เราใช้คุ๊กกี้บนเว็บไซต์ของเรา กรุณาอ่านและยอมรับ นโยบายความเป็นส่วนตัว เพื่อใช้บริการเว็บไซต์ ไม่ยอมรับ
Better DaySopon Supamangmee
ว่าด้วยเรื่องของ "ความรัก"
  • อาทิตย์ก่อนผมนอนอยู่บ้านคนเดียวเป็นเวลาเกือบสัปดาห์ ยอมรับเลยว่าไม่เคยห่างเมียนานขนาดนี้มาก่อนหลังจากแต่งงานเมื่อสามปีก่อน ห้องที่คับแคบแทบเดินชนกันกลับรู้สึกอ้างว้างจนโหวงเหวงน่าหดหู่ จินตนาการว่าตัวเองเดินอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนาที่เวิ้งว้าง (มึงเว่อไปละ) สรุปง่ายๆคือห้องของเราควรมี "เรา" อยู่ในนั้น ไม่ใช่มีแค่ผมเดินแกว่ง....แขนไปมา เหมือนคนบ้าที่ไม่รู้ว่าคืนนี้ทำอะไรดี การมีนิสัยติดภรรยานั้นแก้ยากและผมเต็มใจให้มันเป็นแบบนั้น แต่เอาเถอะไหนๆก็ไหนๆ เมื่อแมวไม่อยู่หนูก็ขอหาอะไรทำฆ่าเวลา คืนนี้มันช่างเหมาะกับการทำ "สิ่งนั้น" เสียจริงๆ :-)

    ผมเดินไปค้นหาแผ่นหนังดีวีดีที่เก็บในลิ้นชัก พลิกไปเรื่อยๆเพราะมันถูกซ่อนทับอยู่ลึกมาก รอยยิ้มเจ้าเล่ห์เล็กๆเริ่มเผยออกมาพร้อมเสียงหัวเราะเล็กๆในลำคอ นิ้วน้อยๆค่อยๆควานหาหนังที่ซื้อเก็บมาไว้แรมปีแต่ถ้าเธออยู่คงไม่มีโอกาสได้ดู เจอแล้ว!!!! หน้าปกสีชมพูหวานจ๋อยอันน่าเย้ายวนอารมณ์ คืนนี้แหละช่างเหมาะเจาะนัก ผมหัวเราะเสียงดัง พร้อมชูดีวีดีเรื่อง "Her" ขึ้นฟ้าอย่างผู้ชนะ ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆ (ความคิดตะเลิดเปิดเปิงไปไกล กลับมาได้แล้วครับ)

    คืออย่างนี้ขอแถลงไขก่อนว่าภรรยาไม่อยู่ไม่ใช่เพราะทะเลาะหนีออกจากบ้านอะไรนะครับ อาทิตย์ก่อนหลังจากที่แม่ของเธอลื่นล้ม เธอจึงตัดสินใจอยู่ดูแลสักสี่ห้าวันให้แน่ใจ คอยเตือนเวลายกของหนักและจัดยาทายาให้ ผมจึงกลับมาที่บ้านก่อนแล้วค่อยกลับไปรับทีหลัง โอเคเรื่องแรกจบไป

    ต่อมาเรื่องที่สอง ภาพยนต์เรื่อง "Her" นั้นเนื้อเรื่องออกแนวดราม่านิดหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเรื่องราวของความรัก แต่มันหนักและต้องใช้ความพยายามในการเข้าใจสารที่ผู้สร้างต้องการสื่อ ซึ่งภรรยาบอกว่า "ชีวิตกูก็เครียดพออยู่แล้ว จะให้มานั่งเข้าใจหนังคนรักคอมฯเชี้ยอะไรนี้อีก ไม่เอาด้วยหรอก" (เธออ่อนหวานและพูดจาด้วยภาษาดอกไม้อยู่เสมอ) สรุปว่าผมก็ไม่รู้จะดูกับใครและมันก็ค้างอยู่ใน "watch-list" มานานมากแล้วด้วย ตอนนี้สมควรแก่เวลา เพราะเก็บดองนานอีกนิดแผ่นดีวีดีอาจขึ้นราเป็นดวงๆ (มันเป็นจริงๆนะครับไม่ได้หยอกเล่น) เกือบสามชั่วโมงผ่านไปกับการนั่งอึ้งกิมกี่ปากค้างอยู่หน้าจอทีวี อุทานออกมาพร้อมตบฉาดที่หน้าขาตัวเองว่า "เชี้ยแม่ง!!!"

