pairing : jungyunho / kimjaejoong
genre : romance , one-shot , fluff
rate : PG - 13
note : เป็นฟิคที่แต่งตอนปี 2013 เนื่องในโอกาสทงบังครบรอบสิบปีค่ะ
มีตำนานเรื่องหนึ่งที่ถูกเล่าขานสืบต่อกันมาหลายชั่วอายุคนว่าบุคคลใดก็ตามที่ได้ยื่นมือไปสัมผัสฐาน
รูปปั้นของนักบุญเนโปมุก ไม่ว่าจะโดยตั้งใจหรือไม่ บุคคลผู้นั้นจะได้กลับมาเยือน ณ ที่แห่งนี้ – กรุงปราก
คริสต์มาสเมือ 3 ปีที่แล้วเขาเคยมาที่นี่ดินแดนที่ได้ชื่อว่าทั้งลึกลับน่าค้นหาและงดงามไม่แพ้ประเทศใด ๆในโลก เขาจับเครื่องบินไฟล์ทที่เร็วที่สุดโดยไม่มีการศึกษาล่วงหน้า
เขาเป็นช่างภาพอาชีพที่หลงใหลในความงามของธรรมชาติ เขาทำงานในแวดวงนี้มาร่วมสิบปีและ แวบแรกที่ได้เห็นภาพภูมิทัศน์ของประเทศนี้เขาก็สัมผัสได้ด้วยหัวใจว่าหากไม่ได้มา
คงเสียใจไปตลอดชีวิต
พอมานั่งคิดอีกทีเขาก็พบว่ามันคงทั้งน่าเสียดายและน่าเสียใจมาก หากไม่ตัดสินใจมาเยี่ยนเยือน
สถานที่ที่ทำให้เขาได้พบกับ คนสำคัญ
เขาก้าวออกมาจากนกเหล็กลำโต คลี่ยิ้มนิดๆ ให้กับแอร์โฮสเตสลูฟฮานซ่าที่ดูจะชื่นชมในตัวเขาเป็นพิเศษทั้งส่งยิ้มหวานย้อย บริการน้ำส้มน้ำเปล่าอาหารเช้าและผ้าห่มแบบใส่ใจกว่าผู้โดยสารคนอื่น
รอยยิ้มของเขากว้างขึ้นเมื่อคิดเล่นๆว่าถ้าคนสำคัญคนนั้นนั่งมาด้วยกันกับเขาจะมีทีท่าต่อแม่นางฟ้าร้อนฉ่านั่นยังไงกัน
คงแกล้งทำน้ำส้มหก ขอนู่นขอนี่ให้หัวปั่นเล่นแล้วตบท้ายด้วยการจิกตาใส่
คนสำคัญของเขาเป็นคนดี ใจเย็น เรียบร้อยแต่ขี้หึงเป็นที่หนึ่ง
เขาเคยถามว่าทำไมจะต้องหวงอะไรขนาดนั้น แล้วอีกฝ่ายก็ตอบกลับมาพร้อมส่งค้อนให้หนึ่งที
“ก็เพราะพี่คือคนของผมยังไงเล่า!”
เท่านั้นเขาก็รู้ว่าจะไม่ยอมปล่อยมือคนสำคัญคนนี้ไปแน่ๆ
บีนนี่สีแดง คือสิ่งที่เขาเห็นเป็นอย่างแรกตามมาด้วยใบหน้าน่ารักที่เขามองไม่เคยเบื่อสักครั้งต่อให้จะผ่านไปกี่ปีๆ แจจุงยังคงเหมือนเดิมเหมือนเมื่อตอนที่พวกเขาพบกันบนสะพานชาร์ล
วันนั้นหิมะตกโปรยปรายเขายืนอยู่บนสะพาน หลับตาแล้วอธิษฐานต่อหน้ารูปปั้นนักบุญเนโปมุก
เขาลืมตาขึ้นยื่นฝ่ามือสัมผัสฐานรูปปั้นตามที่เคยอ่านในหนังสือว่าถ้าขอพรแล้วลูบที่บริเวณฐาน
คำขอนั้นจะสมตามปรารถนา แต่อีกสิ่งหนึ่งที่เขาไม่รู้คือหากได้สัมผัสจะต้องได้กลับมาเยือน
ยุนโฮหันกลับมาทางด้านหลังพร้อมคว้ากล้องคู่ใจขึ้นบันทึกภาพเก็บไว้
เขายิ้มอย่างพอใจกับรูปภาพที่ได้ก่อนจะค่อยๆเก็บกล้องใส่ในกระเป๋า
ทันในนั้น เขาก็ได้ยิน..เสียงเล็กๆเสียงหนึ่งดังแว่วขึ้นใกล้ๆ
“ขอโทษนะฮะ อันนี้ของคุณใช่ไหม?” สำเนียงภาษาบ้านเกิดทำให้เขาหันกลับไปทันที
และเมื่อสายตาประสานกันก็เหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ
เขายิ้มเขิน เกาท้ายทอยแก้เก้อก่อนจะรับนามบัตรของตัวเองที่เพิ่งทำตกจากร่างเล็กๆตรงหน้า
“ขอบคุณครับ”
