ช่วงเดือนกรกฎาคม การเดินทางมาสหราชอาณาจักรนั้นหลังจากลงจากเครื่องบินแล้ว ถ้าเป็นผู้โดยสารที่มาจากลิสท์สีเหลือง (Amber List) ต้องกักตัว ณ ที่พักเป็นเวลา 10 วัน หากมาจากสีแดง (Red List) ต้องกักตัวที่โรงแรมที่รัฐบาลอังกฤษจัดให้ 10 วันพร้อมค่าใช้จ่ายที่แพงหูฉี่ โชคดีที่ผมเดินทางออกจากประเทศไทยช่วงที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อไม่ถึง ห้าพันคน ช่วงนั้นประเทศไทยก็เลยยังอยู่ใน ลิสท์สีเหลืองอยู่
ระหว่างนั่งรถแท็กซี่ บรรยากาศความเป็นเมืองชาติตะวันตกก็เริ่มรื้อฟื้นกลับมาในความทรงจำทีละนิด บ้านเมืองที่สะอาด (กว่าประเทศไทย) อากาศฤดูร้อนที่เย็นพอเหมาะ อากาศบริสุทธิ์ ถนนที่ไม่มีรถติดแน่น ไม่ว่าเมืองไหนๆในยุโรป ก็จะประมาณนี้ ถ้าไม่ใช่เขตเมืองใหญ่จริงๆ
“Far from home?” คนขับถาม มาไกลจากบ้านหรอเรา
“Sorry?” อะไรนะครับ
“You’re far away from your country, right?” มาไกลจากบ้านใช่ไหม?
“Yes” ครับ ในหัวตอนนั้นนึกอะไรไม่ออกนอกจากความตื่นเต้นที่ได้กลับมาเยือนยุโรปอีกครั้ง
“You’re gonna miss your home, aren’t you?” ต้องคิดถึงบ้านมากแน่ๆเลยใช่ไหม?
“Yes!” ในหัวกูเหลือแค่นี้จริงๆ หลังจากบอกจุดหมายปลายทางแล้วก็คิดอะไรไม่ออกอีกเลยให้ตาย
หลังจากนั้นเค้าก็ถามเรื่องที่ว่ามาทำอะไร อีกนิดหน่อย ก็จบบทสนทนา ฟังไม่ค่อยจะออก สำเนียงสก๊อตทิช ต้องมาเริ่มปรับหูใหม่อีกตามเคย
ไม่นานก็ถึงที่พัก
พร้อมกับกระเป๋าใบใหญ่ๆอีก 2 ใบ ค่าโดยสาร 20 ปอนด์ถ้วน เดินหาตึก
รีเซปชั่น
สักพักก็รู้ได้ว่า ‘กูเดินเลยตึกมาไกลมาก ฮ่าๆ’
ผมได้รับการต้อนรับอย่างดีจากพนักงานหอพัก ห้องผมอยู่ชั้นหนึ่ง ที่อังกฤษเค้าจะเรียกชั้น 2 ว่าชั้น 1 งงมะ คือ ชั้นที่มันอยู่ติดพื้นดินเค้าจะเรียก Ground Floor หรือชั้น จี ที่พวกเราอาจเคยเห็นในลิฟท์ในไทย แต่ที่ UK หลังจากชั้น จี ก็จะเป็น ชั้น 1 (First Floor) ใจจริงอยากอยู่สูงกว่านี้ แต่ก็เอาเถอะ
ทั้งแฟลตผมมีทั้งหมด 8 ห้อง ซึ่งเข้าใจผิดมาตลอด เพราะจริงๆมี 9 ห้อง มารู้อีกที 3 เดือนให้หลัง จะบ้าตาย 8 คนก็เยอะเต็มกลืนละ ตอนนั้นคือ ‘นี่กูต้องใช้ครัวกับห้องนั่งเล่นร่วมกับคนอีก 8 จริงๆหรอ’ หรือ 9 นั่นแหละ เอาเป็นว่าผมจะเข้าใจว่ามันมี 8 ห้องก่อนละกัน
หลังจากพนักงานที่แสนน่ารักได้แนะนำทุกอย่างคร่าวๆแล้ว ก็พาผมส่งห้อง และแล้วการกักตัวที่แสนน่าเบื่อก็เริ่มขึ้น ผมต้องส่งผลรายงานการแยงจมูก เครื่องมือที่ต้องซื้อและจองก่อนจะแลนดิ้งที่ UK วันที่ 2 และวันที่ 7 ของการกักตัวจะมีโอกาสออกไปสู่โลกภายนอก เพื่อเอาผลแยงนั้น ไปส่งที่ตู้ไปรษณีย์แบบเร่งด่วน ระหว่างที่กักตัว พนักงานก็แนะนำให้รู้จักพี่คนไทยคนนึง ชื่อ “พี่มุก” ระหว่างนี้พี่มุกก็จะคอยซื้อข้าว ซื้อน้ำมาฝาก ‘แหม่ ยังกะนักโทษ’ แต่มันช่วยไม่ได้จริงๆ
เอาเป็นว่าเรื่องระหว่างกักตัวมันก็น่าเบื่อประมาณหนึ่ง แต่ไอ้ที่สนุกคือ How to แยงจมูกยังไง นี่ละซิ จำได้ว่าต้องแยงต่อมทอมซิล ในคอ ทุกครั้งที่แยงคือ กูจะอ้วกทุกครั้ง เอาจริง คู่มือบอกว่า ตอนแยงห้ามให้ก้านโดนน้ำลาย เออแล้วกูจะทำยังไง กว่าจะถึงต่อมอะไรนั้น ไม้มันแทบโดนกลืนไปทั้งอันแล้วววว หลังจากนั้นให้แยงจมูก ต้องลึกประมาณนึงด้วยนะ สารภาพว่าไม่เคยทำเองมาก่อน ทั้งเสียวทั้งแสบ ‘โอ้ววว’ หมายถึงแยงจมูกด้วยตัวเองนะ ฮ่าๆ ทุกครั้งที่ทำก็คือ ระทึก กับผลลัพธ์ตลอดเลย เอ้อออ แต่ก็ผ่านมาได้อะเนอะ
สิบวันกับการกักตัวไม่มีอะไรมากไปกว่า เดินรอบห้อง ไปห้องครัว ที่เหมือนจะมีแฟลทเมท หรือเพื่อนร่วมหอ มีการเปลี่ยนแปลงของสิ่งของในห้องครัว ‘แต่กูไม่เคยเจอมึงเลย’ ช่วงปิดเทอมหอก็เงียบมากกก เป็นเป่าสาก ‘นี่ตกลงเรามีแฟลทเมทจริงๆใช่ไหมเนี่ย?’
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in