เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่นอ่าน-คิด-เขียน
8 Eiffel – I failed – I felt
  • โดย เปรี้ยวจิ้มเกลือ

    นิสิตชั้นปีที่ 4 เอกภาษาไทย โทภาษาอังกฤษ อักษรฯ จุฬาฯ

    ผลงานลำดับที่ 8 ในคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"  อ่านที่มาของคอลัมน์ได้ที่  http://minimore.com/b/F5RyR/1


    ครั้งหนึ่ง ผู้คนต่างพากันประณามว่าฉันคือ ”รอยบากอันหน้าเกลียดบนใบหน้าของปารีส” ฉันเดาว่าพวกเขาจะไม่มีทางพูดเช่นนั้นออกมา หากรู้ว่าฉันเองก็มีความรู้สึก มีหัวใจไม่ต่างจากมนุษย์คนไหนๆ


    https://static.pexels.com/photos/739407/pexels-photo-739407.jpeg

    หมุดกว่าสองล้านตัว โครงเหล็กน้ำหนักเจ็ดพันตันและความสูงเท่าตึกระฟ้า 81 ชั้น คือร่างทางกายภาพของฉันส่วนจิตวิญญาณและความอ่อนช้อยของฝีมือช่างที่บรรจงสร้างฉันขึ้นมาคือลมหายใจที่สลักเสลาอยู่ในร่างนั้นอีกทีหนึ่ง เดิมทีเดียว ฉันไม่ใคร่จะพอใจในรูปลักษณ์ขอตัวเองสักเท่าไหร่นายช่างใหญ่เขียนแบบให้ปลายยอดของฉันเว้าแหลมคล้ายกำลังง้างคันธนูหากมองจากฐานหอคอยขึ้นไปยังส่วนยอดสุดจะดูละม้ายคล้ายลึงค์นั่นแหละคือส่วนที่ฉันไม่ชอบ คล้ายว่าช่างจะสร้างฉันขึ้นมาเพื่อขืนใจให้ฉันเสพสมกับท้องฟ้าก็ไม่ผิดนักแต่ไม่ว่าจะหอคอยหรือตึกสูงที่ใดในโลกก็ล้วนดูคล้ายลึงค์ไปหมด ไม่ว่าจะหอเอนปิซาโตเกียวทาวเวอร์ หรือแม้แต่วัดอรุณก็เถอะ 

    ในช่วงแรกที่ฉันสร้างเสร็จและตั้งตระหง่านเป็นหอคอยประจำเมืองอย่างเต็มภาคภูมิชาวเมืองพากันก่นด่าในรูปลักษณ์ของฉันที่เป็นเพียงโครงเหล็กเปลือยๆ เหมือนยังสร้างไม่เสร็จดี(ทั้งที่ในตอนนั้นฉันคิดว่าตัวเองดูโมเดิร์นที่สุดในหมู่หอคอยร่วมยุคเดียวกันแท้ๆ)นายกเทศบาลซึ่งเป็นคู่กัดกับนายช่างใหญ่ขนานนามฉันว่าเป็นรอยบากบนในหน้าของปารีสที่ไม่มีใครต้องการคำวิจารณ์อันแสนเศร้านั้นกัดกร่อนตัวฉัน ย้อมให้ภายในใจฉันเศร้าหมองความเจ็บปวดบาดลึกลงไปกว่าชั้นหินแข็งซึ่งเป็นส่วนลึกที่สุดยามลงคานเมื่อแรกสร้างเสียอีกไม่เพียงแต่รูปโฉมอันล้ำสมัยที่คนหัวเก่าครึยากจะรับไหว แต่ปัญหายังอยู่ที่สถานที่ตั้งของฉันซึ่งคนส่วนใหญ่เห็นว่าผิดที่ผิดทางเพราะริมแม่น้ำแซนเป็นหนึ่งในย่านพักผ่อนหย่อนใจที่ได้ชื่อว่ารื่นรมย์ที่สุดแห่งหนึ่งของปารีสการมีหอคอยรูปทรงประหลาดมาตั้งอยู่กลางสวนสงบใจกลางเมืองยังเป็นการบดบังทัศนียภาพโดยที่ฉันไม่เคยรู้มาก่อน

