เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่นอ่าน-คิด-เขียน
5 เรื่องของเมล์



  • ภาพโดย บุณยานุช พินิจนิยม

    เรื่องโดย นารีรำพัน

    นิสิตอักษรศาสตร์ชั้นปีที่ 3  เอกภาษาไทย โทภาษาอังกฤษ
    ผลงานลำดับที่ 5 ในคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"  อ่านที่มาของคอลัมน์ได้ที่  http://minimore.com/b/F5RyR/1

              เสียงเร่งเครื่องดังกระหึ่มปลุกฉันตื่นเฉกเช่นทุกวัน ความสั่นสะเทือนทำให้ฉันตื่นได้ไม่ยาก แต่กระนั้นฉันก็ยังไม่อยากลืมตาขึ้นมา เมื่อคืนฉันนอนดึกเพราะพ่อกลับเข้าอู่เป็นคนสุดท้าย ภาษาชาวรถเมล์เราเรียกว่า  “บ๊วย” ฉันได้นอนพักเพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ ก็วันใหม่แล้ว


    ภาพจุดไฟแดงเต็มถนนกลายเป็นภาพชินตาสำหรับทุกเช้าและเย็น ในชั่วโมงเร่งด่วนที่คนแห่กันไปทำงานและแห่กันกลับบ้านช่างเป็นชั่วโมงที่ทรมานสำหรับฉัน เช้านี้ก็ไม่ต่างจากทุกวัน ผู้โดยสารปานเบียดแป้งอัดแน่นห่างกันเพียงลมหายใจ เมื่อถึงป้ายถัดไป มวลมหาประชาชนก็แก่งแย่งเบียดเสียดกันขึ้นรถราวกับว่านี่คือเรืิอโนอาห์ลำสุดท้าย สัญชาตญาณเห็นแก่ตัวของมนุษย์ที่ต้องการเอาตัวรอดถูกปลดปล่อย น้ำใจเหือดแห้งเพราะความร้อนใจ


    “เขยิบเข้าในหน่อยค่าาาาา แบ่งๆ กันไปจ้าาา” เสียงตะโกนลงท้ายลากยาว แต่ไม่ได้ผลเท่าไหร่นัก


              สำหรับผู้โดยสาร การเดินทางในกรุงเทพฯ คงหนีไม่พ้นคำว่าเบื่อ ฉันได้ยินเสียงถอนหายใจกับหน้าตาไม่สบอารมณ์เป็นประจำ


             ภารกิจของฉันคือการแข่งกับคันอื่นให้ไปถึงที่หมายให้ไวที่สุด ส่วนภารกิจของพ่อกับแม่คือการรับผู้โดยสารให้มากที่สุดต่อรอบ จะได้คุ้มกับค่าอาหารของฉัน ส่วนความปลอดภัยน่ะหรอ ฉันคิดว่าฉันตัวใหญ่พอที่คันอื่นจะไม่กล้าหือนัก ฉันค่อนข้างได้เปรียบน่ะ


    ฉันเป็นนักซิ่ง ฉันชอบแซงขวาออกเลนนอกสุดแล้วปาดซ้ายเข้าป้ายอย่างกระชั้น เพราะพวกรถเล็กมันวอแวกันเยอะนัก บางครั้งถ้าเจอเพื่อนบนถนน เราก็แข่งกันซิ่ง พอติดไฟแดง พ่อจะเปิดประตูลงไปคุยกับเพื่อนบ้างให้หายเบื่อ


    พวกที่น่ารำคาญคือรถเล็ก พวกนั้นชอบขวางทางรถใหญ่ อย่างมอเตอร์ไซค์ มันช่างน่ารำคาญเสียจริงๆ นึกดูเหมือนมีมดมาไต่ขาน่ะ อีกประเภทคือรถสีหรือที่เขาชอบเรียกว่า “แท็กซี่” พวกนี้ชอบมาขวางป้ายประจำทางทำให้ฉันเข้าไปรับผู้โดยสารไม่ได้ ฉันส่งเสียงก่นด่าไปเสียยาว “ปี๊นนนนนนนนนนนนน”


