นวนิยายเรื่อง : ก่อนตะวันรอน
ตอนที่ 12 : อาคารเรียนหนึ่งกับศาลาชื่นฤดี
โรงเรียนบ้านดอนผักหวานในสมัยก่อนยังมีการเรียนการสอนอยู่ที่วัดอยู่เลย บ่อยครั้งที่เดอลาอ้อนให้แม่เล่าให้ฟัง ว่าแม่เรียนที่ไหน ใส่ชุดอะไร แล้วใช้อะไรเรียนบ้าง มีสมุดดินสอเหมือนที่เขาใช้กันไหม ด้วยความอยากรู้อยากเห็นสาวน้อยจะชอบถามแม่ตั้งแต่ยังไม่เข้าเรียน เธอยังจำได้ขึ้นใจด้วยว่าแม่ของเธอจบแค่ ป. 4 เพราะสมัยก่อนโรงเรียนบ้านดอนผักหวานมีถึงแค่ ป. 4 เท่านั้น แต่แม่ของเธอก็สามารถอ่านออกเขียนได้ แถมลายมือของแม่สวยอย่าบอกใครเลย
ตอนนี้โรงเรียนบ้านดอนผักหวานมีถึงระดับชั้น ป. 6 สถานที่เรียนก็ไม่ต้องไปรบกวนหลวงตาใช้ศาลาวัดอีกแล้ว ถึงแม้ว่าจะมีแค่อาคารเรียนหลังเดียวแต่ก็เพียงพอกับนักเรียนจำนวนแค่ร้อยต้น ๆ เพราะอาคารเรียนไม้หลังนี้ใหญ่และกว้างขวางพอสมควร บางวันครูก็พาเรียนนอกห้องเรียน ยิ่งหน้าหนาวห้องเรียนของเดอลาและเพื่อน ๆ คือสนามหญ้าหน้าเสาธงเลย เพราะได้ผิงแดดอุ่น ๆ ด้วย ในบางวิชาก็ต้องเรียนนอกห้องเรียนจริง ๆ เพราะต้องลงมือปฏิบัตินอกสถานที่
หลังจากที่เด็ก ๆ ปิดเทอมไปพักใหญ่แล้ว ก็ถึงเวลาเปิดเรียนสักที นักเรียนชั้น ป. 6 ที่จบไปส่วนมากก็จะไปเรียนระดับมัธยมต่อที่โรงเรียนประจำอำเภอ บางส่วนก็ไปทำงานกับญาติที่กรุงเทพ ฯ เพราะไม่มีเงินเรียนต่อ แต่เดอลาและเพื่อน ๆ ในแก๊งยังต้องเรียนระดับประถมศึกษาต่ออีกหนึ่งปี
วันนี้ห้องเรียนของเดอลามีวิชาการงานพื้นฐานอาชีพ สาวน้อยจำได้ว่าปีที่แล้วรุ่นพี่ของเธอได้ปลูกผักขายด้วย เธอจึงตื่นเต้นเป็นพิเศษอยากรู้ว่าปีนี้คุณครูประจำชั้นจะพาเธอและเพื่อน ๆ ปลูกผักขายเหมือนรุ่นพี่หรือไม่
แก๊ง ๆ ! แก๊ง ๆ !
