เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
[Fic: Thor x Loki] LIEnarscel
[Fic: Thor x Loki] LIE - Ep18 : Thunder
  • Author’s Note : ว่าจะลงตอนใหม่ให้ทันวันเกิดพี่ทอม ก็ไม่ทัน กาดื้บมาลงทันในวันวาเลนไทน์ก็ยังดี (T^T ) คนอ่านลืมไปหมดยังคะเนี่ย เราพยายามเขย่าๆแล้วแต่ตอนนี้ไม่ลงตัวซักที หายไปนานจนจะฝืดซะแล้ว ทั้งที่จิ้มวันละนิดวันละหน่อยทุกวันเลยนะ แงงงงง (>_< ) ยังไงก็จะเข็นจนจบให้ได้แน่นอนค่า! อ้อ ตอนนี้ พาเฟนดรัลมาฝากนิดนึงนะคะ อิอิ

    Pairing : Thor x Loki

    Rate : PG13 ละกันค่ะ

    Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok


    ………………………………………………………………..

    LIE – Ep. 18 : Thunder

    ………………………………………………………………..  

              ธอร์รู้ดี... ความเจ็บจากบาดแผลไม่สามารถทำอันตรายเขาถึงชีวิต ตราบเท่าที่เขายังคงซึมซับพลังจากแอสการ์ด ร่างกายของเขาจะสามารถฟื้นตัวได้เอง เช่นเดียวกันกับเฮล่าผู้เป็นพี่สาว และเท่าที่ดู นางสามารถฟื้นพลังได้เร็วกว่าเขามากเสียด้วย จึงแทบไม่มีโอกาสเลยที่เขาจะฆ่านางที่นี่ได้ แค่จะพาตัวเองหนีให้รอดเงื้อมมือนางยังเรียกได้ว่าลำบาก

              แล้วตอนนี้... เมื่อโลกิอยู่ที่แอสการ์ดด้วย... เขายิ่งหนีไม่ได้...

              ...ท่านแม่ฟริกก้าเคยเขาว่า ร่างกายของอนุชาแตกต่างจากของเขาและเชษฐภคินี... หากโลกิถูกเฮล่าเล่นงานเข้าล่ะก็...

              ภาพเหตุการณ์เมื่อครั้งต่อสู้กับดาร์คเอล์ฟที่สวาทาล์ฟไฮม์ยังคงตามหลอกหลอนเขาเสมอมา ธอร์จึงบอกกับตัวเองมาตลอด ว่าเขาจะไม่ยอมให้เหตุการณ์เช่นนั้นเกิดขึ้นอีก ดังนั้นสิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ก็แค่เวลา... ขอแค่ให้เขามีแรงยื้อเฮล่าไว้ได้นานพอที่โลกิจะพาทุกคนหนีไปจากที่นี่ได้...

              แต่ตอนนี้อากาศจะหายใจกลับถูกช่วงชิงไปด้วยอุ้งมือแกร่งราวคีมเหล็กที่ขยุ้มกดเข้าที่คอ จนในหัวของธอร์เริ่มพร่าเบลอ เสียงของเฮล่าเริ่มฟังดูห่างไกลออกไปทุกทีๆ…

              แต่แล้วจู่ๆ สายลมเย็นสดชื่นก็พัดปะทะใบหน้า ธอร์กลับพบว่าตัวเองเดินอยู่บนทุ่งหญ้า และเบื้องหน้าของเขาปรากฏร่างอันคุ้นตา

              ...โอดิน...พระบิดา...

              สองเท้าลากร่างไร้เรี่ยวแรงเข้าไปใกล้ เพียงไม่กี่ก้าวร่างสูงใหญ่ของเทพเจ้าสายฟ้าก็ทรุดลงนั่งคุกเข่าต่อหน้าอดีตกษัตริย์แห่งแอสการ์ด

              ธอร์ไม่แน่ใจว่าที่นี่คือที่ใด

              ...วัลฮาลา?...

              ...ไม่...ไม่ใช่... มันดูเหมือนมิดการ์ดมากกว่า...  เหมือนทุ่งหญ้าบนหน้าผาแห่งนั้น... สถานที่ซึ่งพวกเขาได้คุยกันครั้งสุดท้าย...

    --- ℑ ---

              โลกิ ลอเฟย์ซัน ก้าวฝ่าฝูงชนชาวแอสการ์ดซึ่งเร่งทยอยขึ้นยานอวกาศ ‘เดอะ อาร์ค’ ตามคำสั่งการของเขา ดวงตาสีเขียวกวาดมองไปทางไบฟรอสท์เบื้องหน้า แต่เมื่อไม่มีวี่แววของคนที่เขาตั้งใจมองหาก็อดใจหายไม่ได้

              “ยินดีต้อนรับ”

              เสียงของไฮม์ดัลกล่าวทักขึ้นขัดความคิด

              “ข้าเห็นแล้วว่าท่านจะมา”

              “มันแน่อยู่แล้ว...”

              การทักทายตามมารยาท กลายเป็นเรื่องเกินความจำเป็นทันที เมื่อกองทัพทหารปีศาจของเฮล่าบุกเข้ามาประชิดอีกครั้ง

              เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ด พาเหล่านักโทษติดอาวุธจากซาคาร์ตั้งแนวรบร่วมกับกลุ่มของไฮม์ดัลทันที เพื่อสกัดกั้นไม่ให้กองทัพปีศาจบุกเข้าถึงชาวแอสการ์ดด้านหลังพวกเขาได้

              แนวตั้งรับของโลกิได้เปรียบในเรื่องอาวุธ แต่ฝีไม้ลายมือในการรบยังเป็นรองทหารปีศาจอยู่มาก โลกิเองก็ไม่อาจประเมินได้ว่าพวกเขาจะต้านทานศัตรูไว้ได้นานแค่ไหนเสียด้วย ถึงอย่างนั้น เขาก็ต้องทำให้ดีที่สุด

              ...มันไม่ใช่นิสัยของเขาเลย... การต่อสู้ที่ไม่เห็นโอกาสชนะเช่นนี้... นี่เขาคงติดนิสัยดื้อรั้นแบบโง่ๆมาจากเชษฐาเข้าให้แล้วกระมัง...