อีกฝ่ายยิ้มตอบให้ ดวงตากลมโตนั่นแพรวระยับและริมฝีปากสีแดงสดที่แย้มยิ้มก็ทำให้เขาใจสั่น
“ไม่เป็นไรครับนานๆทีจะเจอคนเกาหลีมาเที่ยวเช็ก”
“เห คุณรู้ได้ไงว่าผมเป็นคนเกาหลี”
“ก็ในนามบัตรเขียนชื่อไว้ตัวใหญ่ขนาดนั้นนิครับ คุณจอง”
“อา นั่นสินะ แล้วก็..เรียกผมว่า ยุนโฮดีกว่าครับ” เขาหัวเราะแห้งนึกโกรธตัวเองที่ทำตัวประหม่าราวกับเด็กหนุ่มแอบปิ๊งพี่สาวข้างบ้าน
มีที่ไหนเพิ่งเจอกันครั้งแรกแต่ก็เล่นแนะนำตัวซะแล้ว ให้ตายเถอะ!
อีกฝ่ายยิ้มให้กับท่าทีเก้อเขิน
“ยังไงก็เที่ยวให้สนุกนะครับ”
ร่างเล็กเอ่ยเสียงนุ่มก่อนจะหันตัวเดินกลับไปอีกทาง ถ้าไม่ติดว่ามีเสียงเรียกของเขาขัดขึ้นซะก่อน
“เดี๋ยวก่อนครับ”
“ครับ..” เขาเอียงหัวไปทางซ้ายนิดหน่อย คิ้วได้รูปนั่นยกขึ้นอย่างสงสัย
ช่างเป็นอาการที่น่ารักเหลือเกิน
ยุนโฮเกาท้ายทอยแก้เขินอีกรอบแล้วตัดสินใจพูดในสิ่งที่เขาไม่เคยคาดคิด
“คุณรู้ชื่อผมแล้วแต่ผมยังไม่รู้ชื่อของคุณเลย ถ้าไม่..”
เขายิ้มสดใสแบบที่ยุนโฮไม่เคยพบเห็นจากใครคนไหน พร้อมกับคำตอบสั้นๆไม่กี่พยางค์
“แจจุง..คิมแจจุง”
ที่ทำให้หัวใจเขาล่องลอย
ยุนโฮย้อนคิดถึงเรื่องราวในอดีตแล้วพาให้ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่จนคนที่ตอนนี้ยืนอยู่ข้างๆ อดจะสงสัยไม่ได้
“เหม่ออีกแล้วน้า” เขาหลุดจากภวังค์เลื่อนมือขึ้นหยิกแก้มคนตัวเล็กอย่างเอ็นดูพร้อมกับความคิดว่าเขาช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เจอกับคนสำคัญคนนี้
“คิดถึงตอนที่เราเจอกันครั้งแรกน่ะ”แจจุงหัวเราะ ก่อนจะเขย่งตัวขึ้นจุ๊บแก้มสากของคนตัวโตแล้วตบท้ายด้วยการอมยิ้มอย่างน่ารักแล้วเอ่ยต่อเสียงเจื้อยแจ้ว
“ตอนนั้นพี่เฉิ่มมากเป็นมุกจีบแบบที่ม่ได้เรื่องที่สุดเลย” คราวนี้เป็นฝ่ายยุนโฮหัวเราะบ้างคนตัวโตก้มหน้าลงจนปลายจมูกโด่งเคล้าเคลียที่แก้มขาว เอ่ยเสียงพร่าที่ทำให้ปรางขาวขึ้นเป็นสีเรื่อ
“พูดเหมือนมีคนมาจีบเยอะงั้นล่ะ”
แจจุงหน้าแดงปากก็แดง ปลายจมูกก็แดงเล็กๆเพราะอากาศหนาว แถมบีนนี่ที่สวมอยู่ก็สีแดง
เหมือนซานต้าตัวน้อยเลย ยุนโฮอมยิ้มหัวเราะเบาๆ กับความคิดฟุ้งซ่านก่อนจะจับจูงฝ่ามือบางให้เดินไปพร้อมกัน
“คริสต์มาสแล้วอยากได้อะไรไหม”
เขาถามก่อนจะหยุดเดินข้างๆรูปปั้นนักบุญเนโปมุก จับมือเล็กๆนั้นแนบแน่นพร้อมทอดมองไกลไปยังแม่น้ำที่ไหลเอื่อย แจจุงเงียบไปพักหนึ่งร่างเล็กกระชับฝ่ามือที่ถูกกอบกุมแน่นขณะหงายหน้าขึ้นมองฟ้า
“ผมอยากให้พี่ย้ายมาอยู่ที่นี้ เราจะได้เจอกัน..ทุกวัน”
น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาราวกระซิบแต่คนฟังกลับได้ยินถึง หัวใจ
“แจจุง...”เขาพูดไม่ทันจบประโยคอีกฝ่ายก็เอ่ยขัดขึ้นมาเสียก่อน
“ผมรู้ว่าพี่ต้องทำงานเราเลยไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน”
“...”
