จากตัวหนังสือดูก็รู้ว่าคนเขียนคือใคร เขารู้สึกใจสั่นแปลกๆ ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าข้อความเต็มๆ นั้นคืออะไร แล้วใครคือคนที่เจ้าตัวชอบ แต่ข้างในลึกๆ เขาก็หวังว่าเขาจะรู้คำตอบนั้น อีกใจก็อดคิดไม่ได้ว่าเจ้าของจดหมายนี่งี่เง่าชะมัดที่ทำหลักฐานมัดตัวซะขนาดนี้ ถ้าคนอื่นมาเห็นเข้าคงป่าวประกาศไปทั่วให้เขาอายจนไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ดีนะที่เขาได้มาอยู่ในมือ เพราะเขาจะรักษาความลับนี้ได้อย่างดี

    พีทเป็นพวกมุ่งมั่นตั้งใจกับทุกอย่าง ท่าทางขึงขังเอาจริงเอาจังโดยเฉพาะฤดูการสอบทำให้เขาดูเป็นผู้ใหญ่ที่รู้ตัวเองดีว่ากำลังทำอะไรอยู่ ยิ่งเวลาที่เพื่อนๆ เล่นสนุก วิ่งเต้นไปทั่วห้องกัน เขากลับยึดเอาพื้นที่ส่วนตัวเล็กๆ ในมุมห้อง เอนหลังเข้าหากำแพง ในมือถือหนังสือกับปากกา สายตาไล่ไปตามตัวหนังสือแต่ละบรรทัดบนแผ่นกระดาษ ริมฝีปากขมุบขมิบเหมือนกำลังประมวลผลข้อความสำคัญเข้าสู่ระบบความจำ ดูกี่ครั้งก็น่าชื่นชมในความขยันของเพื่อนคนนี้ 

    แต่ไม่รู้ว่าทำไมการเห็นพีททุ่มเทกับการเรียนแบบนี้ถึงปลุกเร้าอารมณ์บางอย่างในตัวซัน ทุกครั้งที่เขาเหลือบไปเห็นพีทอ่านหนังสือเลือดในตัวมันสูบฉีดพลุ่งพล่านอย่างรุนแรง เหมือนมีคนเอาปั๊มน้ำมาติดตั้งที่ปลายแขนปลายขาของเขา หัวใจทำงานหนักจนแทบจะดิ้นทะลุออกมาจากกางเกง เอ้ยจากหน้าอก บางครั้งเขาทนไม่ไหวต้องรีบวิ่งไปเข้าห้องน้ำ แต่บางครั้งเขาก็แอบไปนั่งข้างๆ พีทเงียบๆ แม้ว่าภายในนั้นจะรู้สึกเหมือนขบวนพาเรดของคนนับแสนกำลังวิ่งผ่านตัวเขาอยู่

    “ฮัลโหล” พีทรับสายโทรศัพท์ด้วยความลังเล

    “ทำไรอยู่ไอ้พีท” ซันถามด้วยน้ำเสียงลังเลไม่แพ้กัน

    “ไม่ได้ทำไร” เขาตอบภายในใจเต็มไปด้วยความสับสน

    ” ซันเงียบเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ “ออกมากินก๋วยเตี๋ยวด้วยกันหน่อยดิวันนี้”

    “เดี๋ยวถามป๋าก่อนนะ” 

    พีถอนหายใจแล้วเดินออกจากห้องนอนของตัวเองไปหาพ่อ ชายวัยกลางคนสวมเสื้อยืดคอตตอนสีขาวกับกางเกงผ้าแพรลายมังกรสีครีมนั่งพักผ่อนอยู่ที่เก้าอี้เอนไม้ภายในห้องนั่งเล่น เสียงรายงานข่าวจากโทรศัพท์บ่นพึมพำไม่ได้ศัพท์ พีทขออนุญาตพ่อใช้มอเตอร์ไซค์เพื่อออกไปกินข้าวกับเพื่อน พ่อของเขารู้จักซันเป็นอย่างดี ถึงจะไม่อยากให้พีทสุงสิงกับเด็กนักเลงคนนั้นมากเท่าไหร่ แต่เพราะทั้งสองเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่มัธยมต้น เขาจึงอนุญาตไปเหมือนทุกครั้ง