              บุตรแห่งลอเฟย์เหยียดยิ้มจางๆ สะบัดมือทั้งสองข้าง มีดดาบแบบชาวซาคาเรี่ยนก็ปรากฏขึ้น เขาก้าวเท้าเข้าหาทัพศัตรูซึ่งดาหน้าเข้ามา ประกายโลหะวูบวาบทุกครั้งที่ตวัดวาดมือออกไป และร่างของศัตรูก็ร่วงลงไปกองมากขึ้นเรื่อยๆ... ถึงกระนั้นจำนวนที่มากกว่าก็ยังถาโถมเข้าหาอย่างมืดฟ้ามัวดิน...

              ทันใดนั้นอสุนีบาตลูกใหญ่ก็ฟาดเปรี้ยงลงตรงระเบียงปราสาททองคำเบื้องหน้า เสียงสายฟ้าดังสนั่น เกิดคลื่นสั่นสะเทือนจนทุกชีวิตบนไบฟรอสท์หยุดชะงักเพื่อหันไปมอง

              ลำแสงสีฟ้าจัดลากเป็นทางยาวลงมาจากระเบียงปราสาทจุดที่ถูกฟ้าผ่าเมื่อครู่ หากมองดูให้ใกล้เข้าจะเห็นร่างของคนผู้หนึ่งลอยลงมาตรงปลายลำแสงสีฟ้านั่น...

              โลกิมองตามแสงสว่างเป็นสายนั้น... จู่ๆ เขาก็แน่ใจขึ้นมา ว่าเขาเคยเห็นมันมาก่อน... ไม่ใช่ที่ซาคาร์... แต่เป็นก่อนหน้านั้น

    --- ℑ ---

              “เอาเลยโลกิ!... เต็มแรงหน่อย! ถ้าแรงแขนเจ้ามีเท่านี้ พวกโทรลภูเขาโดนเข้า พวกมันจะจั๊กจี๋มากกว่าเจ็บเอานะ”

              เสียงตะโกนกึ่งเชียร์กึ่งแซว ดังมาจากด้านข้างสนามฝึกซ้อมของกองทหารแอสการ์ด และต้นเสียงจะเป็นใครไปได้นอกจากเฟนดรัล สหายของเชษฐาผู้เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเขามาช้านาน

              นัยย์ตาสีเขียวของคนถูกล้อฉายแววคมกร้าวยามตวัดจ้องกลับไป มือของโลกิซึ่งกุมไม้พลองงัดยื้ออยู่กับธอร์ผู้เป็นเชษฐา เผลอกำแน่นขึ้นตามอารมณ์กรุ่น ซึ่งเจ้าตัวพยายามกดข่มไว้

              “…ว่าไงนะ...เจ้าพูดใหม่ซิ…”

              เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดสวนกลับด้วยน้ำเสียงเย็นเยียบ แฝงไว้ด้วยความหงุดหงิดเอาเรื่อง แต่คนล้อเลียนดูจะไม่ใส่ใจนัก แถมยังยืนส่งยิ้มหวานให้เจ้าชายหนุ่ม ก่อนทวนประโยคสัพยอกซ้ำอีกครั้งตามคำเรียกร้อง

              “ข้าบอกว่า...ถ้าแรงแขนเจ้ามีเท่านี้ พวกโทรลภูเขาโดนเข้า พวกมันจะจั๊กจี๋มากกว่าเจ็บเอาน่ะ”

              “พอน่า...เฟนดรัล…”

              ธอร์หันไปปรามเพื่อนตน แต่พูดแล้ว เขาก็ดันหลุดยิ้มกว้าง ก่อนจะขำเบาๆ ตามไปด้วยอีกคน

              ...มันช่วยไม่ได้นี่ ก็เขาไม่เคยเห็นว่าพวกโทรลภูเขาเวลาจั๊กจี๋ พวกมันร้องหรือทำท่าทางยังไง พอนึกภาพตามเข้า ธอร์ก็อดขำออกมาไม่ได้

              โลกิขบกรามแน่น ปรายตาเขียวปั้ดกลับมามองหน้าคนขำ รอยยิ้มของเชษฐา ซึ่งโลกิเคยแอบคิดว่ามันดูน่ารักดี มาตอนนี้กลับดูกวนอารมณ์ และน่าโมโหเป็นที่สุด

              คนตัวบางกว่ายกพลองดันอีกคนออก เป็นสัญญาณให้แยกห่างเพื่อเริ่มต้นฝึกกันใหม่อีกครั้ง แต่พอธอร์ก้าวถอยไปตั้งหลัก โลกิก็ฉวยโอกาสเหวี่ยงไม้พลองในมือวาดตามไปอย่างรวดเร็ว และฟาดใส่โหนกแก้มเชษฐาตนอย่างแม่นยำ จนใบหน้าของธอร์ขึ้นเป็นปื้นแดง และคนโดนถึงกับยืนอึ้งไปพักใหญ่ ก่อนจะขมวดคิ้วเข้าหากัน

              ผู้เป็นอนุชากลับเลิกคิ้วสูงมองตอบ สีหน้าท่าทางคล้ายกำลังสงสัย

              “ท่านพี่ดู...ไม่เห็นขำ?... ไหนสหายของท่านว่า...มันคงจั๊กจี๋?”

