‘..เพราะสิ่งที่เธอเชื่อเเละไว้ใจที่สุดในโลกใบนี้กลับกลายเป็นความตายของดอกไม้ หาใช่ความรัก..
มันน่าเศร้าใช่ไหม.. เพราะความรักทรยศ ชีวิตทรยศ แต่ความตายไม่ ..มันคงอยู่เป็นนิรันดร์.’
และฉันรักเธอ ..อย่าลืม ได้โปรดอย่าลืม.. ที่รัก.
“ ..เพราะงั้นคุณเลยชอบเอาดอกไม้มาทับแห้ง” เขาหันมาถามด้วยสายตาเรียบเฉยเกินกว่าที่ฉันจะคาดเดาความรู้สึกได้ หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะความสลัวของไฟ ที่ส่องพาดผ่านใบหน้าเพียงซีกเดียวของเขา ฉันนิ่งไปนานขณะมองหน้าด้านข้างของเขา ..แต่ไม่ใช่เพราะคำถามนั่นหรอก ฉันกลับนึกไปถึงอะไรบางอย่าง ไปถึงครั้งที่ฉันเคยรักเขาหมดหัวใจ จะกล่าวแบบนั้นก็คงไม่ผิดซักเท่าไหร่ ซึ่งพอมองด้วยความรู้สึกในวันนี้ ชีวิต ..มันช่างว่างเปล่า และโหดร้าย.
ฉันจุดบุหรี่มวนใหม่ ก่อนจะทอดมองไปยังความมืดมิดแสนไกลเบื้องหน้า
“ไม่ขนาดนั้นซะทีเดียว ไม่รู้สิ ..เพราะความรักทรยศ ชีวิตทรยศ แต่ความตายไม่ มันจะคงอยู่แบบนั้นชั่วนิรันดร์ ..ช่วงหนึ่งฉันเคยรู้สึกอะไรคล้ายๆ นี้” ฉันปล่อยควันคลุ้งยาวออกไปสู่ความว่างเปล่าเบื้องหน้า ความว่างเปล่าอันหนักอึ้ง “ฉันคงมองว่าความตายของดอกไม้คือสิ่งเดียวที่จะคงอยู่ มันตายแล้ว แต่ยังคงอยู่ ..แต่รู้อะไรไหม บางทีฉัน หมายถึงฉันรู้อยู่แก่ใจ รู้มาตลอด ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ตลอดไป ดอกไม้แห้งเองก็เช่นกัน ไม่นานก็จะเสื่อมสลาย..” ฉันเหลือบไปมองเขา ความเงียบงันระหว่างเราไม่ได้น่าอึดอัดเท่าไหร่ มีไม่กี่ความสัมพันธ์ในชีวิตหรอกที่จะทำให้เรารู้สึกได้แบบนั้น คิดแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ สิ่งนี้ล่ะมั้งที่ยังคงหลงเหลือ ไม่เปลี่ยนแปลงไปในความสัมพันธ์ระหว่างเรา เขาจุดบุหรี่มวนใหม่ มองทอดไปเบื้องหน้า ไม่หันมามองที่ฉันแม้เพียงสักนิด ..ฉันจำได้ เขามักเป็นแบบนั้น
“ยิ้มอะไร ผมเห็นนะ” แต่ยังคงไม่หันมองมาที่ฉันแม้แต่นิด บรรยากาศเลยเริ่มคลี่คลายลง เพราะฉันหลุดหัวเราะออกมา ..ใช่ มันเป็นแบบนั้น ทุกวันที่ฉันลุกขึ้นมา กิน นอน หัวเราะ และร้องไห้เป็นบางครั้ง แล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่