เสียงคุณครูตีระฆังเพื่อบอกเวลาพักเที่ยงดังขึ้น เด็ก ๆ ดีใจกันยกใหญ่เพราะจะได้กินข้าวกลางวันสักที ถ้าอยู่ที่บ้านอยากกินเมื่อไหร่ก็หากินได้เลย แต่ที่โรงเรียนต้องทำตามกฎระเบียบ
“ไปกินข้าวกันได้แล้วลูก ๆ เดี๋ยวตอนบ่ายเราค่อยมาเรียนกันต่อ" ครูอนุชิตคุณครูประจำชั้นนักเรียน ป. 6 บอกเด็ก ๆ
“ทั้งหมดกราบ" เด็กชายแสงหัวหน้าห้องพูดนำ
“ขอบพระคุณค่ะ/ครับคุณครู"
“หญิงพ้อกันอยู่ศาลาชื่นฤดีฝั่งทางต้นบักม่วงข้างอาคาร 1 เด้อ” กรีนนี่จีบปากจีบคอบอกเพื่อน ๆ ร่วมแก๊ง
“ข้างอาคาร 1 ? โรงเรียนมึงมีจั๊กอาคารอีเขียว ? ฮ่า..ฮ่า..” กบหัวเราะกับคำพูดของกรีนนี่
“บักกบมึงสิไปไสกะไป มีจั๊กอาคารกะเรื่องของหมู่กู” กรีนนี่อารมณ์เสีย
“มีอะไรกันอีก รีบไปกินข้าวเที่ยงได้แล้วบ่ายมาครูจะพาไปปลูกผัก” ครูอนุชิตทำเสียงดุ
“มาทางพี้หญิงฟ้า เงิบ ๆ ซ่า ๆ บ่ทันตำแจ่วแม่นางเด้อ” นกแก้วกวักมือเรียกม่านฟ้า ที่กำลังหิ้วกล่องกะติ๊บข้าวลอดใต้ถุนอาคารเรียนไม้มาหาเพื่อน ๆ ที่นั่งอยู่ใต้ศาลาชื่นฤดี
“ได้หยังมากินมื้อนี้หญิงฟ้า ?” กรีนนี่ยืนคอไปส่องกะติ๊บข้าวของม่านฟ้าทั้ง ๆ เจ้าตัวก็ยังไม่เปิดออก
“ต้มไข่ !” เพื่อน ๆ อุทานขึ้นพร้อมกัน
“ต้มไข่กะกินโลด มีเงินซื้อน้ำมันสิทอดมาสุกินดอก ช่วงนี้ต้มไปก่อน” ม่านฟ้ายิ้มแห้ง ๆ
“เอาหน่ะได้ต้มไข่มากะดีแล้ว กินกับแจ่วบองแม่นางของเฮาสิได้เข้ากัน” เดอลาบอกกับเพื่อน ๆ
“ได้หยังกินน้อวงนี้มะเป็นตะแซบแท้ ?” ครูอ๋องคุณครูประจำชั้น ป. 5 ร้องถามเด็ก ๆ
“ต้มไข่ ปิ้งปลา ตำแจ่ว ปิ้งไก่กับปิ้งตับค่ะคุณครู” เดอลาร้องตอบครูอ๋องอย่างมีความสุข
“มากินนำพวกหนูบ่คุณครู แจ่วแม่นางแซ๊บ แซ่บค่ะ” นกแก้วชวนครูอ๋องทั้ง ๆ ที่ปากก็ยังคงเคี้ยวข้าวอยู่หนุบหนับอย่างเอร็ดอร่อย
“หืมมม ! มะเป็นตะแซ่บแท้ เอามาชิมจักคำแน” ครูอ๋องพูดพร้อมกับยื่นมือไปจกข้าวเหนียวในกล่องที่เดอลายื่นมาให้
มื้อเที่ยงของแก๊งสาวส่าแห่งดอนผักหวานที่ศาลาชื่นฤดีผ่านพ้นไปด้วยความเอร็ดอร่อย เด็ก ๆ ดีใจที่ได้กินข้าวร่วมวงกับครูอ๋อง เพราะครูอ๋องคุยสนุกมีมุขตลก ๆ และเรื่องราวใหม่ ๆ มาเล่าให้เด็ก ๆ ฟังอยู่เสมอ
ศาลาชื่นฤดีแห่งนี้เย็นชื่นสมชื่อจริง ๆ ถึงจะเป็นศาลาเล็ก ๆ แต่ก็รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใหญ่ที่ให้ร่มเงาแก่เด็ก ๆ และผู้ที่แวะเวียนมานั่งพักผ่อน ต้นไม้ใหญ่ที่ว่านี้มีทั้งต้นมะม่วง ต้นมะขาม ต้นมะพร้าว และต้นหางนกยูงที่มีดอกสีแดงสดสวยงาม
