Author’s Note : ตอนนี้แอบมาช้านิดนึง เพราะงานหลักเข้าเล็กน้อย และดันเป็นตอนที่เรียบเรียงและใส่กาวยากนิดนึงด้วยพอดี (. . ') กลั้นใจอีกนิดนึงฮึ้บ!! ยังไงก็จะเขียนจนจบแน่นอนค่ะ!
Pairing : Thor x Loki
Rate : G
Warning : LGBT , Boy's Love , ฟิควาย , *Spoiler Alert* for Thor : Ragnarok
………………………………………………………………..
………………………………………………………………..
“พอฟ้ามืด ข้ากับแบนเนอร์ จะลอบเอาอาวุธไปให้เพื่อนชาวโครแนนของท่านในคุก... ชื่อ ‘กร็อก’ ใช่ไหม?”
“ใช่... การปฏิวัติควรเริ่มกลางดึกคืนนี้เลย และก่อนรุ่งสางพวกทหารคงรู้ตัวกันแล้ว”
“ถ้างั้นกองกำลังส่วนใหญ่น่าจะถูกเรียกไประงับเหตุ”
“...ส่วนข้ากับโลกิจะลอบเข้าไปขโมยยานที่เจ้าว่าตอนเช้ามืด”
ธอร์ แบนเนอร์ และวาลคิรี่ สมาชิกของทีมรีเวนเจอร์ทั้งสามกำลังสุมหัวทบทวนแผนการกันอยู่ในห้องพักเป็นครั้งสุดท้ายหลังจากตระเตรียมทุกอย่างพร้อมแล้ว
“ธอร์... แน่ใจนะว่า น้องชายนายจะไม่หลอกพานายไปส่งให้แกรนด์มาสเตอร์น่ะ?”
บรูซ แบนเนอร์ ซึ่งอดกังวลใจไม่ได้เอ่ยถามขึ้นมา ด้วยสีหน้าหวั่นวิตกอย่างเห็นได้ชัด
“บางทีเราน่าจะหามาตรการอะไรสักอย่าง เพื่อควบคุมน้องชายนายระหว่างภารกิจนี้นะ... แล้วไหนจะบนยานอีก จะทำยังไงถ้าเขาพยายามป่วนเราจนยานตกก่อนจะหนีเข้าไปในทวารปีศาจได้สำเร็จ?”
เจ้าของดวงตาสีฟ้าเงยหน้าจากแผนผังโรงจอดยาน ซึ่งวาลคิรี่นำติดมือกลับมาด้วยเมื่อตอนหัวค่ำ เขาสบตาบรูซแล้วก็รีบยกมือโอบบ่าเพื่อน
“ตะวันใกล้จะลับฟ้า... ตะวันคล้อยลงต่ำมากแล้ว...”
“ไม่ธอร์! ไม่ใช่ตอนนี้ หยุดพูดประโยคนี้ซักที...”
บรูซรีบยกมือห้ามแล้วเอามือปิดหู
ธอร์เลยยิ้มเจื่อนๆ และก้มกลับลงไปมองแผนผังบนโต๊ะ เพื่อพยายามจดจำเส้นทางอีกครั้ง ก่อนตอบอย่างไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่นัก
“…ไม่จำเป็นต้องกังวลหรอก...เขาจะไม่ขึ้นยานไปกับเรา...”
“นายหมายความว่าไง!?”
บรูซ แบนเนอร์ ถึงกับหลุดปากถามกลับทันที สีหน้าแสดงความประหลาดใจอย่างชัดเจน ผิดกับวาลคิรี่ซึ่งเก็บสีหน้าได้ดีกว่า แม้จะรู้สึกประหลาดใจไม่ต่างกัน
นักรบสาวเพียงเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง และทอดดวงตาสีนิลจับจ้องใบหน้าเจ้าชายรัชทายาทแห่งแอสการ์ด อย่างเงียบๆ…
“เป็นข้าก็อาจจะเลือกทิ้งเขาไว้ที่นี่นะ... ไม่รู้สิ...”
