.
เพลงประกอบฟิคเรื่องนี้:
Can't Take My Eyes Off You
- Frankie Valli x Lauryn Hill (Joseph Vincent Cover)
เมื่อถึงเวลาที่พระอาทิตย์ตื่นขึ้นจากการหลับใหล แสงแดดอ่อน ๆ ลอดผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ในขณะนี้จะเห็นได้ว่าบานหน้าต่างตามชั้นของอพาร์ตเมนต์ต่าง ๆ ถูกเปิดออกจนเกือบครบ เพื่อรับอากาศดี ๆ ยามเช้าให้แก่ผู้เป็นเจ้าของห้อง รวมถึงเสียงผู้คนที่เริ่มทยอยกันเดินทางไปทำงาน และเสียงกริ่งจักรยานของคนส่งหนังสือพิมพ์ก็เป็นอีกสัญญาณที่บ่งบอกถึง การเริ่มต้นเช้าวันใหม่
กองทัพต้องเดินด้วยท้อง! หากคุณกำลังมองหาร้านอาหารสำหรับมื้อเช้า หรือแม้กระทั่งมื้อกลางวัน และมื้อเย็น ผมขอแนะนำให้คุณเดินไปตามถนนหมายเลข 514 คุณจะพบกับตึกอพาร์ตเมนต์สีขาวแห่งหนึ่งที่ชั้นล่างมีร้านอาหารโฮมเมดเล็ก ๆ ชื่อว่า ‘La Famille’ ภายในร้านตกแต่งด้วยโทนสีครีม และสีน้ำตาล อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความอบอุ่น
พร้อมด้วยบริการจากผู้เป็นเจ้าของร้านสองพี่น้องที่ทั้งใจดี และเป็นกันเอง ดูแลคุณเสมือนสมาชิกในครอบครัว นำทีมโดยพี่ชาย หนุ่มหล่อหุ่นเท่ฉายาเชฟพี่หมี ‘โนแลน’ และน้องชาย หนุ่มหน้าตาดี
เฟรนลี่ แถมฝีมือทำอาหารยังเรียกได้ว่า พระเจ้าเจฟ ! มันยอดมาก! ใช่ครับ...ผมเอง ‘เจฟ’ ฮ่า ๆ
“มาแอบอู้เหรอห้ะเชฟน้องใหม่ เดี๋ยวตัดเงินค่าจ้างซะเลย” คนที่กำลังยืนกอดอกเอ่ยทัก
“อู้อะไรล่ะพี่ เขียนโปรโมทร้านอยู่ อวยพี่เต็มที่เลยเนี่ย” ผมตอบพร้อมกับโชว์หน้าจอโน๊ตบุ๊คที่กำลังเปิดหน้าเพจร้าน ก่อนจะพูดต่อด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์ “อีกอย่างวันนี้วันเสาร์ด้วย ผมจะตั้งใจทำงานอย่างดีเลย”
“มั่นใจขนาดนั้นเลยนะว่าเขาจะมาอีก” อีกฝ่ายทิ้งตัวลงที่เก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“ก็ไม่ได้มั่นใจ แต่ผมก็หวังให้เป็นงั้น คือเขาน่ารักจริงๆ ว่ะพี่” ผมทำปากบึนใส่ผู้เป็นพี่ชาย
“เออรู้ แต่แกต้องไปบอกเขาเว่ย ไม่ใช่บอกพี่ ถ้าเขามาก็ขอช่องทางติดต่อไว้ซักที
จะได้ไม่ต้องมานั่งรอเจอเขาอาทิตย์ละครั้งงี้” ว่าแล้วผมก็โดนมะเหงกจากอีกฝ่ายไปหนึ่งที
ย้อนกลับไปเมื่อประมาณเดือนที่แล้ว ซึ่งเป็นเวลาเดียวกับที่ผมได้เริ่มต้นชีวิตวัยทำงานอย่างจริงจัง ผมคือเชฟจบใหม่ ผู้ตัดสินใจปฎิเสธคำชวนของโรงแรมชื่อดัง เนื่องด้วยความฝันที่มีร่วมกันกับครอบครัว ความสบายใจ รวมถึงนิสัยติดบ้านของผม และแล้วผมก็เลือกที่จะกลับมาทำ ธุรกิจร้านอาหารโฮมเมดกับพี่ชายแท้ ๆ ที่อายุห่างกัน 3 ปี
ทว่าเส้นทางในโลกแห่งความเป็นจริงนั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่มันเต็มไปด้วยการแข่งขัน
การที่คุณจะอยู่รอดได้ คุณจำเป็นต้องมีทั้ง ความสามารถ ความโดดเด่น และที่สำคัญคือ 'โชคที่ดี'
ซึ่งดูเหมือนว่าผมกับพี่คงจะขาดข้อสุดท้ายนี่แหละมากที่สุด
เป็นพวกคนอับโชค...
กิจการของเรานั้นไม่ได้รุ่งเรืองนัก ในแต่ละวันไม่ได้มีลูกค้ามากมาย ส่วนมากมักเป็นลูกค้าประจำที่เคยอุดหนุนกัน ไม่ว่าจะเป็นเหล่าคนรู้จัก หรือคนที่พักอาศัยในย่านนี้ นาน ๆ ครั้งเท่านั้นแหละ ที่การเขียนโปรโมทร้านลงโซเชียลมีเดียจะพาลูกค้าหน้าใหม่มาได้บ้าง
แต่แล้วในเช้าวันเสาร์หนึ่งของเดือนมิถุนายน หลังจากผมพลิกป้ายเปิดร้านได้เพียงไม่นาน เสียงกริ่งที่ประตูก็ดังขึ้นพร้อมกับการมาของลูกค้าหน้าใหม่ เขาเป็นเด็กหนุ่มที่คาดว่าคงอายุน้อยกว่าผมซักปีสองปี มีเรือนผมสีน้ำตาล หน้าตาจิ้มลิ้ม และดูจากมือที่กำลังประสานกันด้วยความลังเลแล้ว ผมเดาว่าเขาคงไม่ใช่คนเมืองนี้อย่างแน่นอน คงเป็นพวกนักท่องเที่ยวอะไรทำนองนั้น
“สนใจให้ผมแนะนำเมนูให้ไหมครับคุณลูกค้า” ผมเอ่ยทักด้วยรอยยิ้ม