    พีทกับซันเคยออกไปกินก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดด้วยกันหลังเลิกเรียนอยู่บ่อยครั้ง เวลาที่ซันเข้ามาในเมือง มันจะแวะมาตะโกนทำเสียงดังที่หน้าบ้านหรือโทรเรียกพีทให้ออกไปเจอที่ตลาด ในบรรดาเพื่อนทั้งสามคนซันน่าจะเป็นคนที่เขาเจอนอกโรงเรียนมากที่สุด แต่การเจอกันครั้งนี้มันต่างจากทุกครั้งตรงที่ซันอาจจะรู้ความลับบางอย่างของเขา แล้วหมอนั่นก็ดันเป็นคนเอ่ยปากชวนออกไปเจอแบบนี้เสียด้วย

    ตลาดเก่าในเมืองตั้งอยู่บริเวณริมแม่น้ำท่าจีน มีลานคอนกรีตที่ทางเทศบาลเพิ่งสร้างใหม่คั่นกลาง ตึกไม้สองชั้นเรียงรายกันเป็นชุมชนเล็กๆ ที่มีประวัติเปลี่ยนผ่านมาหลายยุคหลายสมัย ยามเช้าตรู่ตลาดจะเต็มไปด้วยของสด ผลไม้ เนื้อ ข้าวของเครื่องใช้สำหรับแม่ค้าและร้านขายปลีกต่างๆ จากนั้นจึงค่อยๆ เงียบเหงาลงช่วงเที่ยง ก่อนจะกลับมามีชีวิตชีวาเต็มไปด้วยผู้คนอีกครั้งช่วงตลาดเย็นที่จะมีร้านอาหารมากมายตั้งร้านส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั่วลานคอนกรีต

    หนึ่งในนั้นคือร้านก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้นน้ำตกเจ้าโปรดของซัน น้ำซุปที่เคี้ยวจนหอมผสมกับรสชาติเข้มข้นของเลือดหมู เส้นเล็กนุ่มเหนียวได้ที่กับผักลวกกรอบไม่สุกจนเกินไป ซันรีบจ้วงของโปรดในชามเข้าปากจนลืมนึกถึงความร้อน

    “อ๊า!” ซันร้องไม่เป็นคำ

    “หิวจัดเลยเนอะมึงเนี่ย” พีทว่าแล้วเป่าก๋วยเตี๋ยวในช้อนตัวเองให้เย็นลง

    “หอหันหาอยอย” ซันพยายามขยับปากพูดไม่เป็นคำพร้อมกับสูดเอาอากาศเข้าปากเพื่อลดอุณหภูมิก๋วยเตี๋ยวในปาก

    “อ๋อ เอ่อ เข้าใจละ” พีทพยักหน้าเออออ แกล้งว่าเข้าใจอีกฝ่ายเป็นอย่างดี

    ….” ซันรีบเคี้ยวเมื่อได้จังหวะ

    “วันก่อนที่ไอ้ป๋องมันมาหามึงอะ มีเรื่องอะไรกันหรอ” จู่ๆ พีทก็นึกขึ้นถึงเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อน แต่ก็ดันนึกขึ้นได้หลังจากถามอีกฝ่ายว่านั่นอาจจะไปกระตุ้นความทรงจำเรื่องกระดาษนั่น

    “อืม เรื่องไอ้ทราย” ซันตอบสั้นๆ เหมือนไม่อยากอธิบายรายละเอียด

    “อย่าบอกว่าพี่มึงไปวิ่งยาให้พวกมันอีกแล้วนะ”

    “โห มึงนี่ก็” ซันขมวดคิ้ว “มองพี่กูเป็นตัวร้ายตลอด”

    “กูเปล่า แต่พี่มึงเพิ่งพ้นโทษมาไม่ใช่หรอ กูแค่ไม่อยากให้มันกลับเข้าไปอีก”