เมื่อเห็นว่าธอร์ดูเหมือนอยากเลี่ยงที่จะตอบ บรูซ แบนเนอร์ ก็เปลี่ยนมาพูดกลบเกลื่อนคำถามที่เขาหลุดปากออกมาเสียเอง
“เขาอาจจะหักหลังเราตอนเผลอ ไม่ก็หลอกพาเราไปเสี่ยงให้ถูกจับกลับไปก็ได้”
บรูซไหวไหล่
พอนึกย้อนกลับไป เขาก็พอจะจำได้เลาๆ ว่าความสัมพันธ์ของเทพพี่น้องคู่นี้ซับซ้อนเพียงใด ไหนจะทั้งดึงทั้งผลัก ทั้งรักทั้งเกลียด ปะปนกันยุ่งเหยิง จนแม้กระทั่งปริญญาเอกเจ็ดใบก็ดูจะไม่ช่วยให้เขาตีความหรือเข้าใจมันได้มากนักอยู่ดี
“แน่นอนว่า เขาจะได้ลอง...”
บุตรแห่งโอดินตอบพลางพรูลมหายใจออกหนักๆ แล้วลอบชำเลืองมองทางประตูห้องนอน แต่พอหันกลับมา ก็สบตาเข้ากับวาลคิรี่ซึ่งมองดูเขาเงียบๆ อยู่ก่อนแล้ว
เทพเจ้าสายฟ้ารีบเบนหลบสายตาไปทางเพื่อนชาวมิดการ์ดของเขาแทน และพยักหน้าเห็นด้วย ทำเหมือนไม่มีอะไรมากไปกว่าที่บรูซพูด
“พวกเจ้าควรรีบไปพักเอาแรง เหลือเวลาอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องลอบเข้าไปแจกจ่ายอาวุธกันแล้วนี่... ส่วนเรื่องโลกิ... ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะรับผิดชอบดูแลเขาเอง”
การประชุมวางแผนของพวกเขาสามคนจบลงตรงนั้น ทุกคนได้ข้อสรุป และต่างคนต่างมีงานสำคัญที่ต้องรับผิดชอบไปทำในค่ำคืนนี้
--- ℑ ---
ในสายตาของวาลคิรี่... โลกิ ลอเฟย์ซัน เป็นเทพจอมเจ้าเล่ห์ และเท่าที่ฟังมาหมอนี่ก็มีประวัติแปรพักตร์หักหลังพี่ชายบุญธรรมมาหลายต่อหลายครั้งแล้ว จึงไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ที่แบนเนอร์จะกังวล ว่าอีกฝ่ายอาจงัดเอาเล่ห์เหลี่ยมใดออกมาใช้ ในระหว่างการหลบหนีของพวกเขาครั้งนี้ ...หรือไม่ก็อาจจะหาทางล่อหลอกให้พวกเขากลับไปอยู่ในอุ้งมือแกรนด์มาสเตอร์อีกครั้ง เพื่อแลกกับผลประโยชน์ก้อนโตที่เขาจะได้รับ
อย่างไรเสียก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บุตรแห่งลอเฟย์ยังคงมีศักดิ์ เป็นถึงเจ้าชายองค์รองแห่งแอสการ์ดอยู่ดี
ดังนั้น ถึงแม้ข้อตกลงจะมีเพียงการพาเขานั่งยานหนีผ่านทวารปีศาจออกไปจากดาวดวงนี้ด้วยกัน แต่วาลคิรี่ก็ยังมั่นใจว่า เมื่อถึงตอนนั้น รัชทายาทแห่งแอสการ์ดอย่างธอร์ คงหาทางเจรจา เพื่อรั้งอีกฝ่ายไว้เป็นกำลังเสริมในการต่อกรกับเฮล่าจนได้นั่นแหละ
การที่บุตรคนโตแห่งโอดินกลับเอ่ยปากออกมาราวกับตั้งใจไว้แล้วว่า ในแผนการยึดยานคอมมอดอร์ เพื่อหนีออกจากซาคาร์ และกลับไปกอบกู้แอสการ์ดจากเทพีแห่งความตายครั้งนี้ จะไม่มีเจ้าชายองค์รองร่วมหัวจมท้ายอยู่ในแผนไปกับพวกเขาด้วย จึงกลายเป็นเรื่องผิดคาดสำหรับนักรบสาวไม่ใช่น้อย
...เหมือนหล่อนจะพลาดอะไรไปบางอย่าง...
วาลคิรี่หวนนึกถึงภาพที่หล่อนเห็นในห้องนอน หลังกลับมาจากการกว้านซื้ออาวุธ...