“อ่า ดีมากเลยครับ มีแต่เมนูน่าทาน ผมน่ะเลือกไม่ถูกเลย” และเขาตอบกลับด้วยรอยยิ้มเช่นกัน
เขายิ้มน่ารักดี ผมคิดแบบนั้น
หลังจากนั้นเพียงไม่นาน ชุดอาหารเช้าก็ถูกยกมาเสิร์ฟลงตรงหน้าผู้เป็นลูกค้า
“นี่เป็นชุดอาหารเช้าครับ เอิฟ โกก็อต (oeufs en cocotte) ไข่อบสไตล์ฝรั่งเศส
กับเฟรนซ์โทสต์ ขนมปังปิ้งชุบไข่และนม เพิ่มความหวานด้วยน้ำผึ้งแท้ เสิร์ฟกับช็อคโกแลตร้อนครับ”
ผมพูดแนะนำเมนูอาหารระหว่างที่กำลังจัดแจงจัดจานต่าง ๆ บนโต๊ะ
“โห น่าทานมากเลยครับ เหมือนมานั่งกินบนห้องอาหารโรงแรมเลยแฮะ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ก่อนจะเริ่มตักอาหารจานไข่เข้าปากเป็นคำแรก
“หื้ม อร่อยมาก คุณสุดยอดไปเลย” เขายกนิ้วโป้งขึ้น ขณะที่ในมืออีกข้างกำลังจิ้้มเฟรนซ์โทสต์คำใหญ่
คำชมที่แสนจริงใจ แววตาที่เป็นประกายของเขา และท่าทางแสนน่ารัก มันทำให้ใจของผมพองโตตามไปด้วย หลังจากนั้นตลอดทั้งวัน เด็กหนุ่มน่ารักคนเดิมก็แวะมาทานอาหารที่ร้านอีกทุกมื้อ เขามักจะแวะมาที่ร้านเป็นประจำทุกวันเสาร์ ลองสั่งเมนูใหม่ ๆ ที่ยังไม่เคยทานบ้าง ทานเมนูโปรดเมนูเดิมอย่างเอิฟ โกก็อตบ้าง นอกจากนี้ยังคอยพูดขอบคุณ และชื่นชมฝีมือการทำอาหารของผมกับพี่โนแลนอยู่เสมอ
คน ๆ นึงสามารถน่ารักได้ขนาดนี้เลยนะ ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกัน
ผมว่า...ผมคงชอบเขาเข้าแล้วแน่เลย
มาถึงตอนนี้หลายคนคงจะคิดในใจว่าแล้วทำไมผมไม่บอกเขาไป หรือไม่ก็ขอช่องทางติดต่อมาก่อน
จริง ๆ เมื่ออาทิตย์ที่แล้วผมก็ตั้งใจว่าจะขอนั่นแหละ แต่ก็ปากหนัก เขินจนไม่กล้าบอกเขาไปตลอด
แต่วันนี้ผมตัดสินใจแล้ว! ยังไงก็จะต้องขอช่องทางติดต่อให้ได้ จะไม่พลาดอีกแน่พูดเลย!
เวลาผ่านไปชั่วโมงแล้วชั่วโมงเล่า จากแสงอาทิตย์สดใสยามเช้าสู่แสงอาทิตย์สีส้มยามเย็น คนที่ผมเฝ้ารอมาตลอดทั้งอาทิตย์ก็ยังคงไม่มา และอีกไม่ถึงชั่วโมงก็ใกล้ถึงเวลาปิดของร้านเต็มที
อ่า ดูเหมือนคุณน่ารักคนนั้นกำลังแกล้งผมอยู่เลย
“ไม่มาแล้วมั้ง ปกติ 5-6 โมงเย็นมาถึงร้านแล้วหนิ” พี่ชายของผมพูดขึ้นขณะเริ่มเตรียมเก็บข้าวของ
“นั่นดิพี่ กินแห้วตั้งแต่ยังไม่ได้เริ่มเลยหรอวะ เศร้าว่ะ” ผมตอบพรางเท้าคางไปกับโต๊ะ
“เอาน่า อาจจะมาวันอื่น หรืออาทิตย์อื่นก็ได้ อย่าเพิ่งเศร้าไอ้น้องชาย” คนตัวโตเดินมาตบบ่าผมเบา ๆ ก่อนจะเดินเข้าครัวไป เพื่อเตรียมเก็บล้างอุปกรณ์ทำอาหาร ส่วนผมก็ถอนหายใจไปเฮือกใหญ่ พร้อมกับหันหลังเตรียมเดินตามพี่ชายไปยังครัว
แต่แล้วในตอนนั้นเอง...
มื้อค่ำสไตล์ฝรั่งเศสที่ประกอบไปด้วย เสต็กเนื้อชิ้นใหญ่ ซุปหัวหอม และปิดท้ายด้วยของหวานอย่าง เครม บูเล่ คัสตาร์ดนุ่ม ๆ หอมด้วยกลิ่นน้ำตาลไหม้ เขาทานอาหารจานต่าง ๆ อย่างเอร็ดอร่อย เวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ผมตั้งใจจะรวบรวมความกล้า เพื่อเข้าไปทำความรู้จักและขอช่องทางการติดต่อของเขาหลังมื้ออาหารนี้จบลง แต่แล้วผมก็เหมือนโดนแกล้งอีกครั้ง... เมื่อจู่ ๆ โทรศัพท์มือถือของผมก็ดังขึ้น ผมจึงต้องหลบไปหลังร้านเพื่อรับสาย และเมื่อคุยธุระเสร็จ ผมก็ได้พบว่าคุณคนน่ารักหายไปอีกแล้ว…
“พี่! คุณคนนั้นเขาไปแล้วเหรอ” ผมถามด้วยสีหน้าตื่นตระหนก
“เออตะกี้เลย อย่าบอกนะว่ายังไม่ได้...” พี่โนแลนพูดพรางชี้ไปที่ประตูร้าน
“ใช่ดิ ก็ผมรอคุณเขาทานเสร็จอ่ะ โห่ อะไรกันเนี่ย” ผมหงุดหงิดมาก ๆ และเดินไปนอนฟุบที่โต๊ะที่คุณ
คนนั้นนั่ง ขณะนั้นเองสายตาของผมก็เหลือบไปเห็นกระเป๋าถือสีน้ำตาลใบหนึ่งที่รูดซิปไว้เพียงครึ่งหนึ่ง วางอยู่บนเก้าอี้อีกตัวที่อยู่ข้าง ๆ ผม และเมื่อผมแง้มกระเป๋าออกดูก็พบว่ามีบางสิ่งที่ไม่คาดคิด !!
โฮ่ง! โฮ่ง!