ศาลาชื่นฤดีเป็นทั้งห้องเรียน เป็นทั้งโรงอาหาร และสนามเด็กเล่นให้กับนักเรียนที่นี่ ถ้าใครเล่นเหนื่อยก็ไปนั่งพักที่เก้าอี้ตอไม้ คุณครูและชาวดอนผักหวานจัดได้ไว้ตามใต้ต้นไม้ต่าง ๆ ซึ่งมีมากพอสำหรับทุกคน แต่ส่วนมากเด็ก ๆ จะชอบวิ่งเล่นกันเสียมากกว่า แถมยังเล่นแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยกันเลย
เดอลาและเพื่อน ๆ ร่วมแก๊งก็ใช้พื้นที่บริเวณระหว่าวงต้นมะม่วงกับศาลาชื่นฤดีนี่แหละ เป็นสถานที่ที่พวกเธอใช้เล่นตากิโหลก หรือไม่ก็กระโดดหนังยางกัน กิจกรรมในโรงเรียนของเหล่าแก๊งสาวส่าและเด็กนักเรียนคนอื่น ๆ ก็จะมีแค่เรียนกับเล่น การบ้านแทบไม่มี เพราะคุณครูสอนและให้ทำแบบฝึกหัดในห้องเรียนเลย หรือไม่ก็ลงมือปฏิบัติจริงอย่างการปลูกผักในช่วงบ่ายที่จะถึงนี้
ถึงแม้เด็ก ๆ จะชอบเล่นสนุกกันที่โรงเรียนในช่วงพักเที่ยง แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นแบบนี้ทุกวัน อย่างวันนี้นกแก้วเกิดอยากชวนเพื่อนออกไปผจญภัยนอกโรงเรียนขึ้นมา
“เหลือเวลาอีกโดนยุพวกเฮาไปเก็บหมากหว้าอยู่ข้างเถียงตู้มีบ่หญิง ?” นกแก้วเอ่ยปากชวนเพื่อน ๆ
“เลาสิบ่ไหมพวกเฮาบ่ไปหาลักของเพิ่น ?” ม่านฟ้ารีบถาม
“สิไหมจั๋งได๋ เลาอยู่บ้านอื่นพู้น เลาบ่ทันได้มานอนนาดอก เซือเฮาโลด" กรีนนี่เสริมนกแก้ว
เดอลาและม่านฟ้ามองหน้ารู้กัน ว่าเรื่องแบบนี้กรีนนี่กับนกแก้วเข้าขากันดีมาก ดอนผักหวานดรีมทีมก็มา
“เอ้า ! ไปกะไป แต่เกิดหยังขึ้นพวกเธอรับผิดชอบเด้อ" ในที่สุดเดอลาและม่านฟ้าก็ตัดสินใจตามนกแก้วและกรีนนี่ไปเก็บหมากหว้าแต่โดยดี
“บักแห้ง ! หยับมาหง่าทางนี้นำ เห็นหมากหว้าพวกนั้นบ่ ดำขึ่มหมึ่มอยู่นั่น" แสงขว้างกิ่งไม้ขึ้นไปชี้ตำแหน่งพวงหมากหว้าที่สุกเต็มที่แล้วให้แห้งปีนไปเก็บ
“พวกขี้ลัก ! พวกขี้ลัก ! พวกขี้ลัก !” เดอลาและเพื่อน ๆ ร้องขึ้นหลังจากที่มาถึงต้นหมากหว้าของตามี แต่พบว่าแห้ง แสงและกบกำลังเก็บหมากหว้าอยู่กันก่อนแล้ว
“ลักหยังวะ ! หมากหว้าพ่อลุงกูเด้อ" แสงรีบบอก
“พ่อลุงแต่ซาติก่อนบ่คะ พ่อตู้มีเลาเป็นคนบ้านด่านเด้อ บ่แมนไทบ้านดอนผักหวาน ตั๋วบ่บังพุ่มอีหลีบักแสง" เดอลาสวนกลับ
“กูเอิ้นเพิ่นพ่อลุงตลอด”
“คะสั้นเพิ่นกะเป็นพ่อตู้กูหนั่นตั้วบักผีบ้า กูกะเอิ้นเพิ่นพ่อตู้ตลอด" สาวน้อยยังเถียงต่อ
เปรี๊ยะ ! เปรี๊ยะ ! เปรี๊ยะ !