หล่อนกับแบนเนอร์กลับมาถึงห้องพักตอนหัวค่ำ
ขณะที่แบนเนอร์เลือกจะทิ้งตัวลงนั่งพักอย่างหมดแรงที่เก้าอี้ด้านนอก ประตูห้องนอนด้านในกลับถูกเปิดทิ้งไว้ หล่อนจึงก้าวเท้าไปใกล้ และเคาะประตูเรียกคนด้านในเบาๆ ด้วยข้อนิ้ว
สายตาของวาลคิรี่พลันเหลือบเห็นเจ้าชายองค์โตแห่งแอสการ์ด นั่งลูบผมผู้เป็นอนุชาอยู่ตรงขอบเตียง และกำลังโน้มหน้าลงไปมองดูอีกฝ่ายซึ่งน่าจะหลับใหลอยู่จนใกล้
เสียงเคาะประตูโดยไม่ทันคิดของหล่อน คล้ายจะหยุดการกระทำของคนในห้องหลายวินาที ก่อนเจ้าของดวงตาสีฟ้าจัดจะยืดตัวกลับขึ้นนั่งหลังตรง และหันมามองหล่อนนิ่งๆ
เขายกนิ้วชี้แตะริมฝีปากเบาๆ เป็นเชิงขอให้หล่อนอย่าส่งเสียงดังรบกวนคนป่วย จากนั้นก็ลุกขึ้นเดินตามออกมาจากห้อง
--- ℑ ---
บางอย่างในหัวทำให้วาลคิรี่นอนไม่หลับ ในที่สุดก็นึกรำคาญตัวเองจนต้องลุกขึ้นมาหาอะไรดื่มเพื่อดับความว้าวุ่น
ร่างสูงใหญ่ของใครคนหนึ่งบนเก้าอี้ตัวเล็ก ซึ่งถูกลากไปตั้งใกล้หน้าต่างสะดุดสายตาหล่อนเข้าให้
ถ้าเป็นก่อนหน้านี้... หล่อนคงให้ค่าเทพหนุ่มตรงหน้าแค่นักสู้เดนตายหลบหนี ซึ่งมีค่าหัวมากพอให้หล่อนออกไล่ล่าแลกกับเงินรางวัลก้อนใหญ่
...แต่ตอนนี้กลับไม่ใช่...
ความทรงจำซึ่งหล่อนจงใจฝังกลบมันมาหลายพันปี กลับถูกเจ้าตัวแสบบางคนขุดคุ้ยออกมาปาใส่หน้าหล่อนเต็มๆ โดยไม่ขออนุญาต... และนั่นปลุกไฟแค้นของหล่อนที่มีต่อเฮล่า ให้ลุกโชนขึ้นมาอยู่เหนือการมีชีวิตอย่างซังกะตายไปวันต่อวันของหล่อนบนดาวขยะดวงนี้
การช่วยเจ้าชายรัชทายาทองค์โตแห่งแอสการ์ดหลบหนี กลายมาเป็นกุญแจสำคัญที่จะพาหล่อนกลับสู่สมรภูมินั้น และ ธอร์ โอดินซัน ในสายตาหล่อนก็กำลังจะกลายเป็นสหายร่วมรบคนหนึ่งซึ่งหล่อนจะสามารถวางใจได้ในเรื่องของฝีไม้ลายมือ ยิ่งไปกว่านั้นความปรารถนาที่จะกำจัดเฮล่าของเขาก็ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าหล่อนเลย
แต่หากการให้น้ำหนักความสำคัญอยู่ที่การกำจัดเฮล่า และกอบกู้แอสการ์ดแล้ว... กำลังสำคัญนอกเหนือจากหล่อน ก็ไม่พ้นต้องเป็นอนุชาผู้มากเล่ห์... และเรื่องนี้มีหรือที่เจ้าชายรัชทายาทจะไม่รู้
วาลคิรี่อดไม่ได้ที่จะลอบปรายตามองไปทางประตูห้องนอนของตนอีกครั้ง ซึ่งบัดนี้มีร่างของใครอีกคนซึ่งกำลังเป็นประเด็นค้างคาใจหล่อนทอดร่างหลับใหลไม่ได้สติอยู่ในนั้น
...ในใจ ใช่ว่าไม่มีคำถาม... หากแต่วาลคิรี่เลือกที่จะไม่ออกความเห็นใดๆ และเคารพการตัดสินใจของอีกฝ่าย
หล่อนคว้าขวดเหล้าสำหรับเก็บไว้ดื่มในโอกาสพิเศษ ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกใครบางคนแย่งดื่มไปกว่าครึ่งขวดมายกจิบ แล้วก็ก้าวข้ามร่างของ บรูซ แบนเนอร์ ซึ่งยังคงหลับพับอยู่บนพื้น เข้าไปหาธอร์อย่างเงียบๆ
“ท่านเองก็ควรพักเอาแรง”
หล่อนทักขึ้นเบาๆ และกระดกขวดเหล้าในมือดื่มอีกอึกใหญ่
“ข้านึกว่าเจ้าจะเก็บมันไว้สำหรับโอกาสพิเศษ”
เทพสายฟ้าเอ่ยตอบ บ่งบอกว่าเขาจำขวดเหล้าในมืออีกคนได้ ว่ามันทำฤทธิ์ไว้มากขนาดไหนเมื่อบ่ายวันนี้
วาลคิรี่พยักหน้า
“จุดชนวนปฏิวัติในซาคาร์... ลอบขโมยยานของแกรนด์มาสเตอร์... แล้วชิ่งหนีออกจากดาวดวงนี้ผ่านทางประตูมิติไซส์พี่เบิ้มชื่อ ‘ทวารปีศาจ’...ทั้งหมดนี่ ข้าก็พอจะนับให้มันเป็น ‘โอกาสพิเศษ’ พอได้...”