เสียงร้องและใบหน้าเล็ก ๆ ของ ลูกหมาพันธุ์บีเกิ้ล โผล่ออกมาจากกระเป๋าใบนั้น
ผมตกใจและตะโกนเรียกคนพี่เสียงดัง
“เอ่อ นี่คือคุณเขาลืม หรือตั้งใจทิ้งไว้ที่ร้านของเราวะ” สีหน้ามึนงงปรากฎขึ้นบนใบหน้าของพี่ชาย
“ไม่น่าทิ้งนะพี่ เพราะที่ปลอกคอมีเขียนไว้ว่า โกเม่-อลัน ผมว่าเขาคงรีบจนลืม นี่ไง! ข้างหน้ายังมีของส่วนตัวเขาใส่ไว้ด้วยอยู่เลย” ผมเปิดกระเป๋าเล็กที่อยู่ด้านหน้าให้คนตัวโตดู
“งั้นก็รีบพาเจ้าตัวเล็กนี่กลับไปหาเขาเถอะ ป่านนี้ถ้านึกได้ว่าตัวเองลืมคงตกใจแย่
ไม่ต้องห่วง ทางนี้พี่จัดการเองสบายมาก” ผมพยักหน้ารับและเอ่ยขอบคุณผู้เป็นพี่ชาย
ผมเดินหาจนทั่วบริเวณใกล้ ๆ แต่ก็ไม่พบ จึงตัดสินใจเดินต่อไปอีกหน่อย เลียบไปกับเส้นทางที่มีการประดับตกแต่งด้วยไฟสีสันต่าง ๆ เผื่อว่าเขาอาจจะยังไม่กลับบ้านแล้วมาเดินเล่นแถวนี้ ในตอนนั้นเองที่ตาผมเหลือบไปเห็นกับคน ๆ นึงที่มีรูปร่างและการแต่งตัวคล้ายกับคนที่กำลังตามหา ยิ่งเพ่งดูก็ยิ่งพบว่าเขาคือคุณน่ารักคนนั้น แต่ทว่าระยะห่างในตอนนี้ยังถือว่าไกลเกินกว่าจะตะโกนเรียกได้ ผมจึงรีบตามเขาไปให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
จากถนนใหญ่ที่มีร้านอาหารชื่อดัง และแสงไฟประดับอลังการสู่ ตรอกเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่มีเพียงโคมไฟเก่าส่องสว่างอยู่ตลอดทาง ผมอยู่แถวนี้มาตั้งแต่เกิด แต่ก็ไม่ยักรู้เหมือนกันว่ามีตรอกลึกลับแบบนี้อยู่ด้วย คนตัวเล็กที่อยู่ข้างหน้าไกล ๆ เดินตรงไปตามทาง พรางยกมือขึ้นดูเวลาบนนาฬิกาข้อมืออยู่เป็นระยะ เขาดูค่อนข้างรีบร้อน เหมือนกับว่ากลัวจะไปไม่ทันอย่างไรอย่างนั้น
จนในที่สุดผมก็เดินมาจนสุดทาง และในขณะนั้นเองที่ผมก็ต้องตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นตรงหน้า
มันคือ ภาพของคนตัวเล็กที่กำลังเดินตรงไปยัง สะพานข้ามแม่น้ำที่กำลังส่องแสงประกายระยิบระยับ ทั้งช่วงกลางของสะพานยังมีเมฆหมอกสีขาวขนาดใหญ่คอยบดบังจนมองไม่เห็นปลายทาง
มีที่แบบนี้อยู่ในเมืองด้วยเหรอ หรือว่าผมฝันไป…
ผมสับสนอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะสะดุ้งตื่นจากภวังค์ เพราะเสียงเห่าของโกเม่ที่โผล่หน้าออกมาจากกระเป๋า ถึงแม้จะกำลังมึนงง แต่สุดท้ายผมก็ตัดสินใจเดินข้ามสะพานนั้นไป
หลังจากเดินไปได้สักพัก ผมก็ได้พบว่าเบื้องหลังของเมฆหมอกสีขาวนั้นเป็น เมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ที่มีลักษณะคล้ายกับเมืองทั่วไป มีตึกรามบ้านช่อง มีการสัญจรบนถนน และมีผู้คน แต่ที่ต่างไปก็เห็นจะเป็นท้องฟ้าที่กลายเป็นสีม่วงออกชมพู แทนที่จะเป็นสีฟ้าสว่าง หรือสีดำมืดตามปกติ นอกจากนี้
ดวงจันทร์เองก็ดูเหมือนจะอยู่ในระยะใกล้กว่าที่เคย แถมยังมีแสงระยิบระยับในตัวเอง
มันเป็นปรากฎการณ์อะไรที่ผมไม่รู้จักเหรอหรือยังไง....
“คุณเจ้าหน้าที่ แค่แปปเดียวไม่ได้เหรอครับ เปิดมิติเวลาแค่แปปเดียว ผมลืมสิ่งสำคัญไว้ที่นั่น”
เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้นจากที่ซึ่งคล้ายกับสถานีตำรวจที่อยู่ใกล้กับบริเวณทางขึ้นสะพาน
“คุณก็รู้หนิครับว่าไม่ได้ ขอโทษด้วยนะครับ แต่ตอนนี้มิติเวลาปิดแล้วครับ” เจ้าหน้าที่คนหนึ่งเอ่ยตอบ
“คุณครับ! คุณ!! คุณอลัน!!” จากชื่อที่อยู่ในปลอกคอของโกเม่ จึงทำให้ผมเดาชื่อของคุณคนนั้นได้
ผมจึงตะโกนออกไปสุดเสียง และดูเหมือนจะได้ผล เขาหันกลับมาด้วยสีหน้าตกใจ
พร้อมกับหันไปพูดอะไรบางอย่างกับเจ้าหน้าที่ ก่อนจะรีบวิ่งมาหาผม
“ค-คุณเชฟ! คุณมาที่นี่ได้ยังไง” เขาพูดพรางหอบไปด้วย
“คุณลืมเจ้าตัวเล็กไว้ที่ร้านครับ ระหว่างทางผมเรียกคุณแล้วแต่คุณคงไม่ได้ยิน ผมเลยเดินตามคุณมา” ผมส่งของคืนให้กับผู้เป็นเจ้าของ พร้อมด้วยโกเม่ที่ส่งเสียงเห่าอย่างดีใจ
“โอ๊ยผมนี่แย่จริง ๆ เลย พอดีผมเพิ่งได้โกเม่มาเลี้ยงเมื่อไม่กี่วันมานี้เลยยังไม่ค่อยชิน ยังไงก็ต้อง
ขอบคุณนะครับ ขอบคุณมากเลย ขอโทษที่ทำให้ลำบากนะครับ” อีกฝ่ายโค้งให้ผมอยู่หลายรอบ
“ไม่เป็นไรเลยครับ ผมยินดีครับ จริง ๆ ผมเองก็มีอะไรอยากจะคุยกับคุณเหมือนกัน แต่ก่อนอื่นคือเอ่อ...
ที่นี่คือที่ไหนเหรอครับ?” ผมยกมือขึ้นเกาท้ายทอย พรางมองไปยังสิ่งต่าง ๆ รอบข้าง
“อ่า นั่นแหละครับปัญหา ผมว่าเราคงได้คุยกันยาวเลยล่ะ” คนตรงหน้าส่งยิ้มมาหาผม
จากการที่คุณอลันอธิบายให้ผมฟังถึงการมีอยู่ของสถานที่แห่งนี้ โดยได้ความมาว่า เมืองที่ผมกำลังอยู่ในขณะนี้นั้นอยู่ในมิติเวลาที่ต่างจากที่ผมอยู่ คล้าย ๆ กับโลกคู่ขนานอะไรอย่างนั้น โดยมีจุดเชื่อมต่อกันระหว่างมิติคือ ตรอกลึกลับ และสะพานใหญ่ ๆ ที่พวกเราเพิ่งเดินข้ามกันมา แน่นอนว่านี่เป็นครั้งแรกเลยที่ผมได้ยินเรื่องราวแบบนี้ในชีวิตจริง ไม่ใช่ในภาพยนตร์แฟนตาซี...