“เบิ่งก่อนน๊ะ ! แมนลูกผู้ได๋มาลักหมากหว้ากูนี่หือ ฟาดมันจักบากก่อนน๊ะ" ตามีถือไม้ไผ่ตีกับพื้น แล้วทำหน้าดุเดินมาหาเด็ก ๆ
“เขียว ! มึงคึว่าเพิ่นบ่แพง ?” เดอลาจับมือม่านฟ้าถอยกรูดออกมาจากต้นหมากหว้าโดยไว
“เอ๋า ! ฉันกะบ่เห็นเพิ่นมานาจักเทือเนาะหญิง ไผกายไปกายมากะมาเอา” กรีนนี่เองก็ตกใจไม่แพ้กัน
“ลงมาเดี๋ยวนี้ ! ไผอยู่เทิงต้นหมากหว้าหนั่น” ตามีทำเสียงเข้มขึ้น
“เป็นเด็กเล็กเด็กน้อย มาลักสิ่งลักของคน ไผบอกไผสอนสู มา ! กูสิพาไปโรงเรียน"
พูดจบตามีก็ถือไม้เรียวเดินนำเด็ก ๆ ตรงไปที่โรงเรียนบ้านดอนผักหวานทันที
เมื่อไปถึงก็ตรงเข้าหาครูใหญ่ พร้อมเล่ารายละเอียดให้ฟัง ตามีมอบหมายให้ทางโรงเรียนลงโทษ ตามเห็นสมควร ก่อนที่จะกลับไปเถียงนาตัวเอง
“ไหน ? ใครไปก่อเรื่องอะไรไว้ ออกมายืนหน้าห้องเดี๋ยวนี้ !” ครูอนุชิตเสียงดุ
“พวกนายแสง นายกบ นายแห้งครับคุณครู พวกเขาขี้ลัก" กรีนนี่รีบร้องบอก
“สูคือกันหนั่นหล่ะ ! ออกมาเลย !" กบไม่ยอม
“ออกมาหมดนั่นแหละ ครูมีรายชื่อหมดแล้ว หรือจะให้ลงโทษหนักกว่าเดิม" ครูอนุชิตลูบไม้เรียว
เด็ก ๆ รีบพากันออกไปยืนก้มหน้า เบียดเพื่อนไปมาด้วยความละอายที่ทำผิด
“วันนี้ครูจะไม่ตีพวกเธอ แต่ก่อนที่จะไปแปลงผักกับเพื่อนคนอื่น ๆ ให้พวกเธอไปขอขี้ควายกับชาวบ้านมาใส่แปลงผักก่อน ขอมาให้เพื่อนคนอื่น ๆ ด้วย ครูให้เวลาพวกเธอหนึ่งชั่วโมง”
ครูอนุชิตพูดจบก็พานักเรียนที่เหลือลงจากอาคารเรียนไป เพื่อเตรียมดินไว้ปลูกผักทำเป็นอาหารให้นักเรียนและคุณครูในโรงเรียนได้กิน
“ไปเอาเฮียนไผดี ?” ม่านฟ้าถามเพื่อน ๆ
“เฮียนเฮา ! แม่เฮาเอาไปใส่นาเหมิดสุท่งแล้ว ยังเหลือขี้ควายอีกหลายยุ" เดอลารีบเสนอ
“รถยู้เด้เฮียนไผมี ?” นกแก้วเอ่ยปากถาม
“เฮียนเฮากะได้ เดี๋ยวพวกเฮาไปเอารถยู้มาตึ่ม” พูดจบแสงก็รีบวิ่งตรงไปยังบ้านตัวเอง โดยมีแห้งและกบวิ่งตาม
“ไปพวกเฮาภารกิจพิชิตขี้ควาย เริ่ม !” เดอลากับเพื่อน ๆ ร่วมแก๊ง จับมือกันวิ่งไปยังบ้านเธอ พร้อมกับฮำเพลงไปด้วย
ลา ลั้ลลา ลั้ลลา เด้อลา
ลา ลั้ลลา เด้อลา
ลา ลั้ลลา เด้อลา เด้อลา….