    --- ℑ ---

               “...ธอร์... แม่บอกเจ้าหลายครั้งแล้ว… ร่างกายของน้องชายไม่เหมือนเจ้า... เขาไม่สามารถรับพลังจากแอสการ์ดมารักษาอาการบาดเจ็บให้ตัวเองได้รวดเร็วเช่นเจ้า เวลาฝึกซ้อมกัน ทำไมถึงไม่ระมัดระวังให้มากกว่านี้หื้ม...”

              ผู้เป็นมารดาอดกล่าวตักเตือนบุตรคนโตของนางไม่ได้ เมื่อเห็นใบหน้าบุตรชายคนรองของนางบริเวณช่วงปากและจมูกยังคงมีร่องรอยคราบเลือดเปรอะอยู่ แม้ว่าโลหิตส่วนใหญ่จะถูกเช็ดออกไปบ้างแล้วด้วยหลังแขนของคนต้นเหตุ

              ใบหน้าขาวซีดของคนเจ็บกลับเรียบนิ่ง ดวงตาสีเขียวใสทอดสายตาเหม่อมองข้ามไหล่ผู้เป็นมารดาออกไป ขณะที่ราชินีฟริกก้าเริ่มร่ายเวทรักษาให้เขา

              “โลกิหวดข้าด้วยไม้พลองก่อน...”

              ธอร์ซึ่งยืนเฝ้าดูอาการอีกคนอยู่ไม่ห่าง คิ้วมุ่นเข้าหากัน ขณะยกนิ้วชี้ไปทางอนุชา แต่พอมารดาส่งสายตาตำหนิกลับ บุตรองค์โตแห่งโอดินก็เบาเสียงลงตอนท้ายประโยคอย่างจำยอม เหลือแค่ทำเสียงฮึดฮัดเบาๆ อย่างขัดใจ

              ...ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกแย่ที่ทำโลกิบาดเจ็บ... แต่การเป็นฝ่ายผิดในสายตาท่านแม่เสมอ ทำให้เขารู้สึกหงุดหงิดอยู่ไม่น้อย

              ...เขาไม่ได้เจตนาทำอนุชาเลือดกบปากเสียหน่อย... อันที่จริง หลังจากโดนไม้พลองฟาดเข้าหน้าเต็มๆ ไปทีหนึ่ง เขาก็กลับมามีสมาธิในการซ้อมมากขึ้น และเมื่อโลกิพุ่งเข้าหาในครั้งต่อมา เขาก็เบี่ยงตัวหลบได้ทัน อนุชาจึงเป็นฝ่ายเสียหลัก พุ่งมาชนปลายศอกของเขา มันก็แค่อุบัติเหตุ...

              โอเค... จริงๆ แล้วเขาก็เผลอถองศอกสวนกลับไปด้วย... แต่ก็นั่นล่ะ! โลกิน่าจะหลบได้นี่!! ปกติหมอนั่นไวจะตาย!

              ...และใช่...เขายังยืนยันว่าโลกิเป็นฝ่ายเริ่มก่อน!!...

              “อย่าโทษพี่ชายเลยท่านแม่ ข้ามัวแต่เหม่อเอง และมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก”

              “โลกิ... เจ้าก็ดีแต่ปกป้องพี่เจ้า... เอาเถอะ เรื่องการต่อสู้จากนี้ข้าจะเป็นคนสอนเจ้าเอง”

              ราชินีฟริกก้าถอนหายใจ พลางลูบผมบุตรชายคนเล็กของนางอย่างปลอบโยน

              ดวงตาสีฟ้าจัดเลื่อนมองไปที่ใบหน้าอนุชา เป็นจังหวะเดียวกับที่ดวงตาสีเขียวใสของคนเจ็บลอบมองกลับมาจนสบกัน

              ...แวบหนึ่งของความรู้สึก ธอร์แอบคิดว่า ดวงตาสีเขียวของอนุชาทอแววพราวระยับมองกลับมา คล้ายกำลังยิ้มเยาะเขาซึ่งกำลังถูกดุอยู่... และนั่นอาจเป็นเหตุผลที่อีกคนไม่หลบศอกของเขา...

    --- ℑ ---

              ค่ำคืนนี้ดวงจันทร์ดูจะกลมโตกว่าทุกราตรี ในความรู้สึกของเจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ด ลำแสงสีเงินยวงทอลอดผ่านแมกไม้ลงมา ทำเอาเส้นทางในป่าดูสว่างกว่าที่คาดคิดไว้ จนแม้ไม่พึ่งพาแสงจากสิ่งอื่นใด ก็สามารถเห็นเส้นทางเบื้องหน้าได้ลางๆ

              ท่ามกลางความเงียบสงัดของป่า เสียงฝีเท้าอาชาดังสะท้อนแผ่วเบา

              บนหลังม้าสีหมอกมีร่างเพรียวบางของเจ้าชายน้อยในวัยเพิ่งย่างเข้าวัยหนุ่ม เขาเอนตัวแนบลู่ไปกับแผงคอม้า มือกุมสายบังเหียนพาม้าทรงควบทะยานตรงเข้าใจกลางป่าโดยลำพัง ปราศจากทหารองครักษ์ติดตาม

              จุดหมายปลายทางของเทพแห่งคำลวง คือชายป่าอีกฟาก ซึ่งบริเวณนั้นมีเชิงผาหินเหนือทะเลสาบขนาดใหญ่ บนหน้าผาแห่งนั้นมีถ้ำน้อยใหญ่ซุกซ่อนอยู่มากมาย

              ...สถานที่ซึ่งใครต่อใครพากันเล่าลือว่า มันเป็นรังของพวกโทรลภูเขา...