    ฉันเพิ่งจะมาตระหนักได้ว่าตัวฉันเป็นรอยบากบนใบหน้าของเมืองนี้อย่างไรก็ตอนที่เพิ่งสังเกตเห็นแสงอาทิตย์ยามสายทอดกายลงบนตัวฉันและพาดผ่านพื้นหญ้า เงาที่ทอดลงบนนั้นเกิดเป็นเส้นริ้วๆตัดขวางไปมากับเส้นดิ่งที่ทิ้งตัวไม่เป็นระเบียบ ทั้งยังบิดๆ เบี้ยวๆตามแนวโค้งเว้าของโครงสร้างหอคอย ช่างน่าเกลียดเหลือเกินมันเป็นเงาชนิดที่ไม่สามารถบังแสงแดดหรือให้ร่มเงาต่างไม้ใหญ่ได้ แถมยังสร้างความรำคาญตารำคาญใจแก่หนุ่มสาวที่มาพลอดรักกันในสวนนี้เสียอีกเพราะบางครั้งแสงที่ตกกระทบจากตัวฉันไปยังใบหน้าของพวกเขาทำให้เกิดเป็นเงาเหมือนกับรอยบากจริงๆ

    และนั่นทำให้เขื่อนน้ำตาของฉันพังทลายลงมา

    นานวันเข้า ความเศร้าหมองจากภายในที่เกาะกุมหัวใจของฉันมานานเริ่มกัดเซาะออกมาถึงด้านนอกจนผู้คนพากันสังเกตเห็น คราบสนิมเกรอะกรังและคราบสีหลุดร่อนไม่ได้รับการบูรณะโครงเหล็กภายในเริ่มผุเป็นกลวงไม่ต่างจากจิตใจของฉันความเพิกเฉยละเลยเป็นสิ่งเลวร้ายที่สุดสำหรับอนุสรณ์สถานที่สร้างขึ้นมาเพื่อสิ่งนั้นการระลึกถึงมันน่าเศร้าที่สุดตรงที่ผู้คนกลับจดจำฉันในฐานะเครื่องผูกสัมพันธ์และความเห็นพ้องในเรื่องความเกลียดชังในรูปลักษณ์ภายนอกที่ฉันไม่ได้เป็นผู้เลือก

    แต่อย่างที่ใครๆต่างก็บอกว่าความงามเป็นเรื่องของมุมมองผ่านยุคสมัย ฉันอาจเกิดขึ้นมาก่อนกาลไปราวร้อยกว่าปีศิลปะยุคใหม่เข้ามาแทนที่ของเก่าซึ่งเป็นศิลปะแห่งตรรกะและเรขาคณิต ความอ่อนช้อยด้วยรูปทรงเหล็กดัดโค้งเว้าคล้ายเรือนร่างของอิสตรีเป็นที่เลื่องลือภายในเวลาไม่นานหลังยุคปฏิวัติศิลปะการเปลี่ยนผ่านและการเปลี่ยนแปลงมาเยือนแผ่นดินปารีสพร้อมๆ กับที่อื่นๆ ในโลกสายตาของผู้คนที่จ้องมองฉันเริ่มเปลี่ยนไปทั้งคนนอกและคนในความอ่อนโยนในดวงตาโบยบินเข้ามาแทนที่ดวงตาแห่งเกลียดชังที่หวังจ้องจับผิดความสวยงามเริ่มบรรเลงบทเพลงของมันในเวลาที่ถูกที่ควรคงจะจริงที่ว่าความหยาบกระด้างสามารถลบล้างได้ด้วยกาลเวลา

    https://www.pexels.com/photo/low-angle-photo-of-eiffel-tower-699466/


    จากหอคอยรูปร่างประหลาดที่เป็นรอยบากลึกในใจคนปารีสเพียงไม่นานหลังจากนั้น เมื่อผู้คนได้ถอดดวงตาคู่เก่าออก และสวมใส่ดวงใจลงไปในนั้นพวกเขาพากันสรรเสริญและสถาปนาฉันให้เป็นพยานรักในทางพฤตินัยแก่คู่รักนับล้านหนุ่มสาวที่ทุ่มกำลังทรัพย์มหาศาลเพียงเพื่อจะมาแสดงความรักและพลอดพร่ำคำหวานแก่กัน ณที่แห่งนี้ ที่ซึ่งพวกเขาฝากคำมั่นและสัญญารักไว้กับหอคอยเหล็ก เพื่อหวังให้ฉันเป็นสักขีพยาน(สะพาน แม่น้ำ และสนามหญ้า ก็ร่วมเป็นพยานด้วยเช่นกัน)

    จนมาถึงวันนี้ ฉันจึงได้รู้ว่าการถอดสลักแห่งความผิดหวังและความรู้สึกไร้คุณค่าภายในใจไม่ใช่เรื่องใหญ่หรือยากเย็น ทว่าต้องใช้เวลาเยียวยาวรอยบากนั้นสักหน่อยรอยบากบนใบหน้าของเมืองปารีสคงไม่ลึกเท่ารอยแผลที่ฝังลงในใจของช่างฝีมือผู้บรรจงสร้างฉันขึ้นมาหรอก

    น่าเสียดาย พวกเขาควรจะมาได้เห็นความสำเร็จนี้และสวนกลับนายกเทศบาลตัวดีนั่นเสียให้สาสม