หลังจากที่เด็ก ๆ โกยขี้ควายใส่ถุงจนเต็มแล้วก็พากันรีบกลับโรงเรียน ในระหว่างทางที่เดินกลับแสงได้ชวนเพื่อน ๆ ไปหาปลาที่ห้วยแดง เพราะเขาเห็นว่ามีน้ำอยู่แอ่งหนึ่งกลางลำห้วย น่าจะมีปลาเยอะพอสมควร
“ไผสิไปสาปลานำเฮามื้อแลง ?” แสงเอ่ย
“ชวนไผ ?” เดอลาถามแสง
“กะชวนเหมิดหมู่หนิหล่ะ" หนุ่มน้อยตอบอ้อมแอ้ม
“อู้ยยยย ! ฟ้าผ่าแล้งบักแสงชวนหมู่เฮานำ" กรีนนี่ไม่อยากเชื่อหูตัวเอง
“บ่ไปกะตามใจ พวกกูไปกันสามคนกะได้" แสงทำท่าทีไม่สนใจ
“ไปกะไป" เดอลารีบตอบรับพร้อมพยักหน้าให้กับเพื่อน ๆ ร่วมแก๊ง
“แต่ตอนนี้ฟ่าวเอาขี้ควายไปหาคุณครูอนุชิตก่อน เดี๋ยวเพิ่นสิฮ้ายหัวซุมเฮา" เดอลาเร่งทุกคน
เมื่อถึงโรงเรียน เด็ก ๆ ก็รีบขนกระสอบขี้ควายลงจากรถเข็นทันที
“เอาไปกองรวมกันไว้ที่ใต้ต้นหูกวาง เสร็จแล้วมาทางนี้ พวกเธอต้องขุดแปลงผักเอง เพื่อนคนอื่น ๆ เขาขุดกันหมดเรียบร้อยแล้วเหลือแต่ใส่ปุ๋ย” ครูอนุชิตชี้ไม้ชี้มือบอกเด็ก ๆ
“คุณครูจะพาพวกหนูปลูกอิหยังแนคะ ?” เดอลาสงสัยเพราะเห็นแปลงผักที่เตรียมไว้มีหลายแปลงมาก
“พวกเธออยากปลูกผักอะไรบ้างหล่ะ ?" ผู้เป็นครูถามกลับ
“ผมอยากปลูกเห็ดเฟียงครับคุณครู"
“หนูอยากปลูกถั่วงอก"
“หอมป้อมค่ะครู"
“ครูคะหอมป้อมภาษาไทยเขาเอิ้น โอ๊ะ ! เขาเรียกว่าอะไรคะ ? เดอลารีบยกมือถามครู
“หอมป้อมภาษาไทยกลางเรียกผักชีไทย มีอีกหลายอย่างเลยนะที่เรียกเกือบจะเหมือนกันเลย อย่างที่เพื่อนเราเรียกเห็ดเฟียงเมื่อสักครู่ ภาษาไทยกลางจะเรียกว่าเห็ดฟาง อย่างมะเขือพวกเธอเรียกอะไร ?”
“บักเขีย !” เด็ก ๆ หัวเราะชอบใจหลังจากตอบคุณครูพร้อมกัน
“เอ้า ! เร่งมือเข้า เดี๋ยวจะถึงเวลาเลิกเรียนแล้ว” ครูอนุชิตกำชับ ก่อนที่จะเดินไปหยิบห่อเมล็ดพันธุ์ผักมาส่งให้เด็ก ๆ
แก๊ง ๆ ! แก๊ง ๆ !