“เวลาเห็นคู่รักคู่อื่นเดินไปไหนมาไหนด้วยกันผมก็เลยอิจฉาทั้งๆที่จริงผมควรดีใจด้วยซ้ำที่วันนี้ ณ ตอนนี้มีพี่คนดียืนอยู่ข้างๆ” ท้ายประโยคเขาละสายตาจากท้องนภาสู่ใบหน้าของคนรัก
และรักหมดใจ
“พี่มีค่าเหลือเกินสำหรับผม ตอนแรกผมก็ไม่รู้ตัวหรอกแต่วันนึงเพื่อนผมโทรมาหาร้องไห้แล้วบอกว่าคริสต์มาสปีนี้แฟนเขาไม่ยอมกลับเกาหลี เพราะมีคนใหม่..”
“...”
“วินาทีนั้นผมก็ตระหนักได้ว่าผมโชคดีขนาดไหนที่ได้รู้จักพี่ และมีพี่เคียงข้าง” เขาเว้นจังหวะทอดยิ้มอ่อนโยนแบบที่ทำให้คนมองอบอุ่นทุกครั้งที่เห็น “เสมอมา”
ยุนโฮโอบร่างคนรักใว้ในอ้อมกอดแน่นเลื่อนริมฝีปากจูบลงบนหน้าผากเนียนแผ่วเบา
“ขอบคุณนะเด็กดื้อ ขอบคุณที่รักกันแล้วก็..รู้ตัวไว้ว่าแจจุงเป็นคนสำคัญเป็นคนที่พี่รัก ‘ตลอดมา’ ”
“และเสมอไป”ยุนโฮพูดเป็นคำสุดท้ายพร้อมกับ.. แจจุง
ทั้งยุนโฮและแจจุง ยืนอยู่ท่ามกลางแสงไฟและเสียงเพลงในคืนวันคริสต์มาสที่กรุงปราก
ผู้คนพากันเฉลิมฉลองบ้างมาเป็นคู่ เป็นครอบครัว หรือแม้แต่คนเดียว แต่สิ่งที่ทุกคนสัมผัสได้ด้วยความรู้สึกเดียวกัน คือ ความสุข
เพราะมันเป็นเทศกาลที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มเปื้อนหน้าแม้กระทั่งท้องฟ้าก็ยังเป็นใจเมื่อดวงจันทร์อวดโฉมพร้อมดวงดาวบริวารพราวระยับ ยุนโฮกอดแจจุงแน่นตอนที่มองเห็นดาวตก พวกเขาหลับตา อธิษฐานและภาวนาให้เป็นจริง
และเมือลืมตาขึ้นภาพใบหน้าของกันและกันก็อยู่ห่างเพียงคืบ
เขานึกขอบคุณพระเจ้า พรหมลิขิตหรือสิ่งใดก็ตามที่ทำให้ได้เจอะเจอ
จองยุนโฮซึ้งใจเหลือเกินเมื่อพบว่าแต่ละวันมีค่าเพียงใด เมื่อได้อยู่เคียงข้าง “คนสำคัญ”
-ตลอดมาและเสมอไป-
always.
______________________________
ตลอดมาและเสมอไปเนาะยุนแจเนาะ (:
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in