เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่นอ่าน-คิด-เขียน
1 โดดเดี่ยวกลางดงตอ
  • โดย ดาวไร้แสง

    ปี 3 เอกภาษาอังกฤษ โทภาษาศาสตร์
    ผลงานลำดับที่ 1 ในคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น"  อ่านที่มาของคอลัมน์ได้ที่  http://minimore.com/b/F5RyR/1
    ความเงียบ สายลม แสงตะวัน ทุ่งกว้าง ตอไม้ ชีวิต
    เงาทอดยาวของต้นไม้ใบหญ้าจากแสงอรุณรุ่งอันอบอุ่น ความรู้สึกชื่นเย็นของผืนดินที่ชุ่มหยาดน้าค้าง บรรยากาศที่ไร้ผู้คน ไร้เสียงแตรรถยนต์ ไร้อารมณ์ฉุนเฉียว ไร้ความวุ่นวาย ให้ความสงบที่สอดแทรกไปด้วยเสียงแห่งชีวิต เสียงนกดุเหว่าร้องดังเจื้อยแจ้วมาแต่ไกล กาเหว่า ๆ ๆท่วงทำนองที่ต้นหญ้าพลิ้วไหวให้ภาพของวงดนตรีที่กำลังบรรเลงเพลงเริงร่า ในขณะที่ตอไม้เรียงรายริมชายป่าที่อยู่ไกลออกไปกลับให้ภาพของร่องรอยเถ้าถ่านจากไฟโหมไหม้เมื่อไม่นาน ภาพดังกล่าวราวกับภาพสะท้อนของโลกคู่ขนาน โลก(ไร้)ชีวิต   อย่างไรก็ดี หากจับภาพเข้าไปใกล้ ๆ ก็จะพบกับชีวิตหนึ่งที่เพิ่งเริ่มต้น ต้นพืชต้นน้อยค่อย ๆ แทรกตัวผ่านตอไม้ผุพัง

    ที่มาภาพ: pixabay.com
    แรกเริ่มเดิมที ในชั้นเรียน Thai Prose Writ "ดาวไร้แสง" ผู้เขียน นำภาพ "ตอไม้ที่มียอดอ่อนผลิใบ" มานำเสนอในหัวข้อ "งาม"  

    เมื่อฉันจำความได้ รอบตัวฉันก็รายล้อมไปด้วยตอไม้ที่โดนตัดเหี้ยน มองซ้าย มองขวา ก็ตอไม้ ตอ ตอ ตอเต็มไปหมด ฉันรู้สึกเดียวดาย สงสัยว่าเหตุใดฉันจึงอยู่ตรงนี้ ฉันอยู่เพื่อสิ่งใด หากแต่มองออกไปสุดแนวขอบฟ้า ไกลออกไปเท่าที่วิสัยจะมองเห็น ฉันเห็นแสงสีทองเจิดจ้า สีเขียวริบหรี่ ความมืด และสุสานตอไม้ ครั้งแรกฉันไม่ทราบว่าแสงที่สัมผัสได้นั้นคืออะไร แต่เมื่อเวลาหมุนเปลี่ยนเวียนไป ครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันก็พอจะเดาออก แสงสีทองนั้นคือแหล่งพลังงานของฉัน ฉันไม่สามารถเดินหาอาหารเองได้ แต่คราวใดที่แสงที่ว่านั้นสาดส่องมาบนตัวฉัน ฉันก็รับรู้ได้ถึงความอบอุ่นและกระแสพลังที่แผ่ซ่านไปตามท่อลำเลียง เส้นใบ ฉันจึงรู้ว่า แสงตะวันคืออาหาร ส่วนแสงริบหรี่ไกลออกไปสุดลูกหูลูกตานั้น ฉันเดาว่าคงจะเป็นญาติพี่น้องของฉัน เพราะใบของฉันก็มีสีเขียว ส่วนสีดำที่ใกล้เข้ามาท่ามกลางตอไม้ที่โดนตัดกุดสุดผืนดิน จนถึงวันนี้ฉันก็ยังหาคำตอบไม่ได้

    “พวกเราเกิดมาพร้อมกับพี่น้องผองมิตรมากมาย ไม่ว่าจะแลไปด้านใด พวกเราก็ไม่เคยรู้สึกเดียวดาย แม้เราผองจะมิอาจเคลื่อนเข้าหากัน แต่สายลม สายน้ำ พสุธา มวลสัตว์นานา ก็ช่วยเป็นสื่อกลางระหว่างพวกเรา ยามลมชาย เกสรลอยล่องตามธาราวายุ เราผองได้พบกัน”