เสียงระฆังดังส่งสัญญาณให้ครูและนักเรียน ตลอดจนพี่น้องชาวดอนผักหวานที่มีบ้านอยู่ละแวกใกล้เคียงโรงเรียน รู้ว่าสิ้นสุดการเรียนการสอนประจำวันแล้ว
เด็กนักเรียนเข้าแถวตอนเรียงกันเป็น 4 แถว แยกตามคุ้มต่าง ๆ โดยมีนักเรียนชั้น ป. 6 เดินนำและเปิดท้ายในแต่ละแถว เพื่อที่นักเรียนที่โตกว่าจะได้ดูแลน้อง ๆ เดินทางกลับจนถึงบ้านของแต่ละคน แล้วรุ่นพี่ค่อยแยกย้ายกันอีกที
เสื้อผ้าของเด็ก ๆ เป็นกระโปรงสีน้ำเงิน ซีดบ้างเข้มบ้าง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน บางคนมีสีเสื้อออกโทนฟ้า เพราะนำสีครามมาย้อมตามสมัยนิยม
ในระหว่างที่เด็ก ๆ กำลังทยอยกันเดินทางกลับบ้านอยู่นั้น ท้องฟ้าก็เริ่มขมุกขมัว เมฆดำลอยก่อตัวกันมาอย่างรวดเร็ว เด็กเล็ก ๆ ร้องวี้ดว้ายเสียงดัง บางคนก็หัวเราะสนุกสนานดีใจที่ฝนจะตกเสียที บางคนก็หน้าเสีย ร้องให้ขี้มูกโป่งเพราะกลัวเสียงฟ้าคำราม
ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว
“ฟ่าวพากันเมือเฮือนเมือซานถะแมะ พวกสูพากันอ้อยอิ่งอยู่หนั่น ไป ! ฟ่าวไป !” ตานายที่มีบ้านอยู่ใกล้โรงเรียน ร้องตะโกนออกมาบอกเด็กนักเรียน ที่กำลังเดินแถวตอนตามก้นกันกลับไปยังบ้านตัวเอง
เด็ก ๆ ที่กำลังเดินเข้าแถวกันอยู่ดี ๆ ก็กลายเป็นผึ้งแตกรัง ต่างคนต่างวิ่ง โชคดีที่หมู่บ้านไม่มีรถเครื่องหรือรถยนต์ผ่านไปมา จึงไม่ต้องกลัวว่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเด็ก ๆ
สำหรับถนนหนทางในหมู่บ้านจะมีก็แต่ผู้คนที่เดินเท้าไปมาหาสู่กันเท่านั้น ถ้าจะไปทำธุระในอำเภอหรือจังหวัด ชาวบ้านดอนผักหวานก็จะต้องเดินเท้าไปปากทาง หรือไม่ก็ต้องจ้างรถสามล้อตาสม ซึ่งก็แพงแสนแพง แต่ถ้าไปกันหลาย ๆ คนตาสมก็จะลดราคาให้ จักรยานก็แทบนับคันได้ว่าบ้านไหนมีบ้าง บรรยากาศในหมู่บ้านแทบไม่มีเสียงเครื่องยนต์รบกวนเลย
ฟิ้ว ! ฟิ้ว ! ฟิ้ว !
เสียงลมยังคงพัดกระหน่ำ ฝนเริ่มลงเม็ดเปาะแปะราดรดบนพื้นดิน เด็ก ๆ หลายคนถึงบ้านแล้ว แต่ยังมีบางกลุ่มที่ยังวิ่งหน้าตั้งตากฝนกันอยู่
เดอลาและนกแก้ววิ่งจูงมือกันด้วยความสนุกสนาน มือข้างหนึ่งหนีบสายรองเท้าแตะคู่ใจที่ขาดแล้วขาดอีก ด้านหลังสะพายเป้ผ้าฝ้ายสีเข้มคาดด้วยกระเป๋าสีแดงแจ๋
ตุ้บ ตั้บ ! ตุ้บ ตั๊บ !