หล่อนพูดยิ้มๆ แล้วส่งขวดในมือให้อีกคนดื่มบ้าง
วาลคิรี่ไม่ได้พูดอันใดผิดเลย อย่างน้อย สิ่งที่ว่ามามันก็ไม่ใช่เรื่องที่หล่อนจะลุกขึ้นมาทำได้ทุกวันเสียที่ไหน ถ้าไม่ใช่เพราะจู่ๆ สองเจ้าชายจากแอสการ์ดดันประจวบเหมาะ โผล่มาเล่นไล่จับกันบนดาวดวงนี้ล่ะก็...
ธอร์รับขวดจากมืออีกฝ่าย จรดริมฝีปากลงกับปากขวด แล้วยกเทเครื่องดื่มรสร้อนเข้าปากบ้าง สายตายังคงจับอยู่ที่ทิวทัศน์ของดาวซาคาร์นอกหน้าต่าง อดเผลอใจคิดไม่ได้ว่า...
...จากนี้ไป... วิวที่เห็นตรงหน้า กำลังจะกลายเป็นภาพทิวทัศน์ของดวงดาว ซึ่งอนุชาของเขาจะเรียกมันว่า ‘บ้าน’...
นึกแล้วหัวใจก็อดหล่นวูบไม่ได้ ก่อนหน้านี้เขาเคยไล่ตามตัวอนุชาไปทั่ว เพื่อหาทางพาตัวอีกฝ่ายกลับแอสการ์ด แต่สีหน้าของอนุชายามเอ่ยตอบ ทั้งรอยยิ้มและแววตา กลับประดุจการฝังเขี้ยวพิษงับลงบนฝ่ามือของเขาซึ่งยื่นไปหา
…‘กลับบ้าน...’
...‘ข้าไม่มีบ้าน’…
วาลคิรี่มองใบหน้าของอีกฝ่ายซึ่งจมอยู่ในความคิด หล่อนถอนหายใจ ก่อนเลือกจะทำลายความเงียบนั้น
“ไม่ลองถามอีกฝ่ายดูบ้างล่ะ?”
คำถามของนักรบสาวดึงธอร์กลับออกมาจากห้วงความคิด เขาหันไปมองวาลคิรี่ซึ่งยืนอยู่ข้างๆ ขวดเหล้าในมือถูกหล่อนยื้อกลับไปยกดื่มอีกครั้งก่อนจะพูดต่อ
“...ต่อให้เหตุผลจะเป็นอะไร เจตนาจะดีหรือร้าย... ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ตัดสินใจแทนคนอื่น...”
วาลคิรี่รู้ดีถึงความรู้สึกของคนที่ไม่ได้เลือกเอง แต่ถูกตัดสินให้เป็นผู้ที่เหลืออยู่...
“ข้าควรเป็นคนได้เลือก ว่าจะตกตายไปพร้อมคนอื่นๆ หรือมีชีวิตรอด... รู้ไหม! ชีวิตที่ได้รับการปกป้องไว้ บางทีมันก็เหมือนถูกสาป... จะตายก็รู้สึกผิด... จะอยู่ต่อไปมันก็ไม่มีความหมาย... คนที่ไม่เหลือใคร ยังหลงเหลืออะไรให้ทำมากนักล่ะ จริงไหม?”