    ” ซันมองหน้าพีทท่าทางจริงจัง “ไอ้ป๋องมันจะตามพี่กูไปวิ่งยาเหมือนที่มึงคิดนั่นแหละ แต่กูบอกมันไปว่าพี่กูไม่สบายหนักตอนนี้อยู่โรงพยาบาลที่อุทัยกับปู่กู” ซันหยักไหล่ “กูก็ไม่รู้มันจะหนีจากไอ้พวกเวรนี่ไปได้แค่ไหน”

    “มึงก็ดูแลตัวเองดีๆ” พีทพูดแล้วเอื้อมมือไปจับไหล่อีกฝ่ายเบาๆ ซันมองหน้าเขาสายตามีเลศนัย

    “จริงๆ ที่กูเรียกมึงออกมาวันนี้” เขายิ้มแล้วเอามือล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงยีนส์สีซีด “กูมีเรื่องน่าสนใจกว่านั้นเยอะ”

    “เรื่องน่าสนใจ” พีทภาวนาขอให้ไม่ได้เรื่องจดหมายนั่น

    “ใช่” ซันวางเศษกระดาษบนโต๊ะ อมยิ้ม จ้องพีทไม่ละสายตา “กูว่ามึงทำอะไรตกนะ”

    ” 

    พีทมองตัวหนังสือที่คุ้นตาบนกระดาษนั่น รู้สึกจุกที่คอเหมือนมีคนเอามือมาบีมรัดเอาไว้ อีกฝ่ายดูจะถือไพ่เหนือกว่าด้วยหลักฐานที่มัดตัวขนาดนี้ แต่ในหัวก็ยังพยายามคิดหาทางเอาตัวรอด

    “กูว่าตัวหนังสือมันคุ้นมากเลยนะ” ซันก้มมองที่เศษกระดาษ “กูชอบมึงนะ” เขาอ่อนข้อความพร้อมอมยิ้ม

    ถึงจะดูเหมือนกล้าแต่จริงๆ หัวใจของเขาเต้นแรง รู้สึกเหมือนเลือดปริมาณมหาศาลถูกสูบฉีดไปทั่วร่างกายไม่เป็นจังหวะ แต่ต้องพยายามเก็บอาการ ไม่ให้อีกฝ่ายอ่านเขาออก เขาจินตนาการใบหน้าคนตรงหน้าที่กำลังบรรจงเขียนข้อความนั่นด้วยความเขินอาย ถ้าได้อยู่ในเหตุการณ์ด้วยเขาคงอดยิ้มจนหน้าแดงก่ำไม่ได้ คนที่ภายนอกดูเอาจริงเอาจังทุ่มเทให้กับการเรียนอย่างพีทกลับมีมุมน่ารักอย่างนี้ ยิ่งคิดเขายิ่งรู้สึกขนลุกวาบหวิวไปทั้งตัว อยากจะกระโจนกอดคอให้รู้แล้วรู้รอด

    หลายวันที่ผ่านมาซันพยายามปะติดปะต่อเรื่องราวที่เกิดขึ้นในอดีตระหว่างเขากับพีท เขาอยากรู้ว่าเจ้าเด็กเนิร์ดนี่มันเริ่มมีใจให้เขาตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะสำหรับเขา ความรู้สึกดีๆ ต่อเพื่อนคนนี้มันเริ่มขึ้นตั้งแต่วันแรกที่เขาได้สัมผัสถึงความใจดีและรอยยิ้มน่าชังนั้นตอนที่เขาเพิ่งย้ายเข้ามาช่วง ม.1 กลางเทอม

    “อ่าว ว่าไง” ซันเอ่ยทำลายความเงียบแล้วกลับไปจ้วงก๋วยเตี๋ยวในชามตัวเองต่อ

    “เออ” พีทรู้สึเหมือนโลกทั้งใบค่อยๆ ซีดจางลงจนเหลือแต่สีขาวดำ

    “พีท มึงไม่ต้องกลัวหรอก บอกกูตรงๆ ก็ได้” ซันพยายามไม่สบตาอีกฝ่าย “กูสัญญาว่ากูจะไม่บอกใคร”

    “มึงแน่ใจหรอ” พีทพูดเสียงอ่อน

    ” ซันเงยหน้ามองเพื่อนอีกครั้ง แม้จะรู้สึกหวั่นไหวในใจแต่เขาต้องเก็บอาการเอาไว้ข้างใน “เออดิ!