              ในสายตาจอมวางแผนเช่นเขา แผนการในค่ำคืนนี้ไม่มีอะไรซับซ้อนเลย...

              ...ขี่ม้าไปจนถึงจุดหมาย ดักรอโทรลภูเขาซึ่งกำลังจะกลับเข้าถ้ำในช่วงก่อนรุ่งสาง เลือกฆ่าพวกมันสักตัว ตัดหัวเอากลับไปปราสาท จากนั้นเขาก็แค่ถือหัวเจ้าโทรลภูเขาผู้โชคร้าย ไปโยนใส่หน้าใครก็ตามที่ปากดีใส่เขาไว้เมื่อตอนบ่ายก็เท่านั้น...

              ม้าตัวที่โลกิเลือกมา เป็นม้าหนุ่มฝีเท้าจัด เดินทางไม่ถึงครึ่งคืนเขาก็มาถึงที่หมาย เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดโดดลงจากหลังม้าก็จูงมันไปพักดื่มน้ำที่ทะเลสาบ

              ประสาทสัมผัสอันว่องไวช่วยให้เขาได้ยินเสียงอะไรบางอย่างเคลื่อนไหวอยู่ทางชายป่าใกล้ๆ แต่เมื่อตั้งใจเงี่ยหูฟังอีกครั้ง เสียงนั้นก็หายไป

              โลกิรีบจูงม้าของเขาไปผูกหลบไว้ในจุดลับตา จากนั้นก็ย่องหลบเข้าหลังต้นไม้ใหญ่ เพ่งมองฝ่าความมืดไปทางต้นเสียง สองมือพลันปรากฏกริชอาคมซึ่งเจ้าตัวร่ายเวทเรียกมากุมกระชับไว้แน่น เมื่อยังคงไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ เขาก็เดินอ้อมไปยังทิศทางที่มาของเสียงนั้น ไม่นานนักก็เห็นเงาตะคุ่มเคลื่อนไหวอยู่หลังพุ่มไม้รกเรื้อเบื้องหน้า...

    --- ℑ ---

               ร่างเป็นเงาตะคุ่มของใครบางคนกำลังผูกม้าของเขาไว้กับต้นไม้ต้นหนึ่ง ไม่ไกลจากจุดที่เขาเห็นเจ้าชายแห่งแอสการ์ดลงจากหลังม้า แต่เมื่อหันกลับไปอีกที ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของผู้ที่เขาสะกดรอยตามมาเสียแล้ว

              “คลาดกันจนได้…”

              เสียงบ่นเบาๆ กับตัวเองยังไม่ทันขาดคำ พลันมีแสงสะท้อนของโลหะกระทบต้องกับแสงจันทร์พุ่งวาบเข้าหาเยื้องมาทางบ่าด้านหลังของเขา คนถูกจู่โจมตอบสนองอย่างว่องไวด้วยการเอี้ยวตัวหลบได้อย่างหวุดหวิด และคว้าข้อมือของฝ่ายจู่โจม จับบิดจนเจ้าของกริชร้องออกมาเบาๆ กริชจากเวทอาคมพลันหายจากฝ่ามือซีดขาว

              ข้อมือทั้งสองข้างถูกอีกคนจับล็อคไขว้กันไว้ระดับอก แล้วตรึงกดให้หลังชนลำต้นของต้นไม้ใหญ่ บริเวณนั้นมีแสงจันทร์ส่องเป็นลำลอดแมกไม้ลงมา ทั้งคู่จึงมองเห็นใบหน้ากันและกันได้ชัดขึ้น

              เบื้องหน้าของโลกิ คือไม้เบื่อไม้เมาซึ่งเขาคุ้นเคยดี... เทพแห่งความสำราญ... เฟนดรัล

              “ท่านไม่ควรจู่โจมข้าเจ้าชายน้อย...”

              เฟนดรัลกระซิบ พร้อมส่งยิ้มกวนให้กับคนตรงหน้า

              “เจ้าต่างหากที่ไม่ควรลอบสะกดรอยตามข้ามา”

              โลกิเอ่ยสวนกลับแทบจะทันที

              ดวงตาสีเขียวดูหมางเมินเย็นชา ส่อแววว่ายังโกรธอีกฝ่ายไม่หายจากเรื่องเมื่อตอนกลางวัน แต่ท่าทางเช่นนั้นกลับยิ่งดูน่าหมั่นเขี้ยว น่าแกล้งขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูกในสายตาเฟนดรัล

              ยิ่งผู้เป็นอนุชาของสหายรักดิ้นกุกกักพยายามให้หลุดจากการยึดกุม เฟนดรัลก็ยิ่งจงใจไม่ยอมคลายแรงตรงข้อมืออีกฝ่าย และยึดกดร่างเล็กนั้นไว้แน่นขึ้น

              “จะว่าข้าสะกดรอยตามท่านได้ไง? ข้าไม่ใช่นักโทษของแอสการ์ด จะไปที่ไหนก็ย่อมได้ และเราอาจบังเอิญใจตรงกัน ก็เลยเดินเล่นยามดึกมาในที่เดียวกันเฉยๆ ก็เป็นได้ ท่านไม่คิดเช่นนั้นหรือเจ้าชายโลกิแห่งแอสการ์ด…”