              เสียงทุ้มเยือกเย็นของผู้สูงวัยดังขึ้นแล้วสลายไป ฉันคงคิดไปเอง เมื่อมองไปรอบ ๆ จุดที่ฉันยืนอยู่ ฉันพบเพียงลวดลายวงกลมที่อยู่ภายในอีกวงกลมต่อเนื่องกัน เริ่มจากวงเล็กแผ่ขยายออกไป ลวดลายคล้ายกับพื้นแตกระแหง ลวดลายคล้ายใยแมงมุม เส้นสายแต่ละเส้นต่างเป็นทางยาวเข้ามาจรดตรงที่ฉันยืนอยู่ วันนี้เท้าของฉันแทรกลงไปในเนื้อไม้ได้มากขึ้น ฉันรับรู้ถึงความเย็นชุ่มของดินด้านใต้ ขัดกับภาพผงธุลีกับเศษซากมอดไหม้เบื้องบน ฉันดูดซับพลังความชื่นช่ำในความมืดมิด ฉันสัมผัสได้ถึงรากไม้เล็กใหญ่มากมาย แม้รากดังกล่าวจะแข็งเป็นตอไปเสียแล้ว แต่ก็คงไว้ซึ่งร่องรอยอารยธรรมของบรรพบุรุษก่อนหน้า

    “เวลานั้น คล้ายกับวงจรที่หมุนเวียนเริ่มต้นและจบลงครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเราเกิดมาในช่วงเวลาที่ต่างกัน เขาเกิดฤดูร้อน ข้าฤดูหนาว ส่วนหล่อนฤดูฝน พวกเราทั้งหลายต่างเข้ามาอยู่ในวงจรเวลาเดียวกัน พวกเราผ่านเรื่องราวมากมายที่คล้ายและต่างกันไปจนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของเรา เรื่องราวทั้งหมดเก็บบันทึกเป็นร่องรอยไว้ในตัวของพวกเรา”

           รอยนี้แหละ ใช่แล้ว รอยพวกนี้คือเรื่องราวชีวิตของตอไม้ตอไม้ไร้ชีวิตที่จริงแล้วเก็บรวบรวมชีวิตของบรรพบุรุษไว้ ชีวิตของอีกช่วงเวลาที่อยู่ภายใต้วงจรเดียวกันวงจรชีวิตในยามแผ่นดินเหือดแห้ง ยามฝนพรำช่ำพื้น ยามไอเย็นลอยละล่อง ไปจนถึงยามแสงชีวีมอดดับอย่างไรก็ตาม ฉันกลับหาคำตอบไม่ได้ว่าทำไมชีวิตรายรอบเหลือไว้เพียงแค่ตอใบไม้…มือที่ผายออกรับพลัง ลำต้น...ร่างกายที่เติบโตสูงใหญ่ไฉนหายไปไม่เหมือนที่ฉันมีมือและตัวของฉันยังเล็กเมื่อเทียบกับตอไม้ที่ฉันยืนอยู่เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมชีวีช่างดูหม่นหมองไร้ความงาม

    “ลือกันมาแต่ไกลจากชายป่าที่ห่างออกไปว่ามิตรสหายมากมายล้มตาย ใจพวกเรารู้สึกหวั่น ๆ และสร้างสรรค์เหตุผลมากมายมาอธิบายการสูญเสีย นี่เป็นครั้งที่สองที่พวกเราต้องประสบกับภัยอันน่าหวาดกลัว วงจรที่แล้วพายุโหมกระหน่ำ โค่นเพื่อนของเราจนล้มระเนระนาดไปหลายต้น ภาพเบื้องหน้าดูหดหู่บ้างโดนโค่นล้มราบพื้น บ้างกิ่งก้านฉีกหักรายเรียง ฤดูต่าง ๆในวงจรเต็มไปด้วยทุกข์และสุขหลากหลายระดับ ในบางวงจรความร้อนยึดครองผืนธรณีนานกว่าปกติบางวงจรร่างของเราจมอยู่ใต้กระแสธารา จนตอนบ่ายวันหนึ่งในฤดูหนาว ป่าที่เคยเงียบสงัดกลับก้องไปด้วยเสียงประหลาดเสียงนี้ไม่ใช่เสียงนกที่รู้จัก เสียงนี้คือเสียงเครื่องจักรของมนุษย์ บื้น…บื้น…บื้นนนนนนเสียงดังก้องมาแต่ไกล… ข้าสั่นสะเทือนไปทั่วร่างเมื่อใบมีดยาวเต็มไปด้วยฟันแหลมสัมผัสกับผิวของข้าซี่ฟันกัดให้ความเจ็บปวดแม้หยุดนิ่ง ให้ความทรมานแทบสิ้นใจยามแทะร่าง พวกเราเหล่าพฤกษาถูกทรมาน ตายทั้งเป็น ทีละต้น ๆ เพื่อนผองถูกลากไปบนพื้นสู่จุดหมายที่มิอาจทราบ ภาพสุดท้ายที่ข้าเห็นคือ ควันไฟอยู่ไกล ๆ บดบังทัศนวิสัยและค่อย ๆ คืบคลาน เข้ามาราวกับกองทัพที่เข้ามาแผ้วเผาทำลายบ้านเมือง ยางแห่งความโศกสีชาดคล้ายโลหิตไหลเป็นทางยาวรอบรอยแผลก่อนจะสิ้นใจจากนั้นก็มืดมิด”