เสียงกะติ๊บข้าวน้อยของสองสาวเหวี่ยงไปมากระทบกระเป๋าสะพาย ที่ทั้งคู่ม้วนเกี้ยวหัวไหล่พาดไปทางด้านหลัง เหมือนเด็กนักเรียนตามบ้านนอกทั่วไป โชคดีที่สายห้อยกะติ๊บข้าวค่อนข้างเหนียว เพราะทำจากเชือกไนล่อนสีเขียวอย่างดี ถึงจะฟัดเหวี่ยงไปมาสักกี่รอบก็ยังไม่ขาด
เป็นความโชคดีของเดอลาและเด็กคนอื่น ๆ ที่ได้ใช้กะติ๊บข้าวสวยงามและทนทานมาก ๆ จากฝีมือตาคำลุงของเดอลา ที่เลือกใช้วัตถุดิบได้คุณภาพมาทำเป็นกะติ๊บข้าว ด้วยเหตุนี้ลูกค้าถึงปากต่อปาก ว่ากะติ๊บข้าวฝีมือตาคำทั้งสวยทั้งทน ทำให้ตาคำขายดิบขายดี สามารถยึดเป็นอาชีพได้โดยไม่ต้องดิ้นรนไปหางานต่างจังหวัด หรือเดินทางเข้ากรุงเทพ ฯ เหมือนคนอื่น ๆ
“เฮาไปก่อนเด้อหญิง ! ฮอดเฮือนเฮาแล้ว” นกแก้วร้องบอกเดอลา ที่ยังต้องวิ่งฝ่าสายฝนผ่านป่ากล้วยตาชมไปอีก
“แล้วพ้อกันมื้ออื่นเด้อ” เดอลาร้องบอกเพื่อน ในขณะที่กำลังเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น
เมื่อเดอลาวิ่งไปถึงบันไดบ้าน ก็พบว่าแม่นางยืนถือผ้าถุงไว้รอเธออยู่แล้ว
“ฟ่าวขึ้นมาลูก เปียกเหมิดแล้ว” แม่นางส่งผ้าถุงให้ลูกสาวด้วยสีหน้าเป็นห่วง กลัวจะไม่สบายเหมือนต้น จนต้องหยุดอยู่บ้านไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนเพื่อน ๆ
“อีพ่อบ่อยู่บ่แม่ ?” เดอลาถามหาตาสีผู้เป็นพ่อ หลังจากกวาดตามองหาสักพักแล้ว แต่ก็ไม่เจอ
“พ่อเพิ่นไปเอาข้าวปลูกไปลงลูกหล่า ฝนเท่งมางวดนี้พวกเฮาสิได้ดำนาแท้ ๆ หล่ะ” แม่นางอธิบายให้ลูกสาวฟังด้วยใบหน้าอาบยิ้ม
“ต้นเด้ไคแล้วบ่ ? คึบ่ได้ยินเสียง” เด็กหญิงมองหาต้นผู้เป็นน้อง
“ไคแนแล้วหล่ะ ! เพิ่นแงงปลากัดอยู่แกเฮือนพุ้นเด้ อ้ายเขื่อนเพิ่นเอามาให้” แม่นางโบ้ยหน้าไปทางลูกชายที่กำลังก้ม ๆ เงย ๆ ดูขวดโหลสองใบที่อยู่ติด ๆ กัน
“น้าสายเด้หล่ะแม่ ?” สาวน้อยยังถามไม่หยุด
“ไปแกน้ำกินอยู่ดอนผักหวาน ไปโดนแล้วเด้ สงสัยติดฝนยุ” แม่นางสีหน้ากังวลเพราะเป็นห่วงน้องสาว ฝนก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดตกง่าย ๆ
“นั่นเดะ ! น้าสายมาแล้ว อ้ายเขื่อนกำลังหยู้รถหยู้มาซ่อยเพิ่นยุหนั่น” เดอลาร้องบอกแม่ด้วยความดีใจ
แม่นางมองตามมือลูกสาวด้วยสีหน้ากังวล
“ฟ่าวขึ้นมาเปลี่ยนผ้าเปลี่ยนแพ เปียกเหมิดแล้ว” แม่นางบอกน้องสาวเสียงเรียบ
สาวต้อยมองสบตาบ่าวเขื่อนโดยไม่พูดจา ได้แต่คิดในใจว่าค่ำนี้ต้องโดนพี่สาวเอ็ดแน่ ๆ
“ขอบใจหลาย ๆ เด้อหล่า เมือเฮือนเมือซานสา ยายเพิ่นสิเป็นห่วง” แม่นางร้องบอกเขื่อน
“อ้ายไปก่อนเด้อต้อย” บ่าวเขื่อนอ้อมแอ้มบอกลาสาวคนรัก