ใบหน้าของวาลคิรี่ยังคงเปื้อนยิ้ม น้ำเสียงของหล่อนไม่ได้ต่างไปจากปกติ แต่การยกขวดเหล้าขึ้นดื่มของหล่อนในอึกถัดไปนั้นเนิ่นนานกว่าครั้งไหนๆ
“...ข้าเข้าใจ...”
บุตรแห่งโอดินพยักหน้าเงียบๆ… เขายอมรับว่าไม่เคยมองในมุมของอีกฝ่ายเลย เพราะคิดว่าเลือกแต่สิ่งที่ดีที่สุดให้สำหรับอนุชาเสมอ หลายครั้งจึงผลั้งเผลอล้ำเส้นไป...
“เฮ้... แต่รู้อะไรไหม... บางที... ชีวิตที่ถูกสาปอาจเป็นข้ามากกว่า...”
เทพเจ้าสายฟ้าเปรยขึ้นมาพร้อมรอยยิ้มขื่นๆ
“โลกิกับข้า เราเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่กันมา...เพราะมีเขาคอยระวังหลังให้ ถึงข้าจะวู่วามหุนหันแค่ไหน ก็ไม่เคยพลาดพลั้ง... บางที... มันคงถึงเวลาแล้ว ที่ข้าจะต้องยืนหยัดอยู่บนขาของตัวเองให้ได้...”
...กาลก่อนเขาเคยทะนงตน ไม่ฟังใคร... โดยไม่เคยเฉลียวใจคิด ว่าเพราะมีใครคนหนึ่งคอยคุ้มกันดูแลอยู่เบื้องหลัง จนกระทั่งต้องสูญเสียคนผู้นั้นไป... เมื่ออนุชาคนเดียวเลือกจะเป็นผู้ที่คอยถือมีดทิ่มแทงเขาจากเบื้องหลังเสียเอง…
...บางที...คนที่เอาแต่โหยหา และพึ่งพาการปกป้องมาตลอดอาจเป็นเขา...
--- ℑ ---
เสียงสัญญาณเตือนภัยดังลั่น ตามด้วยเสียงประกาศตามจับจากแกรนด์มาสเตอร์ผ่านภาพโฮโลแกรม ดังขึ้นทั่วซาคาร์
ยานคอมมอดอร์พุ่งทะยานจากโรงจอดยานไปบนน่านฟ้า ตามมาด้วยยานอวกาศของเหล่าทหารการ์ดซึ่งติดตามไล่ยิงออกมาอีกหลายลำ ทำเอาวาลคิรี่ต้องรีบตัดสินใจปรับแผน
หล่อนบังคับยานออกจากที่ซ่อน และไล่ตามไปช่วย ด้วยฝีมือการยิงอันเฉียบการ์ด ใช้เวลาไม่นาน หล่อนก็กำจัดยานรบของการ์ดจนร่วงไป
“ยิงแม่นนี่!”
แบนเนอร์ซึ่งนั่งในห้องควบคุมข้างๆคนขับเอ่ยชมเปาะขึ้นมาอย่างทึ่งๆ
“ขอบคุณ”
วาลคิรี่ตอบรับเรียบๆ ก่อนจะสื่อสารไปยังห้องคุมของยานคอมมอดอร์
[เปิดประตูด้วย]
[โอเค]
สิ้นเสียงตอบกลับจากธอร์ วาลคิรี่ก็บังคับยานให้บินลอดใต้ยานคอมมอดอร์ ซึ่งมีประตูอยู่ทางด้านล่างของยาน หลังจากเปิดหลังคายานออกหล่อนก็หันไปตะโกนคุยกับแบนเนอร์สู้กับเสียงลมหวีดหวิว
“หวังว่าเจ้าจะแข็งแรงกว่าที่ข้าเห็นนะ”
“ทำไมเหรอ?”
ขณะที่บรูซยังคงงงๆ เบาะนั่งของเขาก็ถูกดีดตัวยิงขึ้นไปจนผ่านประตูของยานคอมมอดอร์เข้าไปได้สำเร็จ แต่แล้วยังไม่ทันได้ดีใจ ยานขับไล่อีกลำก็ปรากฏขึ้นด้านหลัง
[ยานลำนี้ปืนอยู่ไหนล่ะ?]
เสียงของธอร์ถามขึ้น
[ไม่มีปืนหรอก! มันเป็นยานท่องเที่ยว!]
[อะไรนะ!]