            ลวดลายเบื้องหน้าบอกเล่าเรื่องราวของวัฏจักรชีวิตที่ผ่านมา ฉันหดหู่ใจ ความเหงาเปล่าเปลี่ยวใจเพิ่มทวี เหตุใดเหตุผลใดกันที่ฉันต้องเกิดมาโดดเดี่ยว ถูกตรึงไว้เคลื่อนไปไหนไม่ได้ จิตใจฉันห่อเหี่ยวทุกอย่างไร้ความงามท่ามกลางสุสานตอไม้ ฉันคิดไตร่ตรองหาคำตอบของการมีอยู่ ฉันคืออะไรในโลกนี้ ฉันโหยหาวันเวลาของบรรพบุรุษที่สวยงามเมื่อจินตนาการภาพสร้างจากวันเวลาแห่งอดีต ฉันรู้สึกอบอุ่นใจ รู้สึกมีความสุขที่มีเพื่อนเคียงข้างชั่วขณะ ความเดียวดายก็เลือนหายไป ชีวิตในตอนนั้นช่างสวยงาม การมีอยู่ของชีวิตความสงบสุขของป่า สัตว์นานาชนิดชิดใกล้ไร้ความเหงา กระรอกวิ่งไต่ไปมาบนตัวเราอย่างหรรษา แม่วิหคคาบอาหารมาสู่รัง เหล่าลูกนกส่งเสียงหิวร้องแจ้ว ๆ ชีวิตช่างสวยงามป่าเฮฮาปาร์ตี้สุขสันต์นั้นคือคืนวันหวนคำนึง

             “จีรังยั่งยืน”
             ไม่! ชีวิตต้องจบสิ้น ไม่มีสิ่งใดคงอยู่ สิ้นซากไปหมด
             “ความงามแห่งชีวิต"
             ไร้ชีวิตก็คงไร้ความงามสินะ แต่ไร้ชีวิตก็ไร้ความทุกข์ทรมานไร้ความเดียวดาย ไร้ทุกสิ่ง
             “แต่เจ้าคือชีวิต เจ้าคือส่วนหนึ่งในวงจรชีวิต วัฏจักรที่หมุนเวียน”
           ฉัน “พวกเรา” คือ “หนึ่งส่วน” ในวงจรชีวิต วงจรของการให้ วงจรของการแย่งชิง วงจรของการรับมาวงจรของการส่งคืน วงจรของการต่อสู้ วงจรที่หมุนเวียนอนันต์ วังวนทุกข์ทำให้รู้จักสุขวงจรเหงาทำให้รู้จักเพื่อน ชีวิตที่สมมาตรเต็มไปด้วยคู่ตรงข้าม วงจรธรรมชาติ
           แว่วเสียงเลือนหายไปสองเสียงประสานเป็นหนึ่ง ฉันไร้ซึ่งความเดียวดาย ฉันสะดุ้งตื่น ขณะที่กำลังส่งเสียงพึมพำบางอย่างอยู่เช้านี้ ฉันตื่นมาด้วยความสุข สุขที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในหนึ่งส่วนของชีวิต ฉันทุกข์เพื่อให้ความสุขกับอีกชีวิต ฉันเติบโตบนชีวิตที่มอดดับ ฉันสืบสานความงามเพื่อส่งต่อ ฉันเชื่อมต่อกระแสชีวิตพวกเขาคือตัวฉัน