    ชีวิตของฉันคือการเดินทาง ฉันเดินทางในเส้นทางเดิมๆ ทุกวัน มันก็ออกจะน่าเบื่อนิดหน่อย แต่อย่างน้อย ภาพถนนตรงหน้าฉันมันก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามช่วงเวลา บางวันถนนก็แออัดไปด้วยเพื่อนร่วมทางนับร้อย บางวันถนนก็โล่งจนเห็นทิวทัศน์สวยงามอย่างที่ไม่เคยได้เห็นเวลารถติด ถนนบางเส้นสวยเวลากลางวัน แต่ถนนบางเส้นก็สวยเวลากลางคืน


    ถ้าถามว่าฉันเหนื่อยไหม ฉันจะตอบว่าเหนื่อย แต่ถ้าฉันเหนื่อยจนไปต่อไม่ไหว พ่อก็จะพาฉันไปเติมพลัง


    “เติมเท่าไหร่” เด็กปั๊มเดินมาถามที่กระจกข้างคนขับ  


    “พันนึง” พ่อตอบ


    ฉันกินก๊าซธรรมชาติเป็นประจำ อยากจะลองเมนูอื่นๆ อย่างดีเซลที่ฮอตฮิตกันก็ไม่ได้ พ่อบอกเรากินได้แค่เมนูนี้เท่านั้นถึงจะแข็งแรง


    ใช่ว่าฉันจะเติมพลังเมื่อไหร่ก็ได้ ต้องส่งผู้โดยสารจนหมดคันก่อนถึงจะแวะเข้ามาหาอะไรลงท้องได้ที่ปั๊มนี่แหละ ไม่งั้นพ่อจะโดนผู้โดยสารร้องเรียนได้


    ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้า ความมืดปกคลุมทั่วทั้งถนน ฉันจึงเปิดไฟนำทาง มันทำให้ฉันแสบตานิดหน่อย แต่ก็ชินเสียแล้ว สิ่งนี้จำเป็นต่อการใช้รถใช้ถนนยิ่งนัก ฉันเลี้ยวเข้าบ้านที่พ่อเรียกว่า‘อู่’ เพื่อพักผ่อน ก่อนจะออกไปซิ่งอีกครั้งในรอบสุดท้ายของวันนี้


    ช่วงเวลาพักนี่เป็นช่วงแห่งการพบปะสังสรรค์ เข้ามาถึง แม่ก็ต้องเอาใบกระดาษไปให้ป้าที่ออฟฟิศ ส่วนพ่อก็จะพาฉันไปที่พักประจำของฉัน แล้วพ่อก็จะไปร่วมวงกับเพื่อน ฉันเห็นขนมนมเนยวางเรียงรายบนโต๊ะกลม ข้างๆ กันเป็นกระติกน้ำพลาสติกสีแดงของพ่อ และมีกระติกน้ำลักษณะคล้ายๆ กันหลากสีวางอยู่อีก2-3ใบ ตรงกลางโต๊ะที่กำลังเป็นจุดสนใจของทุกคนคือเกมกระดานบนโต๊ะหินอ่อน เสียงเชียร์ดังอยู่อย่างต่อเนื่องเป็นสัญญาณบอกว่าใกล้จะรู้ผลแพ้ชนะแล้วสิ


    นาฬิกาบอกเวลา 21.00 น.