              เฟนดรัลไหวไหล่ รอยยิ้มกวนยังคงฉายชัดบนใบหน้า ขณะเดียวกันสายตาก็ลอบหลุบลงสังเกตสันจมูกของอีกฝ่ายในระยะใกล้ เมื่อพบว่ามันไม่หลงเหลือแม้แต่รอยช้ำให้เห็น จากอุบัติเหตุระหว่างซ้อมเมื่อตอนกลางวัน ซึ่งส่วนหนึ่งเขาเองเป็นต้นเหตุ นักรบหนุ่มก็ค่อยรู้สึกโล่งใจขึ้น

              โลกิหยุดยืนนิ่ง เมื่อเห็นว่าการดิ้นรนของเขาดูจะไร้ผล

              “ปล่อยข้า... เฟนดรัล... ก่อนที่ข้าจะไม่อดทนต่อการยั่วยุของเจ้า”

              โลกิออกคำสั่งแผ่วเบาเท่าเสียงกระซิบ หากแต่น้ำเสียงยังคงไว้ตัว และวางอำนาจเหนืออีกฝ่ายชัดเจนจนสัมผัสได้

              “ถ้าไม่อดทนแล้วท่านจะทำอะไรข้างั้นรึ?”

              แม้จะรับรู้ได้ว่าอีกคนเริ่มเอาจริง แต่เฟนดรัลก็ยังไม่หยุดล้อเล่นกับคู่ปรับเขาต่ออีกหน่อย ใบหน้าคนถามยังคงมีรอยยิ้มกวนประดับอยู่ คล้ายท้าทาย เพราะคิดว่าอีกฝ่ายถนัดก็แค่พูดจาจิกกัดเขาตอบ

              โลกิเหยียดยิ้มบาง แล้วเค้าโครงหน้าออกหวานของเจ้าชายหนุ่มก็ยื่นเข้าหาใบหน้าอีกคนจนใกล้... ใกล้เสียจนเทพแห่งความสำราญต้องเป็นฝ่ายผงะถอยห่างออก ก่อนที่ใบหน้าของเขาทั้งคู่จะชนกัน

              “ข้าบอกแล้ว...ให้เจ้าหยุด... ‘ยั่ว’ ข้า”

              โลกิจงใจเน้นคำ ก่อนเผยรอยยิ้มสะใจอย่างผู้ถือไพ่เหนือกว่า เมื่อเห็นใบหน้าขึ้นสีเรื่อของคนตรงหน้า

              คนฉลาดอย่างเขามีหรือจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายคิดอะไร แรกๆ ก็เป็นแค่ความรู้สึกหงุดหงิด แต่เมื่อจับสังเกตไม่นานโลกิก็อ่านความคิดอีกฝ่ายออกเลาๆ เพียงแต่เรื่องบางเรื่อง การแกล้งทำเป็นไม่รู้ดูจะเป็นวิธีรับมือที่ง่ายกว่าก็เท่านั้น

              และก็จริงดังคาด พอโดนแกล้งกลับบ้าง เฟนดรัลกลับเป็นฝ่ายยอมคลายแรงกดตรงข้อมืออีกคน และเฉไฉเปลี่ยนเรื่อง ไม่กล้าต่อล้อต่อเถียงต่อ

              “ท่านไม่ควรออกมาคนเดียวแบบนี้... มันทำให้ทุกคนเป็นห่วง”

              “ทุกคนนี่... รวมเจ้าด้วยงั้นเหรอ?”

              “ใช่...แม้แต่ข้า...”

              โลกิกระชากข้อมือตัวเองออกจากการยึดกุม แล้วหันหลังเดินกลับไปทางทะเลสาบ

              เฟนดรัลซึ่งเดินตามมายังคงรู้สึกประหม่าจากเหตุการณ์เมื่อครู่ แต่พอสงบสติได้เขาก็เดินตามไปช้าๆ

              “…รู้ไหม... ท่านไม่จำเป็นจะต้องพยายามพิสูจน์ตัวเองอะไรกับเรื่องนี้เลย จะอย่างไรท่านก็คือท่าน... ธอร์ก็คือธอร์ พวกท่านแตกต่างกัน”

              แน่นอน... โลกิรู้ดี เขาไม่มีวันเป็นได้อย่างธอร์ แต่ใครต้องการเป็นเจ้าโคถึกโง่เง่าดีแต่ใช้แรงกันเล่า ที่เขาต้องการพิสูจน์ให้ใครต่อใครเห็นก็คือ... เขาสามารถทำสิ่งที่ธอร์ทำได้ด้วยสติปัญญาของเขา ด้วยวิธีอันชาญฉลาดกว่าของเขาต่างหาก และยิ่งกว่านั้น... คนที่เขาต้องการพิสูจน์ให้เห็น อาจไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นตัวของเขาเองนี่แหละ... ก่อนที่เขาจะสูญเสียความเชื่อมั่นที่มี...

              โลกิก้าวขึ้นไปบนเงื้อมผา และทันทีที่หย่อนตัวลงนั่งกอดอกพิงโขดหินใหญ่เขาก็หลับตาลงคล้ายต้องการตัดบทสนทนา

              “ข้าว่า... พวกเรากลับกันเถอะเจ้าชาย...”

              “ถ้าเจ้าอยากกลับ ก็กลับไปคนเดียว แต่ถ้าจะอยู่ ก็สัญญากับข้า ว่าเจ้าจะไม่สอดมือเข้ายุ่ง และถ้าคิดว่าทำไม่ได้ เจ้าก็ควรจะกลับไปซะ...”

              เจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดประกาศคำขาด

    --- ℑ ---

              ท่ามกลางความมืดอันรายล้อม สองแอสการ์เดี้ยนหนุ่ม ต่างคนต่างนั่งกอดอกพิงโขดหินเย็นเฉียบก้อนนั้น เพื่องีบเอาแรงระหว่างรอคอย

              อีกหลายชั่วโมงกว่าจะรุ่งสาง แต่อากาศบริเวณริมทะเลสาบแถบชายป่าเช่นนี้ ยิ่งเป็นช่วงกลางดึกก็ยิ่งชื้นและหนาวเสียจนเฟนดรัลไม่อาจข่มตาหลับได้ เขาหันไปมองทางโลกิ และลองกระซิบเรียกดูเบาๆ แต่เหมือนอีกคนจะผล็อยหลับไปอย่างง่ายดาย เขาจึงตัดสินใจลุกไปเดินสำรวจรอบๆ แทนเพื่อแก้หนาว

              ร่างของเฟนดรัลเดินห่างออกไปไม่นานนัก ร่างสูงใหญ่ของใครอีกคนก็ก้าวมาหยุดยืนข้างคนหลับ

              คงเพราะเมื่อบ่ายอากาศค่อนข้างอบอ้าว เจ้าชายองค์รองผู้ไม่ถูกกับความร้อนจึงค่อนข้างเพลียจากการฝึกซ้อม พอเจออากาศเย็นเข้า เจ้าตัวถึงหลับลงอย่างง่ายดาย

              โลกินั่งหลับในท่าคอพับพิงหินใหญ่ ท่าทางดูน่าเมื่อยขัดตาผู้มาใหม่ มือกร้านของคนร่างสูงจึงจับจัดให้เอนกลับมาพิงหินตรงๆ ด้วยกลัวว่าเมื่อเจ้าตัวตื่นขึ้นมาจะบ่นปวดคอเอาได้

              แต่พอปลายนิ้วสัมผัสโดนผิวกายอนุชา ธอร์ โอดินซัน ก็ถึงกับมุ่นคิ้ว เมื่อผิวกายอีกคนเย็นเยียบจนน่าตกใจ

              ผู้เป็นเชษฐาจัดการถูฝ่ามือทั้งสองข้างของเขาเองจนอุ่น แล้วแนบอย่างแผ่วเบาเข้าที่แก้มทั้งสองข้างของอนุชา

              เมื่อมีมืออุ่นมาแตะ โลกิก็เริ่มรู้สึกตัว และเอ่ยถามคนตรงหน้าด้วยน้ำเสียงง่วงงุน

              “พวกโทรล... กลับมากันแล้วเหรอเฟนดรัล?”

              “เปล่า...”

              เสียงทุ้มต่ำอันคุ้นเคยกระซิบตอบ แต่คงเพราะมันเบามาก กอปรกับคนฟังยังครึ่งหลับครึ่งตื่น พอได้คำตอบเขาก็ปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง ทิ้งให้อีกฝ่ายยกมือเกาต้นคอตนเองอย่างเก้อๆ อยู่คนเดียว

              ภายใต้ความมืดเห็นกันเพียงเงาลางๆ โลกิจึงไม่นึกเอะใจอะไร และยังคงเข้าใจว่าคนที่อยู่ด้วยตอนนี้คือสหายของเชษฐา

              …หลับไม่รู้เรื่องแบบนี้... เดี๋ยวก็โดนพวกโทรลจับไปกินกันพอดี...

              ผู้เป็นเชษฐาได้แต่ส่ายหัวเบาๆ พลางลอบถอนหายใจ

              จากนั้นโขดหินใหญ่และเย็น ซึ่งโลกินอนพิงอยู่ ก็ถูกแทนที่ด้วยแผ่นหลังอุ่นและกว้างของผู้ที่ทิ้งตัวนั่งลงข้างๆ

              แต่เพราะคนหลับทำท่าจะไหลลงไปกองกับพื้นอยู่หลายครั้ง ในที่สุดจากแผ่นหลังก็เปลี่ยนไปเป็นแผงอก และธอร์ยังจัดศีรษะอีกฝ่ายให้อิงเข้ากับบ่าด้านหน้าของเขาไว้อย่างดีเพื่อไม่ให้ไหลลงไปกองกับพื้นอีก

    --- ℑ ---

               ช่วงใกล้รุ่งสาง ท้องฟ้าเริ่มสว่างขึ้น ก็เริ่มมีเสียงสวบสาบดังขึ้นทางชายป่า ธอร์เองกำลังเคลิ้มใกล้หลับ พอได้ยินเสียงนั้นเขาก็พลันสะดุ้งตื่น เขานึกห่วงเฟนดรัลซึ่งหายตัวไปตลอดคืนขึ้นมา เทพเจ้าสายฟ้าจึงตัดสินใจปล่อยอนุชาให้หลับพิงโขดหินเหมือนเดิม และขยับตัวลุกเพื่อออกไปสำรวจที่มาของเสียงนั้น

              เขาเดินตามทิศทางของเสียงซึ่งดังให้ได้ยินเป็นระยะ จากชายป่าเข้าไปไม่ลึกเท่าไหร่ ธอร์ก็พบสหายตนนอนขดหลับอยู่ในตาข่ายเชือก

              ที่แท้เฟนดรัลโดนกับดักของพวกโทรล ถูกรวบตัวด้วยตาข่ายห้อยต่องแต่งอยู่บนต้นไม้ขนาดใหญ่มาตลอดคืน

              “เฟนดรัล!”