เสียงร้องอุทานของยานคอมมอดอร์ดังลอดมาทางระบบสื่อสารทันที
[แกรนด์มาสเตอร์เอาไว้ขับเล่น กินเหล้า และก็มั่วผู้หญิง!!]
แล้วยานของทหารการ์ดซาคาร์เบื้องหลังที่ไล่ตามมา ก็เริ่มรัวยิงใส่ยานทั้งสองลำ จนวาลคิรี่ต้องบินแฉลบหนีขึ้นไปตีคู่เพื่อเป็นเป้าล่อให้มันห่างออกมาจากยานคอมมอดอร์
ที่แท้ผู้ที่ขับยานลำนั้นก็คือโทแพซ ผู้ช่วยมือขวาของแกรนด์มาสเตอร์ หล่อนล็อคเป้าที่ยานของวาลคิรี่ ทันที และจากการรัวยิง มันก็โดนไอพ่นข้างหนึ่งของเครื่องเข้าอย่างจัง จนควันดำพวยพุ่งตามหลังเป็นทางยาว
วาลคิรี่คว้าเอาดาบเขี้ยวมังกรของตนมาถือไว้ ตัดสินใจปีนออกจากห้องบังคับยาน และกระโดดหนีออกมาได้ทันอย่างหวุดหวิดก่อนที่การกราดยิงระลอกสองจะสอยยานของเธอจนร่วง
พวกพ้องบนยานคอมมอดอร์เห็นยานของวาลคิรี่ระเบิดอยู่เบื้องหน้าก็พากันร้อง
“ไม่!!!!” “ไม่!!!!”
แต่แล้วร่างของนักรบสาวก็ปลิวมาเกาะอยู่บนกรอบหน้าต่างด้านนอกของยานคอมมอดอร์
“เข้ามาเร็ว!!”
ธอร์ร้องบอก เมื่อยานของชาวซาคาร์อีกกลุ่มหนึ่งปรากฏขึ้นเบื้องหลังและเริ่มกราดยิงใส่
“ขอเวลาแป้บนึง!”
นักรบสาวตะโกนตอบ
แล้วบุตรแห่งโอดินก็ได้แต่มองตามร่างวาลคิรี่ในตำนาน กระโดดตัวลอยจากยานตน ข้ามไปหายานลำอื่นซึ่งบินตามมาด้านหลัง หล่อนจัดการยานลำแล้วลำเล่าด้วยแค่อาวุธในมือ
เห็นแบบนั้นเทพสายฟ้าก็ผุดลุก
“ข้าต้องออกไปช่วยนาง… เร็ว! นายมาขับ!”
ธอร์หันไปบอกแบนเนอร์ แล้วแทบจะจับอีกฝ่ายยัดเข้าไปนั่งในเก้าอี้คนขับ
“ไม่ฉันขับยานเอเลี่ยนไม่เป็น”
“นายเป็นนักวิทยาศาสตร์! ปริญญาเอกช่วยได้!”
พูดจับแอสการ์เดี้ยนหนุ่มก็หมุนตัวพุ่งออกไปทางประตู ทิ้งให้มิดการ์เดี้ยนบนยานแหกปากโวยวายเถียงอยู่คนเดียว
“มันไม่มีปริญญาเอกวิชาขับยานอวกาศเอเลี่ยน!!!”