ผมแอบหยิกตัวเองไปหลายที เพื่อให้แน่ใจว่านี่ไม่ใช่ความฝัน แต่สุดท้ายก็พบว่าคงเป็นเรื่องจริง
ที่เขาว่ากันว่า บนโลกใบนี้ยังมีเรื่องราวอีกมากที่ยังไม่ถูกปิดเผย และเราเองเป็นเพียงมนุษย์ตัวเล็ก ๆ
ที่เป็นหนึ่งในส่วนประกอบเล็ก ๆ ของจักรวาลอันกว้างใหญ่ คงจะถูกต้องแล้วล่ะ
นอกจากนี้คุณอลันบอกผมว่า ประตูมิติจะเปิดอาทิตย์ละครั้ง ซึ่งแปลว่าผมต้องอยู่ที่นี่ไปอีก 1 อาทิตย์ เพราะฉะนั้นเขาจึงชวนไปพักอยู่ด้วยกันและเขาจะเป็นไกด์พาเทียวที่นี่ให้ เพื่อเป็นการตอบแทนที่พาเจ้าโกเม่มาส่งอย่างปลอดภัย รวมถึงรูมเมทของเจ้าตัวเพิ่งย้ายออกไปเมื่ออาทิตย์ก่อนด้วยพอดี
"คิดซะว่ามาเที่ยวต่างเมืองนะครับ" คนตัวเล็กบอกผมแบบนั้น
นอกจากนี้คุณอลันยังช่วยหาทางให้ผมได้โทรศัพท์ไปหาพี่โนแลนอีกด้วย เพราะเกรงว่าผู้เป็นพี่ชายอาจกังวลและเป็นห่วงหากผมหายตัวไป 1 อาทิตย์เต็ม ๆ คุณอลันบอกผมว่าจริง ๆ แล้วการสื่อสารข้ามมิติเวลาเป็นเรื่องที่ค่อนข้างยุ่งยาก แต่โชคดีที่คุณพ่อของเขาทำงานด้านโทรคมนาคมเลยสามารถหาทางจนติดต่อได้
และเมื่อปลายทางรับสาย แน่นอนว่าพี่โนแลนคงไม่เชื่อถ้าผมเล่าเรื่องนี้ผ่านโทรศัพท์ ผมจึงเลือกที่จะบอกไปว่ามีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้นนิดหน่อย อาทิตย์หน้าถึงจะได้กลับบ้าน พร้อมกับสัญญาว่าเดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง ซึ่งผมรู้อยู่แล้วว่าพี่ชายของผมคงไม่ได้ว่าอะไร เขามักจะเข้าใจ และไว้ใจในตัวผมเสมอ
จะว่าไปแล้ว ผมก็ไม่ได้อับโชคไปซะทีเดียวนี่น่า
ถึงจะไม่มีโชคเรื่องธุรกิจ แต่อย่างน้อย...
การมีคนรอบข้าง และเจอคนดี ๆ ก็ถือเป็นความโชคดีเหมือนกัน :)
❤ ❤ ❤
หลายวันผ่านไป ผมได้เห็นมุมมองต่าง ๆ ของเมืองแห่งนี้มากขึ้น รวมถึงเป็นการได้รู้จักกับคุณอลันมากขึ้นไปด้วย ผ่านการเที่ยวและทำกิจกรรมด้วยกันตลอดทั้งสัปดาห์ ไม่ว่าจะเป็น การขี่จักรยานชมรอบเมืองในวันแรกและวันที่ 2 ซึ่งทำให้ผมได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเมืองแห่งนี้ก็ไม่ได้แฟนตาซีอะไรขนาดนั้น (ถ้าไม่นับเรื่องสีท้องฟ้ากับพระจันทร์มีกลิตเตอร์น่ะนะ...)
ที่นี่เป็นเมืองที่เหมือนกับเมืองธรรมดาทั่วไปที่มีบรรยากาศสวย สาธารณูปโภคครบครัน และผู้คนในเมืองที่ใจดี นอกจากนี้ยังทำให้ผมได้เห็นถึงความสดใสของคนข้างกาย สองวันแรกในเมืองนี้ของผมเต็มไปด้วยรอยยิ้ม และเสียงพูดคุยเจื้อยแจ้วของคนตัวเล็ก จึงทำให้การอยู่ที่นี่ซึ่งถือเป็นสถานที่แปลกใหม่สำหรับผม เป็นเรื่องง่าย และมีแต่ความสบายใจ
จากที่เคยคิดว่าน่ารักแล้ว คุณอลันยังน่ารักขึ้นไปได้อีก
ถ้าการชมคน ๆ นึงว่า ‘น่ารัก’ แล้วต้องเสียตังค์ ป่านนี้ผมคงหมดตัวแหง… :b
หรือในวันที่ 3 ที่คุณอลันชวนผมไป งานเฟสติวัลกลางเมือง ที่มีทั้งซุ้มอาหารละลานตา กิจกรรมชิงรางวัล คอนเสิร์ตจากศิลปินดัง รวมถึงเครื่องเล่นหวาดเสียวต่าง ๆ ถึงแม้จะเป็นกิจกรรมที่เหนื่อย และทำให้ผมต้องปวดเมื่อยตัวไปหมด แต่ต้องยอมรับเลยว่าสนุกจริง ๆ เหมือนกับได้มาเที่ยวหลังจากเรียนจบ และทำงานมาอย่างหนักเลย มากไปกว่านั้นผมยังเพิ่งได้รู้อีกด้วยว่า คุณคนน่ารักของผมเป็นคนที่กล้ามาก ไม่กลัวอะไรทั้งนั้น เขาขึ้นเครื่องเล่นนั้นต่อเครื่องเล่นนี้ได้สบาย ในขณะที่ผมโอดครวญ และยืนกรานจะเป็นกำลังใจให้อยู่ข้างล่าง... แฮะ
หลังจากสนุกสุดเหวี่ยงไปกับงานเฟสติวัล ต่อมาในวันที่ 4 พวกเราจึงเลือกที่จะผ่อนคลายไปกับ
การเข้าสปา นวดตัวให้สบายกาย จากนั้นจึงค่อยไปตระเวณทานอาหารในย่านที่ขึ้นชื่อว่าเป็น
'เส้นทางแห่งความเลิศรส'
“ไหน ๆ ก็ได้มาพักผ่อน อยากให้คุณพักจากการเป็นเชฟแล้วมาเป็นคนทานเองบ้าง”
คุณอลันเขาบอกแบบนั้น แล้วผมก็คิดว่าดีเหมือนกัน ทานอาหารที่ไม่ใช่ฝีมือตัวเองบ้าง หาแรงบันดาลใจ เผื่อว่าอาจจะได้ไอเดียใหม่ ๆ กลับไปใช้กับที่ร้านบ้าง พวกเราเริ่มออกเดินเลียบไปตามถนน ร้านอาหารทั้งคาวและหวานจำนวนมากตั้งอยู่ตลอดถนนเส้นยาว มีตั้งแต่ร้านริมทางไปจนถึงภัตตาคารหรูหรา