    เริ่มต้นภายใต้เศษซากแห่งความสูญเสีย เติบโตผ่านสายกระแสท้องทุ่งสีดำมืดมิดไร้รอยแต่งแต้มของชีวิต ไร้ความงาม หากจุดสิ้นสุดกลับเป็นจุดเริ่มต้นของชีวิต การสืบสานธารพลัง พลังแห่งความงาม พลังแห่งชีวิต อีกไม่นานฝนจะหลั่งรินประพรมผืนธรณี เถ้าถ่านเลือนลางหลอมรวมส่งมอบกระแสพลัง อีกไม่ถึงเดือนหย่อมหญ้าจะถือกำเนิด ต้นพืชยิ้มปริ่ม เดือนต่อมา ต้นพืชจะมีพี่น้องตัวจิ๋วชูใบรับแสง ต้นพืชมีความสุขอย่างอธิบายไม่ได้ ไม่นาน อีกไม่นาน ต้นพืชต้นน้อยในวันนี้จะเติบโตลำต้นสูงใหญ่ ออกดอกออกผลให้ร่มเงาท่ามกลางป่าผืนเล็ก ความงามแห่งอดีตจะกลับมาอีกครั้ง โรงละครสีเขียวจะกลับมา เสียงจักจั่น นกกระจิบ นกกระจอกนกเขาจะร้องเป็นดนตรีประกอบ สายลมพัดโชยนำกลิ่นดอกแก้ว ผีเสื้อบินสง่าโออ่า “เดจาวู”ต้นพืชนึกได้ ภาพเบื้องหน้าราวกับภาพอดีตเมื่อหลายปีก่อน เสียงนั้นเสียงที่คุ้นเคยค่อย ๆ ดังในห้วงหัวใจ “เชื่อข้ายัง” ชีวิตคือความงาม กระแสพลังงานหมุนเวียนส่งต่อความงาม.


    กว่าจะเป็นงานเขียน...โดดเดี่ยวกลางดงตอ

    ครั้งแรกที่จับได้คำว่า "งาม" เราก็นั่งคิดอยู่นานว่าจะสื่อมันออกมายังไงให้มันไม่ cliche เราก็เลยตั้งเป้าว่าจะหาความงามที่มันไม่ได้เพียงงามตา แต่งามความรู้สึกด้วย เราจึงเลือกรูปนี้มา (แรกเริ่มเดิมที ในชั้นเรียน Thai Prose Writ "ดาวไร้แสง" นำภาพ "ตอไม้ที่มียอดอ่อนผลิใบ" มานำเสนอในหัวข้อ "งาม"  ) ปรากฎว่าเพื่อน ๆ มองภาพนี้แล้วนึกถึง ชีวิต ความสมมาตรที่ดูไม่เป็นธรรมชาติ กาฝาก วงปีที่สื่อถึงการผ่านร้อนผ่านหนาว การเติบโต ไปจนถึงความทรมาน จากนั้นเราก็กลับมาเล่าใหม่ผ่านสิ่งที่เพื่อน ๆ นำเสนอ ยอมรับเลยว่าเป็นงานที่หิน เพราะจากที่จะบรรยายเพียงความงามของต้นไม้ท่ามกลางตอไม้ตาย เราก็ต้องขยายภาพกว้างขึ้นเพื่อให้มันสามารถเล่นกับมุมมองใหม่ ๆ ได้ ต้องขอบคุณมุมมองใหม่ ๆ ที่ช่วยให้เราสามารถสื่อความงามทางความรู้สึกออกมาได้มากขึ้น แน่นอนความงามก็ต้องอาศัยตาในการมอง แต่หากลองหลับตาและจำภาพที่นำมาเล่าไว้ จากนั้นให้ใครสักคนอ่านให้ฟัง ส่วนตัวคิดว่าน่าจะให้ความรู้สึกอบอุ่นและทำให้รับรู้ความงามได้ งานเขียนชิ้นนี้เป็นงานเขียนชิ้นแรกและผ่านการแก้ไขหลายครั้ง เราจึงได้เห็นว่ากว่าที่งานเขียนจะออกสู่สายตาผู้อื่น เราต้องเตรียมตัวมากขนาดไหน


    **ลิขสิทธิ์งานเขียนและภาพถ่ายเป็นของผู้สร้างผลงาน**

    --------------------------

    ติดตามคอลัมน์ "เรื่องเล่า ตัวตน คนอื่น" 



เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in