              เจ้าชายองค์โตแห่งแอสการ์ดตรงเข้าไปกระซิบเรียกใกล้ๆ มือก็ชักดาบสั้นออกมาฟันปมปลายเชือกซึ่งรวบปากแหไว้ออกให้ แอสการ์เดี้ยนหนุ่มหล่นลงไปถึงพื้นก็รีบแกะตาข่ายออก แต่ยังไม่ทันได้ถามไถ่อะไรกัน เสียงสวบสาบก็ดังขึ้นอีกครั้ง

              โทรลภูเขาโตเต็มวัยโผล่มาดูสัตว์ตัวน้อยในกับดักตน แต่กลับพบสองหนุ่มก็คำรามลั่นป่า

              ธอร์ และเฟนดรัลชักดาบออกมากระชับในมือ ตั้งท่าพร้อมสู้ ทันใดนั้นเสียงคำรามของโทรลภูเขาก็ดังขึ้นอีกครั้ง และอีกครั้ง แต่กลับดังมาจากทางทะเลสาบ ทิศเดียวกับเงื้อมผาซึ่งโลกิหลับอยู่

              ทั้งธอร์ และเฟนดรัลหันมองหน้ากัน ดวงตาทั้งคู่ฉายแววตื่นตระหนก ก่อนจะร้องขึ้นแทบจะพร้อมกัน

              “โลกิ!”         “โลกิ!”

    --- ℑ ---

              พอใกล้รุ่งสาง โลกิก็เริ่มรู้สึกตัว เขาพบตนเองนอนพิงก้อนหินอยู่เพียงลำพังก็กวาดตามองหาเฟนดรัล เขาลุกเดินไปล้างหน้าตรงทะเลสาบ และปีนกลับขึ้นไปดักซุ่มบนเงื้อมผาอีกครั้งเฝ้ารอโทรลภูเขาสักตัวซึ่งจะเดินผ่านทางลาดใกล้ๆ กลับขึ้นไปบนถ้ำ

              แต่แล้วก็เกิดเสียงคำรามลั่นดังมาจากชายป่า

              “เฟนดรัล?!”

              เจ้าชายองค์รองเตรียมจะพุ่งตัวลงจากผาเพื่อไปช่วยสหายของพี่ชาย ซึ่งน่าจะปะทะกับโทรลภูเขาเข้าให้แล้ว

              ทว่ายังไม่ทันจะได้ขยับไปไหน ก็มีโทรลภูเขาอีกตัว กระโดดลงมาหาเขาจากหน้าผาด้านหลังเสียก่อน ร่างใหญ่โตของมันกระแทกอั่กกดลงมา ทำเอาโลกิล้มคว่ำลงไปกับพื้น และบัดนี้มันก็ยืนตระหง่านง้ำคร่อมเหนือร่างเจ้าชายหนุ่ม

              ที่แท้เสียงคำรามนั้นเป็นการร้องเรียกให้เพื่อนของมันรับรู้ว่ามีผู้บุกรุกเข้ามาในอาณาเขตของพวกมัน บนผาหินสูงชัน ตอนนี้ปรากฏเงาร่างใหญ่โตของโทรลภูเขานับสิบ กำลังโดดทิ้งตัวลงมาหาโลกิ เสียงคำรามดังปะปนกับเสียงร้องโหยหวน เมื่อมีดดาบซัดผ่านร่างพวกมันไปตัวแล้วตัวเล่า ยิ่งนานเงาร่างดำทะมึนก็ยิ่งมากขึ้นจนมองไม่เห็นอะไรนอกจากโทรลตัวแล้วตัวเล่าที่ดาหน้าเข้ามา

              เจ้าชายองค์รองกำลังผลักซากศพโทรลภูเขาตัวหนึ่งซึ่งถูกดาบซัดร่วงจากผา หล่นลงมาทับตัวเขาออก แต่แล้วกลับถูกโทรลอีกตัวคว้าจับตัวเขายกลอยเหนือพื้น

              โลกิปักมีดลงบนมือมันเพื่อให้มันเจ็บจนปล่อยมือออก ที่ไหนได้เจ้าโทรลตัวนั้นกลับเลือกจะขว้างแอสการ์เดี้ยนตัวน้อยในอุ้งมืออัดเข้าใส่ผาหินด้านหลังแทน

              ร่างของเทพหนุ่มหลังกระแทกเข้ากับหินเต็มๆ ก่อนจะร่วงลงไปนอนคว่ำหน้ากับพื้นอีกครั้ง ในหัวมึนตึ้บจนเห็นดาว แต่เขาก็พยายามกัดฟันลุกขึ้น

              ตอนนั้นเองที่สายฟ้าผ่าเปรี้ยงเข้าใส่เงื้อมผาแห่งนั้นอย่างรุนแรงจนผาหินนั้นพังทลาย ทั้งโลกิและพวกโทรลบนเงื้อมผาแห่งนั้นพากันหล่นลงสู่ทะเลสาบทันที

              เหนือผิวน้ำยังคงมีประกายแสงสีฟ้าสว่างวาบไปทั่ว เสียงสายฟ้าฟาดดังสนั่นก้องราวกับมีพายุลูกใหญ่

              โลกิถีบตัวโผล่ขึ้นมาหายใจเหนือผิวน้ำ สายตาพลันเห็นสิ่งหนึ่งคล้ายสายฟ้าลูกใหญ่ทิ้งตัวลงมาจากหน้าผาลงมายังทะเลสาบ พร้อมๆ กับเศษหินจากการแตกกระจายของหน้าผา บางก้อนก็ใหญ่เอาเรื่อง เมื่อหล่นลงมากระแทกเข้ากับร่างเจ้าชายแห่งแอสการ์ด เขาก็จมกลับลงไปใต้น้ำอีกครั้ง