    กว่าจะเป็นงานเขียน...Eiffel – I failed – I felt

           ฉันจับฉลากได้คำว่า "ความงาม" ภาพแรกที่เด้งขึ้นมาในหัวเป็นภาพแรกๆ ไม่ใช่ภาพนางงามจักรวาล เครื่องสำอาง หรือเครื่องประดับ แต่เป็นภาพตึกรามสวยๆ และภาพซอยลึกลับที่มีสวนสงบตั้งอยู่ใจกลาง แปลกที่ความรู้สึกและการรับรู้เรื่อง 'ความงาม' ของฉันมัักจะผูกอยู่กับสถานที่และสถาปัตยกรรมที่ไม่มีชีวิตจิตใจ สุดท้ายฉันจึงเลือกภาพหอไอเฟลเพื่อแทนคำว่า 'ความงาม' ที่เป็นรูปธรรมมากที่สุดในตอนนั้นที่พอจะนึกออก
           ตอนที่รู้ว่าจะต้องเขียนเพื่อให้เกี่ยวข้องกับภาพหอไอเฟล ฉันเขียนเกี่ยวกับเพื่อนรักสองคนที่ต้องพลัดพรากโดยมีหอไอเฟลเป็นฉากหลัง หอไอเฟลในตอนนั้นไม่ได้สลักสำคัญ ไม่มีบทบาท ไม่ต่างอะไรกับเสาไฟฟ้าหรือท่อประปาที่เกะกะอยู่ตามพื้น แต่พอได้โจทย์ว่าต้องเขียนเรื่องที่เกี่ยวกับคำที่ตัวเองจับฉลากได้ และสอดคล้องกับภาพที่เลือกมา ฉันกุมขมับไปสามตลบ เพราะเงื่อนไขสำคัญคือต้องเป็นเสียงที่มาจากคนอื่น เป็นความคิดของเพื่อนๆ ร่วมคลาสที่มาแชร์ความรู้สึกเกี่ยวกับหอไอเฟล บ้างบอกว่าไม่มีประสบการณ์ร่วมกับสถานที่แห่งนี้เลย มันไม่มีความหมายสำคัญอะไร จะมีอยู่หรือไม่มีก็ได้ บ้างว่าหอไอเฟลคือที่ที่เธอผูกพันตอนไปเรียนแลกเปลี่ยนสมัยมัธยมและหวังใจเสมอว่าจะได้กลับไปเยือนที่แห่งนั้นอีกครั้ง 
           ฉันลองเก็บมาคิดดูว่า คนหลายคนอาจผูกพันกับหอไอเฟลในแง่ที่เป็นฉากหลังของเหตุการณ์สำคัญหรือน่าประทับใจในชีวิต หรือบางคนไม่เคยมีประสบการณ์ร่วมเลย ฉันเลยลองคิดย้อนกลับมุมมองดู ว่าถ้าเขียนด้วยน้ำเสียงของหอไอเฟลดูบ้างล่ะ ทำให้เรื่องทั้งหมดมาจากมุมมองของหอไอเฟล สร้างน้ำเสียงและใส่ชีวิตจิตใจลงไป เป็นประสบการณ์ที่แปลกดีเพราะจะให้ตึกพูดได้ก็ว่าแปลก จะให้พูดเรื่องอะไรก็ยิ่งคิดหนัก คอนฟลิกหนึ่งของหอไอเฟลที่มีมาทุกยุคทุกสมัย เถียงกันไม่จบไม่สิ้น คือเรื่อง 'ความงาม' ว่าแท้จริงแล้วเจ้าตึกเหล็กที่ว่านี่มันสวยสมคำร่ำลือและคุ้มค่าหรือไม่ที่จะบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปเยี่ยมชม
         จากนั้นจึงลงมือหาข้อมูลชีวประวัติของหอไอเฟล ฉันพยายามคิดว่าถ้าไอเฟลเป็นคน จะเป็นผู้ชายหรือผู้หญิง ต้องเป็นคนปากจัด ขี้น้อยใจ ช่างวิจารณ์เหมือนคนฝรั่งเศสไหม ฉันจึงเขียนงานชิ้นด้วยความรู้สึกตื่นเต้นที่จะได้ลองเอาหัวใจของมนุษย์ลงไปใส่ในสิ่งก่อสร้างที่ไม่มีความรู้สึก มันเป็นความรื่นรมย์ขณะเขียนที่ฉันยังจำความรู้สึกเหล่านั้นได้ดีทีเดียว :)

    **ลิขสิทธิ์งานเขียนและภาพถ่ายเป็นของผู้สร้างผลงาน**

    --------------------------

    ติดตามคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"


เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in