ผมได้ลองลิ้มชิมรสชาติแปลกใหม่ที่ไม่เคยได้สัมผัส ได้รู้จักวัตถุดิบและส่วนผสมที่น่าสนใจ รวมไปถึงการได้รู้ว่าคุณอลันเป็นคนที่มีความสุขกับการทานอาหารมาก ความจริงผมก็แอบเดาไว้ตั้งแต่ตอนมาที่ร้านแล้วแหละ สายตาเป็นประกายคู่นั้น ผมยังจำได้อยู่เลย แต่ในขณะเดียวกันเจ้าตัวก็มักจะบ่นเรื่องแคลอรีและสุขภาพไปด้วย
“โห่น้ำตาลเยอะจัง แคลอรีต้องเยอะแน่เลยคุณเจฟ / คุณเจฟ ไม่ดีกว่าครับ แป้งเยอะมากเลย”
ถึงจะตอบมาอย่างนั้น แต่สุดท้ายก็รับไปทานอยู่ดี ตลอดทั้งวันคนตัวเล็กชวนผมทานร้านนั้นต่อร้านนี้ โดยที่ปากก็บ่นไป แต่มือก็จิ้มอาหารเข้าปากไปด้วย คนอะไรน่าเอ็นดูจริง ๆ ไหนจะที่เจ้าตัวมักจะชอบหยอดอยู่เรื่อย ๆ อีกว่า “อื้ม! ร้านนี้อร่อยนะ แต่ไม่เท่าฝีมือคุณเจฟ”
เนี่ย ไม่ไหวเลยครับ
ใจผมดวงนิดเดียวจะไปสู้อะไรไหว เฮ้อ
เข้าสู่วันที่ 5 ของการอยู่ในสถานที่อันแปลกใหม่ของผม คุณอลันบอกว่าผมคงคุ้นชินกับที่นี่มากขึ้นแล้ว เพราะดูจากเวลาการตื่นนอน นาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ตั้งแต่ 7 โมงเช้าดังอยู่หลายรอบ จนในที่สุดผมก็รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเอง ในเวลาเกือบ 9 โมงครึ่ง โชคดีที่วันนี้พวกเราไม่ได้มีแพลนจะไปไหนกัน ไม่อย่างนั้นคงจะรู้สึกผิดกับคุณอลันน่าดู แฮะ
ผมเดินออกมาจากห้องนอนและพบกับคนตัวเล็กที่กำลังยืนซ้อมไวโอลินอยู่ที่ระเบียงห้อง ใบหน้าสวยรับกับส่วนเว้าของไวโอลินได้เป็นอย่างดี ทั้งการเคลื่อนไหวตัวยังดูลื่นไหล มีสเน่ห์ และเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ความปรารถนาดีที่ผู้บรรเลงตั้งใจส่งผ่านมาทางเสียงดนตรี ผมรับรู้และสัมผัสมันได้ทั้งหมด สายตาของผมจ้องมองแต่คนตรงหน้า เหมือนกับว่าในวินาทีนั้นผมกำลังตกอยู่ในภวังค์อย่างนั้น
“ผมเป็นนักศึกษาดนตรีชั้นปีสุดท้ายครับ” เสียงของคุณอลันทำให้ผมสะดุ้งเล็กน้อย
“ถึงว่าล่ะครับ เล่นเก่งขนาดนั้น เพราะจนผมอึ้งไปเลยเนี่ย” ผมปรบมือให้กับอีกฝ่าย
“ขี้เวอร์เหมือนกันนะคุณเจฟเนี่ย ฮ่า ๆ ขอบคุณนะครับ
ไว้ผมจะตั้งใจฝึกให้เก่งขึ้นกว่านี้ให้ได้ คุณเจฟจะได้ชมอีกเยอะๆ” เขาตอบพรางขยิบตาให้กับผม
“ผมรอฟังนะครับ จะคิดคำชมไว้ตั้งแต่วันนี้เลย” ต่างฝ่ายต่างหัวเราะ และส่งยิ้มให้กัน
ตลอดช่วงสายจนถึงช่วงบ่ายในวันนั้น ช่างเป็นวันพักผ่อนที่เรียบง่ายและมีความสุข พวกเราทั้งคู่ไม่ได้ออกไปไหน ใช้ชีวิตอยู่แต่ในห้อง คุณอลันชวนผมเล่นเกม โดยท้าว่าใครแพ้โดนเขียนหน้า ซึ่งแน่นอน ผมพ่ายแพ้อย่างราบคาบ คนที่นั่งอยู่ข้างผมนี่มันเกมเมอร์ชัด ๆ แต่ก็มีบ้างบางทีที่ผมได้โอกาสชนะ
อีกฝ่ายก็มีอาการหน้างอเล็กน้อย
เป็นธรรมดาของคนหัวร้อนน่ะครับ ฮ่า ๆ
“คุณเจฟขี้โกง!”
“ผมป่าวน้าา”
“เห็นชัด ๆ เลย ตะกี้ผมไม่ทันตั้งตัว”
“เขาเรียกว่าทางมันมาค้าบ”
“ฮึ้ยไม่ต้องเลย งอนคุณเจฟแล่ว!”
แต่ไม่ต้องห่วงครับ งอนกันได้ไม่นานหรอก เพราะผมน่ะมีกลยุทธิ์พิเศษ!
“คุณอลันไม่ทานด้วยกันเหรอครับ ผมอุตส่าห์ทำมาเลยน้า”
“ไม่ทานหรอก คุณเชฟขี้โกงอ่ะ”
“แต่เอิฟ โกก็อตจานนี้อร่อยมากเลยนะครับ ไม่กินจริงหรอ”
“...”
“เฮ้อ งั้นผมคงต้องเอาไปทิ้งแน่เลย”
“เดี๋ยว! ผม...ผมกินเองก็ได้ ทิ้งก็เสียของน่ะครับ”
“เข้าใจแล้วครับ :) ”
หลังจากนั้นในช่วงเย็น พวกเราลงมาเดินเล่นกันที่ตลาดริมแม่น้ำ พร้อมกับพาโกเม่มาเดินเล่นด้วย อ้อ...จะบอกว่าผมเข้าใจธรรมชาติท้องฟ้าของที่นี่แล้วนะครับ เมืองแห่งนี้มีท้องฟ้าที่เป็นโทนสีม่วงชมพูตลอดทั้งวัน กลางวันกับกลางคืนต่างกันที่ในเวลากลางคืนจะมีดวงจันทร์และดวงดาวระยิบระยับปรากฎขึ้น แต่ในเวลากลางวันท้องฟ้าเปล่า ๆ ที่ถูกเติมแต่งด้วยสีม่วงชมพูเท่านั้น
คนตัวเล็กบอกผมว่าเพราะอย่างนั้น เขาจึงชอบท้องฟ้าที่เมืองของผมมากกว่า ที่นั่นมีท้องฟ้าที่มีสีฟ้าสวยสดใส ทั้งยังมีก้อนเมฆนุ่ม ๆ สีขาว และมีสายรุ้งด้วยในบางวัน แถมในเวลากลางคืนท้องฟ้าสีมืด ๆ ของที่นั่นก็สามารถเห็นดาวได้ชัดกว่าที่นี่มาก
“ถ้างั้นสนใจไปมองฟ้า และดูดาวที่เมืองนั้นด้วยกันทุกวันไหมครับ”
.
.