    “เบอร์ 23 ออกได้แล้ว” เสียงป้าตะโกนออกจากออฟฟิศ


              พ่อเดินมาหาฉันอย่างหัวเสีย เพราะเกมกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม แม่หยิบกระบอกเงินสีชมพูคู่ใจดังก๊องแก๊งมาแต่ไกล


              ควันดำลอยออกจากก้นฉันสองสามครั้งเมื่อพ่อปลุกให้ตื่นจากการพักผ่อน อีกรอบเดียวก็จะเสร็จสิ้นภารกิจสำหรับวันนี้แล้ว ฉันเคลื่อนตัวออกจากบ้าน รู้ว่าพ่อคงอยากเลิกงานแล้วกลับบ้านนอนเต็มทน ฉันก็เหมือนกัน เราจึงเร่งทำเวลาในรอบสุดท้าย


              ฉันลัดเลาะถนนเล็กๆ นามว่า ‘ชักพระ’ อย่างรวดเร็วและชำนาญ นับร้อยพันรอบได้ที่ฉันผ่านถนนเส้นนี้ ให้หลับตายังรู้ว่าต้องเลี้ยวขวาหน้าสำนักงานเขต แล้วเลี้ยวซ้ายตรงทางรถไฟ เวลาดึกแล้วส่งผลให้ถนนโล่งเป็นใจให้ฉันซิ่งได้เต็มที่


              3

              2

              1


             ไฟเขียวเปลี่ยนเป็นไฟเหลืองและแดงในที่สุด ฉันเคลื่อนตัวมาเทียบเส้นคันแรก ตามมาด้วยเสียงฝืดๆ ของเครื่องยนต์ข้างๆ ฉันเหลียวไปพบลุงรถกระบะสีทึบที่ไม่แน่ใจว่าสีอะไรระหว่างสีสนิมกับสีเทา ดูลุงแก่นั่นสิ ลุงผายลมเสียงดังพร้อมๆ กับที่ควันดำลอยออกมาจากท่อ ลุงคงแก่มากแล้ว อีกไม่นานลุงคงต้องถูกแยกชิ้นส่วน ไม่ก็โดนปล่อยทิ้งร้างจนสนิมขึ้น


             ชีวิตของรถเมล์อย่างฉัน บั้นปลายก็ไม่ต่างจากชีวิตลุงรถกระบะ พวกเราก็เป็นเพียงเศษเหล็ก พังก็ซ่อม ย้อมสีใหม่จนสวย หรือแค่แยกส่วนไปใช้ประโยชน์อื่น ชีวิตเราไหลไปเรื่อยๆ ตามที่มนุษย์อยากใช้ประโยชน์จากเรา ฉันไม่เคยกังวลอะไร เพราะฉันเป็นอมตะ ฉันไม่สลายหายไปตามกาลเวลา


            ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียวแล้ว ฉันเคลื่อนตัวออกอย่างเต็มที่เพราะอยากกลับบ้านนอนเต็มทน จังหวะนั้นเอง ฉันเห็นแสงไฟซีนอนสว่างจ้าทางขวา มองไม่เห็นว่าใครหรือรถคันเล็กยี่ห้ออะไร


    “โครม!!!”


    รู้ตัวอีกทีพ่อดึงฉันจนตัวโยน แต่ไม่ทัน ฉันรู้สึกเหมือนโดนชกที่แก้มข้างขวา ดั้งยุบจนเกือบจะหัก ตอนนี้สมองฉันมึนงงจนไม่สามารถประมวลเหตุการณ์ใดๆ ทั้งสิ้น


    “กรี๊ด รถชน”

    “เฮ้ย มาช่วยเร็ว”

    “มีเด็กด้วย!!!”

    “โทรเรียกเลย มึงไปโทรเดี๋ยวกูดูเอง”

    “โอย..พี่ช่วยหนูด้วย”