“ไม่ ก็แค่ เมื่อกี้พูดถึงไหนแล้วนะ ..อ๋า คงงั้นมั้ง ครั้งหนึี่งฉันเคยมองแบบนั้น ห้องที่ไม่มีดอกไม้ยิ่งทำให้รู้สึกเหงา มันดูเป็นสิ่งเล็กๆ ที่พอจะเติมเต็มโลกของฉันได้ด้วยตัวของฉันเอง ..แต่ตอนนี้ฉันไม่ได้คิดแบบนั้นแล้ว ฉันว่าจะทิ้งทุกอย่าง จริงๆ ก็เริ่มบ้างแล้ว ทิ้ง ..ทิ้งไปบ้าง ไม่มีสิ่งใดสำคัญขนาดนั้น”
- เพราะสิ่งที่ฉุดรั้ง อาจคือเรา -
“คุณเปลี่ยนไป..” เขาหันมามองด้วยเเววตาที่ราบเรียบเช่นเดิม “..ผมหมายถึงคุณเติบโตขึ้น”
“การเริ่มทิ้งทุกอย่างเนี่ยนะ” เขานิ่งเงียบแทนคำตอบ “..อือ ก็คงงั้น ..คงงั้น” ฉันถอนหายใจยาวอีกครั้ง พร้อมกับเริ่มรับรู้ถึงอากาศที่หนาวเย็นเป็นครั้งแรก หลังจากที่นั่งตรงนี้มาร่วมหลายชั่วโมง “กี่ปีแล้วนะ ..เจ็ด หรือหก ที่เราไม่ได้เจอกันเลย ..นายเองก็คงผ่านอะไรมาเยอะใช่ไหม”
“เราทั้งหมดแหละ ชีวิตมันไม่เคยปราณีอยู่แล้ว”
“แล้วมีความสุขขึ้นบ้างไหม”
“..เหมือนพยายามใช้ชีวิตให้รอดไปในแต่ละวันมากกว่า แต่ก็ไม่ได้แย่” ความเงียบปกคลุมเราทั้งคู่ ฉันเพิ่งสังเกตเห็นว่าคืนนี้มีดาว เป็นคืนฟ้าเปิดที่อากาศดีคืนหนึ่งเลยทีเดียว “..ผมดีใจที่ได้เจอคุณอีกครั้ง จริงๆ”
ฉันหันไปมองเขา โดยไม่รู้จะพูดอะไร เลยตอบไปแค่ ..อือ แต่รับรู้ได้ว่าเขาคงรับรู้ถึงความรู้สึกของฉันไม่ต่างกัน
“คำถามที่คุณเคยพูดน่ะ ว่าคุณรักเขาไหม ผมว่าคุณก็คงรู้คำตอบแล้ว ความเศร้าอาจไม่สามารถเป็นหลักฐานของความรักก็จริงอย่างที่คุณพูด แต่คุณก็ไม่ควรดูถูกมัน ไม่ว่าจะความรู้สึกเศร้า เจ็บร้าว หรืออะไรก็ตามแต่ แต่ทุกๆ อย่างที่เกิดขึ้นมันจริงเสมอ และคุณเป็นคนเดียวที่รู้ว่ามันจริงที่สุด อย่าปล่อยให้อะไรหรือเสียงของใครมาทำลายคุณค่าของมันเลย คุณมีสิทธิ์ที่จะเศร้า โกรธ หรืออะไรก็แล้วแต่ และสำหรับผม ผมคิดว่าทุกอย่างมันไม่ได้แยกขาดจากกันขนาดนั้น ในความเศร้าก็เพราะยังมีรัก อันที่จริง คุณไม่จำเป็นต้องนั่งแบ่งแยกความรู้สึกของตัวเองขนาดนั้นด้วยซ้ำ แค่ปล่อยมัน หากยังต้องเดินวนอยู่ก็เดิน ..ไม่เห็นเป็นอะไรเลย”
..นายเองก็เติบโตขึ้น ฉันหวังว่าโลกจะใจดีขึ้นบ้าง
แต่จริงๆ มันก็ไม่ได้ใจร้ายขนาดนั้น.
และเราทุกคนกำลังเติบโต, เราทุกคน.
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in