แค่คิดน่ะครับ ไม่ได้ถามเขาไปจริง ๆ หรอก แฮ่ ;b
❤ ❤ ❤
และแล้วก็ถึงวันนี้ วันที่ 6 ของสัปดาห์...วันนี้พวกเราตื่นกันเร็วกว่าปกติ เนื่องจากเป็นวันพิเศษที่
คุณอลันได้รับการติดต่อมาให้ไปเล่นดนตรีในงานอีเว้นท์ที่จัดขึ้นที่สวนสาธารณะของเมือง นอกจากนั้นยังเป็นวันพิเศษที่เราสองคนตกลงกันว่าจะไปทานดินเนอร์ที่ร้านอาหารบนดาดฟ้าด้วยกันอีกด้วย
วันนี้คุณอลันแต่งตัวในชุดสูทสีขาว ร่างกายที่กำลังเคลื่อนไหวไปกับการสีไวโอลินอยู่ท่ามกลางสวนสาธารณะอันร่มรื่น ช่างน่ามองและดูดีมากเป็นพิเศษ ผมซึ่งทำหน้าที่เป็นช่างภาพประจำตัวก็ทำหน้าที่อย่างสุดความสามารถ นิ้วของผมกดถ่ายรูปอย่างไม่หยุดมือ จนเมื่อเข้าสู่ช่วงพักของการแสดง คนตัวเล็กเดินเข้ามาหาผม และกระซิบพร้อมเสียงหัวเราะเล็ก ๆ
“คุณเจฟครับ นั่งพักบ้างก็ได้ครับ ผมว่าน่าจะได้รูปสวย ๆ มาเยอะเลยตอนนี้”
.
.
.
อะไรกัน นี่ผมดูคลั่งรักเกินไปเหรอครับทุกคน…
การแสดงดนตรีดำเนินไปตลอดทั้งวัน และจบลงที่เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ซึ่งยังเหลือเวลาอีกเกือบ 2 ชั่วโมงกว่าจะถึงเวลาที่จองไว้ ดังนั้นพวกเราเลยเลือกที่จะไปยังตลาดที่อยู่ใกล้ ๆ บริเวณนั้น และเดินเล่นไปเรื่อย ๆ เลียบไปกับริมแม่น้ำระหว่างรอเวลา
จนในที่สุดก็ถึงเวลาดินเนอร์สุดพิเศษ โต๊ะที่จองไว้เป็นโต๊ะที่อยู่ติดกับริมระเบียงในโซนดาดฟ้าของร้าน อาหารเมนูต่าง ๆ ถูกจัดแจงวางลงบนโต๊ะหินอ่อนสีขาว หากมองไปรอบข้างจะได้เห็นกับแม่น้ำสายใหญ่ที่ทอดตัวยาวไปไกลสุดลูกตา สะพานขนาดใหญ่ที่มีแสงระยิบระยับ และเมืองทั้งเมืองในมุมสูง
เราทั้งคู่ต่างทานอาหารกันไป พูดคุยกันไปท่ามกลางบรรยากาศสุดโรแมนติก
หากเป็นรไปได้ก็อยากให้นาฬิกาค่อย ๆ เดินไปอย่างไม่ต้องเร่งรีบ ผมอยากหยุดช่วงเวลาในตอนนี้ไว้จัง
“พรุ่งนี้ก็จะได้กลับแล้ว ดีใจไหมครับคุณเจฟ” คนที่นั่งตรงข้ามเอ่ยถาม
“ใจนึงก็ดีใจครับ ป่านนี้พี่ชายผมคงหัวปั่นอยู่แน่ ๆ
แต่อีกใจก็ไม่ดีใจเลยครับ อยากอยู่กับคุณให้มากกว่านี้”
คำตอบที่ตรงไปตรงมาของผมทำให้แก้มกลม ๆ ของคนตรงหน้าขึ้นสี
“ทำไมละครับ ผมแกล้งสนุกหรอ
หรือว่าคุณคิดอะไรกับผมหรือเปล่าเนี่ย” เขาเท้าคางมองมา
“ฮ่า ๆ ไม่ต้องเป็นแล้วมั้งครับนักดนตรี
เป็นแม่หมอดีไหม อ่านใจเก่งจังครับ” และผมก็เท้าคางจ้องกลับ
“แปลว่ามีข้อถูกเหรอ อย่างแรกหรืออย่างที่สองล่ะครับ” อีกฝ่ายยักคิ้วส่งมา
“อย่างแรก...รึเปล่าน้า” ผมแกล้งตอบพร้อมกับยักคิ้วกลับ
ก่อนจะหลุดหัวเราะออกมาเพราะเห็นหน้ามุ่ย ๆ ของคนตรงหน้า
“ล้อเล่นครับ อย่างที่สองครับ คิดตั้งแต่เจอกันที่ร้านแล้วครับ” ผมยิ้มก่อนจะพูดต่อ
“คุณอลันครับ ผมชอบคุณนะครับ ชอบมาก ๆ ตั้งแต่เราเจอกันที่ร้านมาจนถึงตอนนี้
และก็มั่นใจว่าจะชอบไปถึงอนาคตด้วย ผมอยากรู้จักคุณให้มากกว่านี้ครับ” ผมยกมือคุณอลันขึ้นมากุมไว้
“คุณเจฟนี่แย่จริง ๆ เลย...” คนตัวเล็กทำหน้าเหมือนไม่พอใจ
“เอ่อ...คือผมขอโทษครับ” ใจของผมในตอนนั้น วูบหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่ม
“อะไรกัน ผมยังพูดไม่จบเลย ที่บอกว่าแย่ เพราะคุณปล่อยให้รอตั้งนานต่างหาก” คนตัวแสบตรงหน้ายิ้ม ก่อนจะพูดต่อ ซึ่งทำให้ใจของผมกลับมาฟูขึ้นอีกครั้ง อย่างกับลูกโป่งที่โดนสูบลมกลับเข้าไปใหม่
“ผมเองก็ชอบคุณเจฟเหมือนกันครับ...ชอบตั้งแต่ตอนเจอกันที่ร้าน
หวังว่าคุณเจฟจะเข้ามาคุยแต่ก็ไม่ซักที เอาจริง ๆ ผมว่าจะพูดออกไปเองแล้วด้วยซ้ำ ฮ่า ๆ ”
“ห-ห้ะ!? จริงเหรอครับ!? งั้น...”
ยังไม่ทันได้พูดต่อ ผมก็ต้องหยุดอย่างกระทันหัน เพราะเรื่องที่คุณอลันกำลังจะบอก คุณอลันบอกผมว่า ต่อจากนี้ไป 1 ปี เขาคงไม่ได้แวะไปที่เมืองของผมอีก เพราะตนกำลังจะเปิดเรียนในชั้นปีสุดท้าย ซึ่งเจ้าตัวเองก็อยากที่จะทุ่มเทเวลาให้กับผลงานจบอย่างเต็มที่ที่สุด อีกทั้งตัวผมเองก็คงไม่สามารถมายังเมืองนี้ได้อีก เนื่องจากทางเชื่อมมิติเปิดให้เห็นได้เฉพาะสมาชิกในมิติเวลานั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งวันก่อนที่ผมเข้ามาได้ก็เพราะมีโกเม่ที่เป็นสมาชิกของมิตินี้ แต่ถ้าปกติแล้ว ผมอาจไม่เห็นทางเข้าเลยด้วยซ้ำ...