    “เฮ้อ” พีทถอนหายใจ “กูชอบธันวา”

    “มึงชอบธันวา?

    จากที่หัวใจเต้นแรงตอนนี้เขารู้สึกเหมือนมันจะเต้นทะลุซี่โครงแล้วหลุดออกมาจากช่องอกของเขา เลือดที่สูบฉีดไม่เป็นจังหวะไปทั่วร่างกายพุ่งกระฉูดออกมาตามผิวหนัง อย่างกับสายยางรั่วก่อนที่มันจะระเบิดออกจนทิ้งไว้เพียงร่างของเด็กหนุ่มที่อกหักตัวผอมซีดเซียว

    ซันค่อยๆ ประมวลผลสิ่งที่เพิ่งรับรู้ ถึงจะมีส่วนเล็กๆ ในสมองที่คิดถึงความเป็นไปได้ว่าคนที่พีทต้องการสารภาพรักอาจเป็นคนอื่น แต่ไม่คิดว่าจะเป็นคนใกล้ตัวอย่างไอ้ธันวา ความรู้สึกว่างเปล่าแต่เจ็บจี๊ดลึกลงไปข้างในนี่มันคืออะไรกันนะ ทั้งๆ ที่ผ่านการต่อยตีจนกระดูกหัก ร่างกายบาดเจ็บมาหลายต่อหลายครั้ง กลับไม่เคยรู้สึกถึงความปวดร้าวแบบนี้มาก่อน

    บทสนทนาหยุดลง มีเพียงแต่ความเงียบระหว่างทั้งสอง ซันพยายามรวบรวมชิ้นส่วนความรู้สึกที่แตกสลายกลับคืนมา ไม่เป็นไร เขาพยายามบอกตัวเองขณะที่หลบสายตาอีกฝ่าย ไม่เป็นไร ความทรงจำระหว่างเขาและพีทหลุดขึ้นมาสลับทับกันจนไม่เป็นเรื่อง ไม่เป็นไร ยังไงพีทก็ยังเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดคนหนึ่งของเขา

    “มึงสัญญาแล้วนะว่าจะไม่บอกใคร”

    “เออ” ซันตอบกลับอีกฝ่าย

    “กูไม่กล้าบอกมันตรงๆ เลยคิดว่าเขียนจดหมายน่าจะดีที่สุด”

    “ห่วย” 

    “เอ้าไอ้นี่ก็กูไม่กล้าบอกมันต่อหน้า” พีทหยุดคิด “กูกลัวมันจะเกลียดกู ไม่คุยกับกู”

    “มึงนี่มันงี่เง่าจริงๆ กูคิดว่ามึงฉลาดกว่านี้ซะอีก” ซันน้ำเสียงเปลี่ยน

    “ไอ้ซัน แล้วเป็นมึง มึงจะกล้ามั้ยล่ะ” พีทถามอีกฝ่ายรู้สึกโมโหขึ้นมา “ถ้ามึงแอบชอบเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาหกปี มึงจะกล้าบอกมันมั้ย? แล้วถ้ามันไม่ได้คิดกับมึงแบบนั้นมึงจะทำยังไงมึงจะยังชอบมันมั้ย?

    คำถามของพีทเหมือนเป็นเครื่องกระตุ้นต่อมน้ำตาของคนแอบรักเพื่อนอย่างซัน เขาไม่เคยเข้าใจความรู้สึกที่มีต่อพีทมากก่อน จนกระทั่งได้เห็นจดหมายนั่นที่ทำให้เขาเข้าใจว่าทำไมทุกครั้งที่อยู่ใกล้เพื่อนคนนี้แล้วรู้สึกปลอดภัย ทำไมใจสั่นเวลาเห็นรอยยิ้มอ่อนโยนนั่น ทำไมอยากมาเจอและกินข้าวเย็นกับเขาบ่อยๆ หลังเลิกเรียน มันคือความรู้สึกนี้นี่เอง

    “กูคงไม่กล้าเหมือนกัน” ซันพยายามกลั้นน้ำตา

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in