เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Europe Chapter 2KanSiri
บทที่ 3 อิสระภาพที่รอคอย
  •            หลังจากที่กักตัวมาได้ 10 วันเป๊ะๆ การตรวจผลโควิด ก็ผ่านไปด้วยดีไม่มีปัญหาอะไร และแล้วก็ถึงเวลาซักที ที่จะออกไปโบยบิน ก่อนวันที่ 10 ก็ได้มีโอกาสเจอแฟลตเมท หนึ่งคน เป็นหนุ่มผิวสีหุ่นนักกีฬาแต่ไม่ได้สูงมาก นามว่า “ดิโล่” ที่เพิ่งย้ายเข้าหอมาสดๆร้อนๆ ดิโล่มาจากไอแลนด์เหนือ ไม่แน่ใจว่าต้นตอตระกูลมาจากไหน แล้วผมก็ไม่ได้คิดจะถามอะนะ การคุยกับดิโล่ให้อารมณ์อยากแรพตลอดเวลาตามประสาสำเนียงคนผิวสี แต่เอ่อ...กูฟังไม่รู้เรื่องอะใจเย็นมึง อื้มต้องใช้เวลาปรับหูแหละเนอะ เอาเป็นว่า ดิโล่วุ่นวายกับการซื้อของเข้าหอจนไม่ได้มีเวลาคุยเท่าไหร่ ตอนนี้เท่าที่รู้มีคนอยู่ในแฟลตสามคน รวมตัวผม มีดิโล่ ผม แล้วก็ใครซักคนที่มาตั้งนานแล้ว แต่ไม่เห็นตัว ชื่อ “โจ” เป็นเพื่อนดิโล่ ซักถามกันไปมา ก็ได้ความว่า พวกเค้ารวมตัวกันจองแฟลตเดียวกัน แบบเป็นเพื่อนกันมาอะนะ ส่วนกูอะหรอ….ส่วนเกินไง ฮ่าๆ

                หลังจากวันกักตัววันสุดท้ายผมได้นัดเจอขอร้องพี่มุกให้มาพาทัวร์เมืองให้ซักหน่อย และวันนั้นเองผมก็ได้เจอกับ “พี่ต้น” ผู้ซึ่งมาเรียนปริญญาเอก เกี่ยวกับเภสัช....สักอย่างนั่นแหละ ชีวิตตอนนี้มีความสุขมาก ทุกอย่างดูแปลกตา ตื่นเต้นไปหมด ย้ายมาที่ใหม่ เมืองใหม่คนใหม่ๆ สภาพแวดล้อมใหม่ๆ ดีไปหมด ผมได้ทำการซื้อของที่จำเป็น กะทะเอย ตะหลิวเอยน้ำยาโน่นนี่นั่น น่าซื้อไปหมด รู้ตัวอีกทีอ้าว เงินหายไปแทบหมด แต่ก็นะสำคัญไปซะหมด

                เมืองอะเบอร์ดีนเคยขึ้นชื่อเรื่องน้ำมันและธุรกิจทางทะเล ถือว่าเป็นเมืองอุตสาหกรรมและเมืองท่าเมืองแรกๆ ที่เป็นแหล่งรายได้ในอังกฤษคนส่วนใหญ่จะเป็นชาวประมง ภาษาและสำเนียงก็จะเป็นเอกลักษณ์มากๆ จะขนาดไหนหรอ? ก็ขนาดที่ว่าฟังแม่งสี่รอบยังฟังไม่รู้เรื่องเลยจ้า เหมือนกับว่าต้องมาเรียนภาษาใหม่เลยถ้าจะให้ชินกับคนท้องถิ่นที่นี่ วันแรกผ่านไปแบบ ตื่นเต้น งงๆ สับสนปนกันไป แต่ก็ไม่เลวแหละ…..ดูออก

                พี่มุกและพี่ต้นพาผมไปกินร้านอาหารกันตายราคาย่อมเยาว์ รสชาติที่ไม่ได้แย่แต่ก็ไม่ได้ดี อาหารสไตล์ยุโรปๆ ฝรั่งๆกินกันแบบพวกเฟรนช์ฟรายน์ แต่ถ้าจะเรียกแบบ บริติช ก็จะเรียก ชิพส์ (Chips) (ซึ่งบางทีกูก็ไม่เข้าใจว่าทำไมไม่เรียกให้มันเหมือนๆกันมันยากนักหรือฮะ ที่จะเรียกเหมือนกัน) แฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า ไก่ทอด อะไรเทือกๆนี้แหละเป็นร้านที่ราคาอาหารก็ประมาณ 5-6 ปอนด์ได้ อิ่มดี ได้เยอะแต่ก็นะ ถือว่าเป็นตัวเลือกท้ายๆที่จะคิดถึงแล้วกันเวลาหิว

                หลังจากนั้นก็พาไปดูห้างเล็กๆร้านค้า เสื้อผ้าหน้าผม ซูเปอร์มาเก็ต อะไรที่ผมคิดว่า สำคัญต่อการดำรงชีวิตก็จะถามๆให้ครบๆ การเดินทางที่นี่ก็จะเน้นหนักไปที่ฝีเท้า เมืองไม่ได้ใหญ่มากเดินสบายๆอากาศเย็นๆ ไม่ได้ร้อนแบบเมืองไทย ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี ไม่ต้องเสียค่ารถอ้อ แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องรถที่นี่ก็จะมีรถเมล์เป็นรถสาธารณะในเมืองเป็นหลักไปต่างเมืองก็มีรถไฟ และรถทัวร์ รวมถึงสนามบิน และแต่ชอบเลย เลือกได้สบายๆ

                หลังจากรู้สิ่งที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้วก็ถึงเวลากลับห้องพัก ช่วงที่ผมมาถึงที่นี่มันเป็นหน้าร้อนพอดีอย่างที่เคยกล่าวไปในคราวก่อน พระอาทิตย์หน้าร้อนยุโรปก็จะตกประมาณ 3-4 ทุ่ม แน่นอนโดยเฉพาะช่วงนี้ มันตก 4 ทุ่มและก็จะโผล่มาต้อนรับวันใหม่ตอนประมาณ ตี 3-4 โอ้แม่เจ้าตาสว่างยาวๆไปเลยทีนี้

                ชีวิตกับอิสระภาพนี่มันเป็นของที่เหมาะสมกันจริงๆ การชมเมืองแบบเต็มรูปแบบนี่มันเยี่ยมสุดๆไปเลย แต่แล้ววันดีๆของผมก็ถูกทำลายและหมดลงเมื่อผมกลับมาถึงหอเมื่อเดินไปที่ห้องครัวที่เปิดอยู่นั้น...ขยะที่มันเพิ่มมาแบบทวีคูณสุดๆกลิ่นเหม็นๆจากถังขยะเน่าๆ เมื่อมองไปยังซากที่น่าสังเวชพวกนั้นในหัวได้ได้นึกและก็ถามว่า “What the F*ck?” เกิดบ้าอะไรขึ้นกันวะเนี่ยยยยย.....
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in