ยอมรับเลยว่าตัวผมเองเมื่อได้ยินอย่างนั้นใจที่เพิ่งพองโตไปก็แอบฟีบลงเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่ใจตรงกันแล้วแท้ ๆ แต่ช่วงเวลาดันไม่เป็นใจ แต่อย่างไรก็ตามผมก็ยังยืนยันกับคนน่ารักตรงหน้าว่า ผมชอบเขามากจริง ๆ เรื่องของเรามันน่าจะมีหนทางอื่นได้อีก ก่อนที่คุณอลันก็นิ่งไปพักหนึ่งและตอบกลับมา ซึ่งเป็นทางออกที่ผมเองก็คิดว่าดีที่สุดเหมือนกัน
“ถ้างั้น...ได้โปรดเชื่อใจ และรบกวนรอผมได้ไหมครับ
หลังจากเรียนจบผมคิดว่าจะย้ายไปอยู่ที่นั่น ที่มิติเวลาของคุณ”
“ค-ครับ? พูดจริงเหรอครับ? ได้! ได้อยู่แล้วครับ! แค่ปีเดียวเอง!”
“ขอบคุณครับ สัญญานะว่าจะรอผม”
“สัญญาครับ จะกาปฎิทินตั้งตานับวันรอเลย”
ให้ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปเติบโต
แล้วค่อยกลับมาเจอกันอีกครั้งในวันเวลาที่ใช่
หลังจากวันนั้น ซึ่งเป็น วันที่ 7 วันสุดท้ายของการอยู่ที่เมืองต่างมิติ พวกเราเลือกที่จะใช้เวลาทั้งวันที่เหลือด้วยกันที่ห้องพัก ไม่ว่าจะทำอาหารทานด้วยกัน ฟังคนตัวเล็กเล่นไวโอลินตัวโปรด ท้าแข่งเกม หรือเล่นสนุกกับเจ้าโกเม่ และเมื่อถึงเวลาต้องกลับบ้าน คุณอลันกับเจ้าตูบตัวน้อยเดินมาส่งผมถึงอีกฝั่งของสะพาน เราร่ำลากันด้วยรอยยิ้ม และอ้อมกอดแสนอบอุ่น
สะพานระยิบระยับหายไปแล้วเหมือนกับว่าไม่เคยมีอยู่ ผมเดินออกมาจากตรอกลึกลับ และกลับไปยังร้าน เมื่อไปถึงผมตรงเข้าไปกอดผู้เป็นพี่ชาย น้ำตาของผมค่อย ๆ เอ่อล้นออกมาจากดวงตา ถึงจะตั้งใจไว้แล้วว่าจะไม่ร้องไห้ เพราะนี่เป็นเพียงการจากลาแค่ชั่วครู่เท่านั้น แต่ทำอย่างไรได้ก็มันอดไม่ได้จริง ๆ ส่วนทางด้านพี่ชายของผม เขาก็ไม่ได้ซักไซ้อะไรมาก แค่กอดปลอบผม และถามว่า “กลับมาแล้วหรอ”
ขณะนี้ผมได้กลับมายังมิติเวลาของตัวเอง
เขากำลังตั้งมั่นที่จะทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่
ตัวผมเองก็จะตั้งใจทำหน้าที่ของผมอย่างเต็มที่เช่นกัน
เราจะรอจนกว่าจะถึงวันนั้น...
ในอีก 1 ปีที่เราจะกลับมากอดกันอีกครั้ง
❤ ❤ ❤
เวลาหนึ่งปีค่อย ๆ ผ่านไปอย่างเชื่องช้าสำหรับคนที่รอคอย ถึงแม้ความจริงแล้วผมเองก็มีสิ่งมากมายที่ต้องจัดการและรับผิดชอบ เนื่องจากในตอนนี้ธุรกิจร้านโฮมเมดของผมกับพี่ชายกำลังรุ่งเรืองขึ้น
ร้านของเรามีลูกค้ามากขึ้นจากปีก่อนมาก เพราะเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว ผมได้ลองสร้างสรรค์เมนูใหม่
ทั้งคาวและหวาน ที่มีไอเดียมาจากการเดินทางไปยังเมืองต่างมิติเวลาของผม
ผมโพสต์มันลงบนโซเชียลมีเดีย ด้วยหน้าตาอาหารที่น่าทาน สีสันแปลกใหม่ซึ่งผมเลือกที่จะใช้สีม่วงและสีชมพูนำมาทำเป็นอาหาร รวมถึงรสชาติอร่อยถูกปากที่ใครต่อใครมาทาน เป็นต้องบอกต่อให้กับคนใกล้ชิด มียูทูปเบอร์และสื่อหลายเจ้าที่เข้ามาลิ้มลอง เพื่อนำเสนอเป็นคอนเทนต์ออนไลน์ กลายเป็นว่าเกิดเป็นกระแสที่ดีมาก ทำให้คนรู้จักร้านของเรามากขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา
แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังอดรู้สึกไม่ได้ว่า หนึ่งปีที่ผ่านมานี้ใช้เวลานานกว่าปีอื่น ๆ ผมเฝ้ากากบาทตัวเลขบนปฎิทินทุก ๆ เดือน นอนหลับไปก็ยังฝันถึงช่วงเวลาที่ได้อยู่ที่เมืองแห่งนั้น จนในที่สุดก็ถึงวันที่สิ้นสุดการรอคอยซักที จากวันนั้นสู่วันนี้และแล้วก็ครบ 1 ปีตามที่สัญญากันไว้ ผมตั้งใจว่าวันนี้จะขอผู้เป็นพี่ชายเลิกงานเร็วซักวัน กะจะแต่งตัวหล่อ ๆ ไปรอรับหนุ่มผมสีน้ำตาลหน้าตาจิ้มลิ้มที่หน้าตรอกลึกลับ
“พี่ ผมไปนะ ฝากด้วยคร้าบ ขอบคุณครับ!” ผมโค้งตัวอย่างไวให้กับคนตัวโตหลังเคาท์เตอร์
“เจฟเดี๋ยว...คือก็ไม่อยากพูดให้ใจเสีย แต่ก็อยากให้เผื่อใจไว้ด้วย พี่แค่กลัวว่าถ้ามีอะไรไม่เป็นอย่างที่คาดไว้แล้วจะเจ็บ คนเป็นพี่ก็ไม่อยากเห็นน้องเสียใจ เข้าใจใช่ไหมเผื่อว่าเอ่อ...” อีกฝ่ายอ้ำอึ้งที่จะพูด
“เผื่อว่าเขาเกิดไม่มา” เราทั้งคู่พูดขึ้นมาพร้อมกัน
พูดตามตรง ผมเองก็แอบกลัวเหมือนกัน มันเป็นสัจธรรมของโลกที่ว่าไม่มีอะไรแน่นอน สัญญาที่เราให้กันไว้จนมาถึงตอนนี้ยังผูกเราทั้งคู่อยู่รึเปล่า หากในคืนนี้เขาไม่ได้มาตามที่เรานัดกันไว้ ตัวผมเองจะยอมรับมันได้รึเปล่า แต่ไม่รู้สิ ไม่ว่าอย่างไรผมก็ยังเชื่อนะ เชื่อในตัวของคุณคนน่ารัก เชื่อในคำสัญญาที่ออกมาด้วยน้ำเสียงจริงใจของเขา