--- ℑ ---
สองคนสองแรงไล่ทุบทำลายยานอวกาศลำแล้วลำเล่า จนฝูงยานที่ไล่ตามมาบางตาลงไปนิด แต่ปริมาณของพวกมันก็ยังมากเกินกว่าที่ยานท่องเที่ยวอย่างคอมมอดอร์จะต้านทานรับมือไหว
โชคยังดีที่วาลคิรี่เจอเข้ากับยานลำหนึ่งซึ่งมีป้อมปืนแคนนอนอยู่ด้านนอก หล่อนใช้แรงหมุนเปลี่ยนทิศทางของมัน ให้กราดยิงใส่ยานติดตามลำอื่นๆ จนร่วงตามกันไปเกือบทั้งแถบ
ขณะเดียวกันยานของโทแพซก็กลับมาไล่กวดยานคอมมอดอร์อีกครั้ง และครั้งนี้บรูซก็เลือกที่จะตบปุ่มซึ่งเขาเดาเอาว่าเป็นปุ่มปืนบนแผงควบคุมมั่วๆ ดู
กลายเป็นโชคดีที่ยานสำหรับปาร์ตี้ของแกรนด์มาสเตอร์มีเครื่องยิงพลุ
ประกายไฟหลากสีพวยพุ่งออกจากยานวุ่นวายไปหมด มันบดบังทัศนวิสัยของยานซึ่งไล่ตามมา จะเห็นสิ่งกีดขวางเบื้องหน้าอีกทีก็ในระยะกระชั้น จนยานของโทแพซชนเข้าอย่างจัง และแตกกระจายกลางอากาศ
ธอร์ยึดยานขนาดเล็กได้ลำหนึ่ง ก็พอดีกับที่วาลคิรี่กำจัดยานติดตามลำสุดท้ายได้พอดี
วาลคิรี่กระโดดลงมาบนยานเล็ก และเข้าควบคุมยาน หล่อนเร่งเครื่องเต็มกำลังเพื่อให้ไล่ตามยานคอมมอดอร์ให้ทัน ก่อนที่บรูซจะพายานไปถึงทวารปีศาจเสียก่อน
ธอร์ และวาลคิรี่หันมองและลอบยิ้มจางๆ ให้กัน
สำหรับวาลคิรี่แล้วมันเป็นความรู้สึกอันหลากหลาย หนึ่งในนั้นคือความรู้สึกสนุก ซึ่งนานแสนนานมาแล้วที่หล่อนไม่ได้ทำอะไรมันๆ แบบนี้ จนวาลคิรี่แทบจะลืมไปแล้ว ว่าความรู้สึกของการได้ต่อสู้ร่วมกับใครสักคนอย่างเข้าขากันได้ดีนั้นมันเป็นยังไง
ดูเหมือนว่า... เจ้าชายรัชทายาทแห่งแอสการ์ดองค์นี้ จะไม่ได้มีดีแค่พลกำลังเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่เขามีทักษะและชั้นเชิงในการต่อสู้ในระดับที่น่าพอใจอยู่ไม่น้อย
และอีกเรื่องซึ่งทำให้หล่อนรู้สึกประทับใจอีกฝ่ายยิ่งขึ้นก็คือ... แทนที่จะหนีเอาตัวรอดไปกับยานคอมมอดอร์ แค่มุ่งหน้าเข้าทวารปีศาจไป และทิ้งหล่อนไว้ที่นี่ รัชทายาทแห่งแอสการ์ด กลับเลือกที่จะไม่ทอดทิ้งหล่อนไว้เบื้องหลัง และออกมาช่วยหล่อนในยามคับขัน
...บางที... เขาอาจไม่ใช่กษัตริย์ที่จะทำเรื่องแย่ๆ แบบที่โอดินเคยทำก็ได้ และบางที... เขาอาจมีค่าพอที่หล่อนจะมอบคำสัตย์ปฏิญาณของชาววาลคิรี่ให้อีกครั้งในอนาคตก็เป็นได้...
--- ℑ ---
ยานเล็กไล่ตามไปจนซ้อนตัวใต้ยานคอมมอดอร์ได้สำเร็จ ทั้งธอร์และวาลคิรี่จึงสละยานเล็ก แล้วกระโดดพาตัวเองกลับเข้าไปในยานคอมมอดอร์
“เพื่อน! เราใกล้ถึงประตูทวารปีศาจแล้ว!”
บรูซ แบนเนอร์ ร้องบอกจากเก้าอี้คนขับแทบจะทันที เรียกให้วาลคิรี่และธอร์รีบรุดไปทางตอนหน้าของยาน
บรูซรีบสละตำแหน่งคนคุมยานให้กับวาลคิรี่ และพุ่งตัวไปยังเก้าอี้ด้านหลัง แล้วรีบรัดเข็มขัด ในขณะที่ ธอร์ โอดินซัน ก้าวขึ้นมาด้านหน้า แล้วทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านข้างของคนขับ
วาลคิรี่กวาดตามองไปทั่วยานอีกครั้ง... แต่เมื่อไม่ปรากฏเงาร่างของผู้อื่นใดบนยานอีก หล่อนก็หันกลับมาทางธอร์ และอีกฝ่ายก็เหมือนจะรับรู้ได้ถึงสิ่งที่หล่อนไม่ได้พูดออกไป
“อย่ามองข้าแบบนั้น... ข้าถามเขาแล้ว...”