    --- ℑ ---

              เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นรวดเร็ว และชุลมุนสับสน โลกิเห็นใบหน้าของเฟนดรัลในทะเลสาบเลือนลาง ก่อนที่เขาจะหมดสติไป และแน่นอนว่าเขาฟื้นขึ้นมาอย่างปลอดภัยที่ห้องของตนเองในพระราชวังแอสการ์ด เขาเลยคาดเดาเอาว่าสหายของพี่ชายคงเป็นคนดำลงไปลากร่างเขาขึ้นมาจากทะเลสาบ

              โลกิพักฟื้นอยู่หลายวัน กว่าจะได้ข่าวเรื่องเชษฐาของเขาได้รับโยลเนียร์เป็นอาวุธคู่กายในช่วงที่เขาบาดเจ็บอยู่...

              ในตอนนั้นเขาทั้งหงุดหงิดทั้งเสียใจ เลยแกล้งทำเป็นหลับทุกครั้งที่เชษฐาโผล่มาเยี่ยม กว่าจะทำใจยอมรับได้ ยอมคุยกับเชษฐาตนเป็นปกติอีกครั้งก็กินเวลาหลายสัปดาห์

    --- ℑ ---

              ...วันนั้นที่ชายป่า โลกิไม่แน่ใจนักว่าเขาเห็นอะไร... ในสนามประลองของซาคาร์เขารู้สึกแปลกใจ ขณะเดียวกันก็รู้สึกคลับคล้ายคลับคลาอย่างบอกไม่ถูก...

              แต่ถ้าถาม โลกิ ลอเฟย์ซัน ในตอนนี้... ตอนที่เขายืนอยู่บนไบฟรอสท์ เงยหน้ามองตามลำแสงสีฟ้าซึ่งทะยานลงมาจากปราสาท... เขาได้คำตอบแล้ว ว่าวันนั้นที่ทะเลสาบเขาเห็นอะไร...

              ...ริมฝีปากบางหลุดรอยยิ้มซึ่งไม่อาจปิดซ่อนไว้ได้อีก…

              เขารู้จักสายฟ้านั่น เขารู้จักมันมาตลอดชีวิตของเขา... เจ้าชายรัชทายาทแห่งแอสการ์ด... เชษฐาองค์เดียว... บัดนี้ ธอร์ โอดินซัน... เทพเจ้าสายฟ้า... คือสายฟ้าที่มีชีวิต...

    ==TBC.==

Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in
Chanicha Kunasinpetch (@CK_TonLew)
14วันผ่านไปเราก็ยังรอไรท์กลับมาต่ออย่างไม่ยอมอ่านหนังสือสอบ ?มีชีวิตอยู่อย่างค้างๆ ไรท์~~~~~~?
narscel (@narscel)
@CK_TonLew ตายละเพิ่งเห็นเม้นท์นี้ อ่านหนังสือสอบก่อนนนน. กอดดดดน้า ?
mwzkt (@mwzkt)
อยากอ่านแล้ว ฮือออ~ ชอบตะหนูกิกว่าจะรู้ว่าสายฟ้าอะไรเล่นผ่านมาเป็น10ปี ><~ น่ารักกก
narscel (@narscel)
@mwzkt แงงงง จะพยายามรีบจิ้มตอนต่อน้า ปล. ตาหนูไม่คิดว่าพี่ชายจะตามไปปลากรอบกะมึนๆโดนโทรลทุบๆๆ หินตุ้บๆๆ 5555555 แล้วมาคุยกันอีกน้า
Chanicha Kunasinpetch (@CK_TonLew)
อัพแล้ววววววววววว!!!!!
อีแฟนดรัลคิดอะไรกับน้องกิ!!
สายฟ้าของพี่ชายยยยย
ปล. รีบจัดการเฮร่าเถอะจะได้เข้าหอกันซะที
narscel (@narscel)
@CK_TonLew เดี๋ยวเปิดว้าบๆ ปล. เข้าหอละคราวนี้ไรท์ก็ตกงานแล้วจิ ('- ' ;)
supattrapongtee (@supattrapongtee)
แอบเทใจ เท้ายื่นเข้าเรือ แฟนดรัลโลกิไปละ แง้~น่ารัก <3

อิพี่ท้อก็ร้าย อิน้องก็ร้าย ร้ายกันทั้งคู่ คนนึงตั้งใจศอกทุ้งน้อง อีกคนตั้งใจรับเพื่อให้ท่านแม่ดุพี่ 5555555 โอย

ถึงจะร้ายใส่กัน แต่พี่ก็รักน้องนะ มีแอบตามแอบมองจากไกล ๆ ด้วย ถ้ามาเห็นตอนแฟนดรัลกดโลกิกับต้นไม้พี่จะหัวร้อนไหมเนี่ย?

สนุกมากค่ะ >< ชอบช่วงเวลาสดใสของพวกเขาจริง ๆ น่ารัก <3

รอตอนต่อไปนะคะ
narscel (@narscel)
@supattrapongtee เราก็อยากจะใส่มาเยอะๆเหมือนกันค่ะฮรืออออ อยากให้เขาอยู่ด้วยกันแบบนั้นไปนานๆ นี่ก็พายเรือผี เฟนดรัลกิวนๆ ดักคนขึ้นเรืออยู่นะคะ 55555 ขอบคุณที่ตามอ่านและเม้นคุยกันด้วยนะคะ ชอบๆ สนุกดีง่ะ