“เข้าใจครับ ขอบคุณนะพี่ แต่ไม่ต้องห่วงน้องชายพี่โตขึ้นเยอะแล้ว ถ้าสมมติเขาไม่มาจริงๆ ผมจะทำใจยอมรับให้ได้ อีกอย่างผมก็มีพี่ไง เดี่ยวพี่ก็ปลอบเองแหละจริงปะ” ผมยักคิ้วและตบบ่าเบาๆ ของคนพี่
“ลำบากพี่ตลอด แต่เออ จะรออยู่ที่นี่จนกว่าจะกลับมาล่ะกัน” เจ้าตัวไหวไหล่ ก่อนจะยิ้มออกมา
ผมรีบตรงไปยังตรอกลึกลับตรอกเดิม ยืนรออยู่ข้างหน้าเป็นเวลานาน เข็มสั้นของนาฬิกาค่อย ๆ เดินจากเลขหนึ่งไปยังอีกเลขหนึ่ง ท้องฟ้าเปลี่ยนสีจากสีส้มสู่ท้องฟ้าสึีมืดที่มีดาวเล็กดาวน้อยกระจายอยู่ทั่วฟากฟ้า ขณะนี้นาฬิกาบอกเวลา 3 ทุ่ม ซึ่งเป็นเวลาที่อลันเคยบอกเอาไว้ว่าเป็นเวลาปิดของประตูมิติ แต่ผมก็ยังคงยืนรอต่อไป เผื่อว่าทางการจะขยายเวลาเปิดประตูมิติอะไรแบบนั้น
แต่แล้วความหวังของผมก็ค่อย ๆ ริบหรี่ ไม่มีวี่แววของใครที่จะออกมาจากตรอกลึกลับนั้น จนเมื่อเวลา 4 ทุ่ม ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ ก่อนจะนั่งลงไปกับพื้นถนนอย่างไม่สนใจคนที่เดินผ่านไปมา สิ่งที่อยู่ภายใต้อกข้างซ้ายกำลังรู้สึกเจ็บอย่างบอกไม่ถูก
ปีนึงแห่งการรอคอยของผมสิ้นสุดลงแบบนี้น่ะเหรอ...
คำสัญญาที่ให้ไว้มีแค่ผมคนเดียวจริง ๆ เหรอที่ยึดถือไว้อยู่ตลอด…
นี่ผมอกหักงั้นเหรอ?
กว่าสิบนาทีก่อนที่ผมจะรวบรวมสติได้อีกครั้ง แล้วจึงตัดสินใจเดินกลับไปยังร้านที่ผู้เป็นพี่ชายรออยู่ ผมเดินกลับร้านด้วยความสับสนในใจ คิดวนไปมาว่าจบแล้วจริง ๆ เหรอกับสิ่งที่รอคอยมาตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้แต่นึกย้อนกลับไปในช่วงเวลานั้น...ผมทำอะไรพลาดไปรึเปล่า ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้
กลายเป็นว่ารู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงหน้าร้านของตัวเองแล้ว ผมเปิดประตูเข้าไปคอตกพร้อมกับทิ้งตัวลงบนเก้าอี้ภายในร้าน แล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะ ในตอนนั้นเองที่รู้สึกได้ถึงใครอีกคนที่มานั่งที่ฝั่งตรงข้าม
“เฮ้อ เป็นอย่างที่พี่พูดจริงด้วยว่ะ ผมน่าจะเผื่อใจไว้มากกว่านี้อีกหน่อยจะได้ไม่เจ็บขนาดนี้” ผมระบายคำพูดต่าง ๆ นานาออกมา เพื่อระบายให้อีกฝ่ายฟัง
“ผมแม่งชอบเขาจริง ๆ นะพี่ ชอบมากเลย ช่วงเวลาตอนนั้นมันโคตรดีจนไม่อยากจะเชื่อว่า
สุดท้ายเรื่องจะจบลงแบบนี้” ผมยังคงพูดต่อไป ส่วนอีกฝ่ายก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับมา
“เฮ้อ นี่ผมทำอะไรผิดไปรึเปล่า...”
“ถ้าจะผิด ก็ผิดที่กลับมาช้าแหละครับ ผมกับพี่โนแลนรอตั้งนานแหนะ”
ผมรู้สึกได้ว่าเสียงคุ้นเคยดังอยู่ใกล้มาก ๆ ผมจึงรีบเงยหน้าขึ้นมาจากโต๊ะทันที และพบกับคนที่เฝ้ารอมาตลอดทั้งปี ใบหน้าน่ารักที่มาพร้อมกับรอยยิ้มสดใส เข้ากันได้ดีกับผมสีน้ำตาลสว่าง
“ค-ค-คุณอลัน!!”
“ครับ ก็ผมน่ะสิ อ้อ...แต่ว่าไม่ได้มาคนเดียวน้า พี่โนแลนครับ คุณเจฟกลับมาแล้วครับ!”
“รอโคตรนานเจฟ ดู ๆ โกเม่หิวจนกินบิสกิตเราไปจะหมดโหลแล้ว” ทันใดนั้นที่พี่ชายของผม
ก็เดินออกมาจากห้องครัวพร้อมในมือที่กำลังอุ้มลูกหมาตัวน้อยพันธุ์บีเกิลอยู่ด้วย
“นี่มัน...อะไรกันครับ? คุณมาตอนไหน ผ-ผมไปรอที่หน้าตรอกนั้นไม่เห็นมีใครเดินออกมาเลย”
“ฮ่า ๆ ผมมาถึงเมืองนี้ตั้งแต่ช่วงสายแล้วครับ แต่ต้องไปจัดการเรื่องที่พักกับที่ทำงานใหม่ก่อน
อีกอย่างกะจะเซอร์ไพร์สคุณตอนเย็น แต่กลายเป็นว่าพอมาถึงก็ไม่เจอคุณซะงั้น”
“นี่ผมอกหักเก้อเหรอ…” ยิ่งคิดก็ยิ่งตลกตัวเอง
“อยากอกหักจริงเหรอครับคุณเจฟ” คนตัวเล็กเอียงคอถามผมด้วยสีหน้ากวน ๆ
“ไม่! ไม่ครับ!!” ผมตอบเสียงดัง
จากนั้นผมจึงยืนขึ้นและเดินเข้าไปกุมมือของอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะครับที่คุณมา คิดถึงมาก ๆ เลย”
“สัญญากันแล้วหนิครับ คิดถึงเหมือนกัน ขอบคุณที่รอผมนะครับ”
“‘งั้นต่อจากนี้ได้โปรดอยู่กุมมือกันแบบนี้ไปตลอด
จะได้ไหมครับ? คบกับผมนะครับอลัน”
“อื้อ...ครับเจฟ รบกวนกุมมือผมแน่น ๆ ด้วยนะครับ”
ผมจุมพิตไปที่หน้าผากของอีกฝ่ายเบา ๆ และโผเข้ากอดกัน
ในที่สุดเวลาแห่งการรอคอยก็สิ้นสุดลงอย่างแท้จริงเสียที :)
- END -
❤ ❤ ❤
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in