              หลากเสียงจากหลายทิศทางทำให้ฉันพอจะเดาเหตุการณ์ได้ ฉันไม่แน่ใจว่ามีกี่ชีวิตต้องสังเวย ฉันค่อยๆ ตั้งสติแล้วมองหาพ่อกับแม่ ไม่มีใครเป็นอะไรเพราะฉันตัวใหญ่และแข็งแรงพอจะต้านทานแรงจากรถเล็กได้ โชคดีที่ผู้โดยสารบนรถมีเพียงไม่กี่คนเพราะเป็นช่วงกลางคืน  แต่อีกฝั่งนั้น ดูเหมือนจะสาหัส ฉันเห็นรถมอเตอร์ไซค์หัก ชิ้นส่วนกระเด็นแยกออกจากกัน ชายวัยรุ่นไถลไปไกลถึงสามเมตร ร่างจมอยู่ในกองเลือดสีเข้ม ไร้วี่แววของการขยับ ไร้เงาของหมวกกันน็อค ส่วนหญิงสาววัยรุ่นร้องครวญขอความช่วยเหลือด้วยความเจ็บปวด ขาข้างซ้ายของเธอดูเหมือนจะบิดผิดรูปไป เสียงร้องไห้จ้าของเด็กเล็กที่ถูกแรงกระแทกกระเด็นไปอีกทิศทางมีรอยถลอกตามแขนขาและใบหน้าเปื้อนเลือด


             “มันฝ่าไฟแดง” พ่อร้องอย่างหัวเสียและตกใจกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้น


             เสียงไซเรนรถตำรวจและรถพยาบาลค่อยๆ ตามมาภายในเวลาไม่นาน ฉันไม่รู้ว่าพ่อจะโดนอะไรบ้างจากเหตุการณ์นี้ ฉันเห็นพ่อช็อคเมื่อเห็นว่าร่างชายวัยรุ่นไม่มีการตอบสนอง ไม่ว่าพ่อจะผิดหรือไม่ตามกฎหมายจราจร แต่หากมีคนตาย อย่างไรก็คงปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเป็นผู้เกี่ยวข้องในอาชญากรรมนี้


            ผู้คนชลมุนวุ่นอยู่กับผู้บาดเจ็บ ไม่มีใครมาดูแลเป็นห่วงเป็นใยฉันหรอก สสารไม่มีวันหายไป ดั้งยุบก็ให้ช่างเคาะ ส่วนไหนพังก็ซ่อมเสีย ไม่นานฉันก็เป็นฉันที่หล่อกว่าเดิม แต่สำหรับคนพวกนั้น อาจมีคนที่ไม่ตื่นอีกแล้ว และบางคนก็คงยากที่จะซ่อมแซมให้กลับมาเป็นอย่างเดิม ทั้งร่างกายและจิตใจ


              เวลาผ่านไปหลายชั่วโมง สถานการณ์คลี่คลายลงแล้ว พ่อพาฉันกับแม่กลับบ้าน ส่วนเด็กคนนั้น ฉันไม่รู้หรอกว่า ใครจะพาเขากลับบ้าน...




    กว่าจะเป็นงานเขียน “เรื่องของเมล์”


    แรกเริ่มเราได้โจทย์ว่า “น่าเบื่อ” สิ่งที่เข้ามาในหัวแวบแรกคือสิ่งที่บางกอกเคี่ยนเบื่อหน่ายที่สุดนั่นก็คือ ‘รถติด’ ปัญหาเรื้อรังของชาวกรุง โดยเฉพาะมนุษย์ใช้บริการขนส่งสาธารณะอย่างเราได้สัมผัสมันบ่อยมากที่สุด แต่ไอเดียนั้นอาจจะง่ายไป ครูลองให้โจทย์เพิ่มว่าให้เขียนในมุมมองของผู้เล่าอื่นแทน ‘เรื่องของเมล์’ เราใช้ประสบการณ์นั่งรถโดยสารประจำทางมากว่า 10 ปี บวกกับความสะเทือนใจเวลาเห็นคลิปอุบัติเหตุบนท้องถนน หวังใจว่าผู้ใช้รถใช้ถนนจะระมัดระวังกันมากขึ้น คิดถึงตัวเองมากขึ้น และนึกถึงคนอื่นกันมากขึ้น


    **ลิขสิทธิ์งานเขียนและภาพถ่ายเป็นของผู้สร้างผลงาน**

    --------------------------

    ติดตามคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in