ต้อยพยักหน้าเป็นการตอบรับ ก่อนที่จะยกกระติกน้ำดื่มลงจากรถเข็น
“น้าต้อยหนูไปซ่อย" เดอลายิ้มแป้นอยากไปช่วยน้า
“บ่ต้องดอกหนูเปลี่ยนผ้าแล้ว ลงมาเดี๋ยวเปียกอีก” สาวต้อยปฏิเสธเพราะเป็นห่วงหลาน
“เอาขึ้นมาแต่พอใส่ไหน้ำกินกะพอต้อย ที่เหลือให้อ้ายสีเพิ่นขนออก ฟ่าวมาหาเปลี่ยนเสื้อเปลี่ยนผ้า เดี๋ยวเป็นหวัดเป็นไข้” แม่นางอดเป็นห่วงน้องสาวไม่ได้
สาวต้อยหิ้วกระติกน้ำดื่มปีนบันไดขึ้นบ้านไป โดยมีแม่นางยื่นมือมารับกระติกเอาน้ำดื่มอีกที เพื่อนำไปเทใส่ไหน้ำที่ตั้งอยู่บนแท่นนอกชาน เลยบันไดทางขึ้นไปนิดหน่อย
ที่บ้านของสาวน้อยเดอลา ในระหว่างที่สมาชิกกำลังกินมื้อค่ำอย่างเอร็ดอร่อย โดยเฉพาะเดอลาที่ชื่นชอบเมนูแกงหน่อไม้ดองใส่จิ้งโกร่งเป็นพิเศษ
“คึกินบ่เป็นตะแซ่บแท้ต้อย แกงจิ๊โปมใส่หน่อไม้ส้มบ่ได้กินง่าย ๆ เด้อ สุมื้อนี้จิ๊โปมหายากคัก” แม่นางเอ่ยแซวน้องสาว เพราะเห็นเงียบผิดปรกติ
ต้อยใจชื้นขึ้นมาหลังจากที่ได้ยินพี่สาวเอ่ยถาม เพราะคิดว่าจะโดนพี่สาวดุ เรื่องที่กลับมาบ้านตัวเปียกปอนพร้อมกับบ่าวเขื่อน
“แซ่บยุเอื้อย ข่อยบ่กล้าซดแฮง ย่านนางหล่ากินบ่อิ่ม” ต้อยตอบด้วยสีหน้าอารมณ์ดี หลังจากที่ไม่โดนพี่สาวดุแล้ว
“อ้ายว่าคันแมนบ่อิ่มหนิ กะย้อนพ่อใหญ่ต้นเด้อ กินบ่ปากบ่ตีง ขี้โผ่โอ้โล่ยุ” พ่อสีหัวเราะเอิ้กอ้ากพูดแซวลูกชายสุดที่รัก ทำให้บรรยากาศมื้อค่ำกับอาหารรสเลิศ อย่างแกงหน่อไม้ดองใส่จิ้งโกร่งรสแซ่บเข้มข้นขึ้นไปอีก
หลังจากทุกคนกินอาหารมื้อค่ำเสร็จ สาวต้อยอาสาไปล้างจาน ซึ่งปรกติจะเป็นหน้าที่ของเดอลา
“เป็นหยังหว่างแลงคึทรงเงียบ ๆ” แม่นางเอ่ยถามน้องสาวมาจากทางด้านหลัง ในขณะที่สาวต้อยกำลังนั่งล้างจานอยู่นอกชาน
“นึกว่าสิรอดแล้ว” ต้อยคิดในใจ
“บ่เป็นหยังเดะหล่ะ” สาวต้อยบอกปัด
“ย่านเอื้อยว่าเรื่องบ่าวเขื่อนบ่ ?” แม่นางถามอย่างรู้ทัน
“เอื้อยบ่ว่าดอก เอื้อยฮู้อยู่ว่าโตเป็นจังได๋ มันสุดวิสัยเด้ ฝนกะตกเทิงมืดเทิงค่ำ ดีแล้วที่เขาไปซ่อย มื้อหน้ากะเอิ้นมากินข้าวนำเด้อ เห็นมาซ่อยเวียกซ่อยงานดู๋แล้ว" แม่นางบอกน้องสาว
สาวต้อยวางมือจากถ้วยชามที่กำลังล้างอยู่ เงยหน้าขึ้นสบตากับพี่สาว แสงรำไรจากตะเกียงก๊าซที่สาวต้อยถือมาวางข้าง ๆ นั้น ถึงจะไม่เห็นแววตาที่ชัดเจนของผู้เป็นพี่ แต่เธอก็สัมผัสถึงความหวังดีและความห่วงใยจากเจ้าของแววตาคู่นั้นได้เป็นอย่างดี
--- จบตอน ---
แล้วพ้อกันใหม่เด้อจ้า
ด้วยฮัก งามดอกบัว (ผู้แต่ง)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in