เทพเจ้าสายฟ้าลอบถอนหายใจออกมาอย่างเหนื่อยๆ และเหม่อมองออกไปยังประตูมิติเบื้องหน้า
วาลคิรี่ไม่ได้ปักใจเชื่อสิ่งที่รัชทายาทแห่งแอสการ์ดพูดมาเสียทีเดียว แต่หล่อนจะทักท้วงอะไรได้ ช่วยได้ก็แค่ทำเป็นไม่เห็น ว่าคนตรงหน้ากำลังจมดิ่งลึกลงไปในความรู้สึก อันเกิดจากสิ่งที่เขาเป็นผู้เลือกเอง
ถ้าแม้แต่หล่อนซึ่งเพิ่งรู้จักกันได้ไม่นาน บุตรแห่งโอดินยังไม่ยอมทอดทิ้งไว้เบื้องหลัง...
...หล่อนไม่อยากคิดเลยว่า... ต้องสังเวยความเจ็บปวดมากมายเพียงใด คนๆ นี้ถึงสามารถทิ้งคนที่ตนรักไว้เบื้องหลังได้...
...เด็กโง่... ทำไมเจ้าถึงไม่ฟังคำพูดข้าบ้างเลย...
ในที่สุดยานคอมมอดอร์ก็เคลื่อนตัวเข้าสู่ทวารปีศาจ มันเริ่มดูดกลืนยานทั้งลำ แรงสั่นสะเทือน รุนแรงเกินกว่าที่ใครจะต้านทานไหว สุดท้ายทั้งสามชีวิตบนยานลำนั้นก็หมดสติไปในประตูมิติแห่งนั้น
--- ℑ ---
...ยานอวกาศสีส้มลอยตัวช้าๆ พ้นออกมาจากประตูมิติยักษ์...
ภาพซึ่งปรากฏอยู่เบื้องหน้าของยานคือแอสการ์ด หากแต่ในห้วงความคิดของ ธอร์ โอดินสัน ซึ่งยังคงไม่ได้สติ เขายังคงหลงติดอยู่ในซาคาร์
‘เฮ้! ฟังนะ… เอ่อ… เราต้องคุยกัน’…
‘ข้าไม่เห็นด้วย… คุยกันตรงไปตรงมามันไม่ใช่ธรรมเนียมของบ้านเรา’…
…ใช่... เขาอาจไม่ได้ถามออกไปตรงๆ... แต่เขาก็ได้คำตอบแล้ว…
คำตอบที่ได้จากปากอนุชามันชัดเจนมากพอ ที่เขาจะไม่ต้องเอ่ยถามเสียด้วยซ้ำ...
‘โอดินพาเรามาเจอกัน… และความตายของเขาควรจะแยกเราออกจากกัน’…
‘...ข้าควรจะอาศัยอยู่ต่อที่ซาคาร์…’
‘…ใช่…ดีที่สุดก็คือ เราไม่ต้องเจอกันอีก…’
...ถ้าเป็นเมื่อก่อนอาจใช่...
...แต่ในตอนนี้...ไม่มีทางที่เขาจะไม่รู้...
...ความหมายในคำพูดของอีกฝ่าย...
ในเมื่อสัมผัสจากริมฝีปากคู่นั้นยังคงประทับอยู่ในความรู้สึก... และใบหน้าเปื้อนหยดน้ำตาอุ่นไม่มีวันจะเลือนหายไปจากความทรงจำของเขา... ธอร์รู้ว่าทั้งหมดนั่นคือความจริง... ที่ไม่เคยผ่านริมฝีปากของคนผู้นั้นออกมาเป็นถ้อยคำให้เขาได้ยิน...
เพียงแต่ครั้งนี้... เป็นเขาเองที่เลือกจะเชื่อตามถ้อยคำพูดของเทพแห่งคำลวงก็เท่านั้น... การเอาคืนตลกร้ายของอนุชา ซึ่งเขาเคยขู่ไว้หลายต่อหลายครั้ง ใครจะคาดคิดว่ามันจะลงเอยในรูปนี้
เพียงแค่ครั้งนี้... ที่เขาขอทำตามความดื้อรั้นเอาแต่ใจของตนเองอีกสักครั้ง...
==TBC.==
โดยเฉพาะพี่ท้อ ขอแรง ๆ พี่ชายอะไรจะปล่อยน้องไว้กับชูก้าแดดดี้รุ่น ๆ กาแลคซี่ จับทั้งคู่ดวดเหล้าแล้วคุยกันซะเลย ธรรมดาไม่คุย เมาแล้วคุยกันรู้เรื่องกว่า (แต่ตื่นมาก็คงลืม ฮา)
ชอบเจ๊วัลตอนนี้ <3 สมกับเป็นเจ๊ใหญ่