    เอางี้...คือผมรู้แหละว่าหนังมันต้องดีเพราะรางวัลออสก้าสาขา Screenplay ประจำปี 2014 นั้นไม่ใช่รางวัลไก่กาที่ได้มาเชยชมกันง่ายๆ แต่แค่ไม่ได้คิดว่ามันจะดีขนาดนี้ เหมือนกับการไปกินหมูกะทะเจ้าอร่อยตอนท้องกิ่ว (หลังจากพยายามไดเอทมาสามวัน) แล้วเกิดอาการฟินจนขนคอลุกตั้ง เยี่ยงใดเยี่ยงนั้นเลยครับ

    เอาเป็นว่ามาเข้าเรื่องกันดีกว่า (นี้มึงเกริ่นเหรอ?) ประเด็นหลักของหนังเรื่องนี้อย่างที่บอกคือ "ความรัก​" ซึ่งโดยทั่วไปเป็นประเด็นที่กว้างมากกกกก (ก.ไก่ล้านตัว แนะนำให้ลากเสียงแบบป๋อมแป๋มเทยเที่ยวไทยจะได้อรรถรสยิ่งขึ้น) แต่สิ่งที่น่าสนใจก็คือมันเป็นความรักระหว่างมนุษย์ผู้ชายกับสมองกลอัจฉริยะ (อย่าคิดถึงอาโนลด์คนเหล็กทะลุมิติเด็ดขาด) ตอนแรกที่ได้ยินคนพูดมาแบบนี้ผมงงไปเลยสิครับ คิดในใจว่าควรมีใครสักคนพาไอ้มนุษย์ผู้ชายคนนี้เข้ารับการตรวจสภาพจิตใจโดยด่วนดีไหม แต่คิดไปคิดมาถ้าไอ้นี้รักกับคอมพิวเตอร์ได้(แม่ง)คงไม่มีใครคบมันแล้วหล่ะ แต่กลับเป็นผมเองที่พลาดไป เพราะนอกจากชายคนนี้เป็นผู้ชายที่มีชีวิตแบบธรรมดาทั่วไป มีงานทำ มีเพื่อนฝูง ปฏิสัมพันธ์กับมนุษย์รอบข้างก็ปกติดีไม่มีอะไรแปลกแยก ทั้ง IQ ทั้ง EQ ก็น่าจะอยู่ครบไม่ใช่พวก Socially Awkward ที่ทำตัวไม่ถูกเมื่ออยู่ร่วมในสังคมมนุษย์ด้วยกัน (คืออันนี้มีอยู่จริงนะครับ)

    เนื้อเรื่องเกิดขึ้นในโลกอนาคตที่ไม่ไกลจากปัจจุบันมากนัก เทคโนโลยีก้าวหน้าไปเรื่อยๆและมนุษย์ก็ยังคงเป็นมนุษย์ไม่เปลี่ยนแปลง ยังคงตื่นตอนเช้ากินข้าวไปทำงานนอนกลางคืน ใช้ชีวิตปกติทั่วไป (ไม่ได้ sci-fi โลกถูกทำลายล้าง มนุษย์สูญพันธ์ประมาณนั้นครับ) อยู่มาวันหนึ่งพระเอกที่ชื่อ ธีโอดอร์ (Theodore) ก็ได้รู้จักกับ ซาแมนต้า (Samantha) เพราะบังเอิญเดินผ่านงานแฟร์เกี่ยวกับเทคโนโลยีแล้วตาไปเจอกับ Operating System ตัวใหม่ที่ชื่อว่า OS1 อธิบายกันแบบง่ายๆไม่สนใจลิขสิทธิ์กล่าวอ้างว่ามันเหมือน Siri ในโทรศัพท์ iPhone ของแอปเปิ้ล แค่แอดวานซ์ไปอีกประมาณร้อยเท่า พอติดตั้งเจ้า OS1 บนคอมพิวเตอร์หรือสมาร์ทโฟนเรียบร้อย เราสามารถที่จะ interact ถามตอบพูดคุย "อากาศเป็นยังไง" "เตือนให้ซื้อนมกลับบ้าน" "ส่งอีเมลไปหาแม่" เป็นผู้ช่วยสมองกล (Virtual Assistant) ที่ช่วยทำงานอะไรง่ายๆพวกนั้น แต่สิ่งที่ทำให้ซาแมนต้าต่างออกไปจากแค่สมองกลทำงานที่น่าเบื่อคือ "ความคิด" และ "ความรู้สึก" ที่พัฒนาขึ้นเรื่อยๆ จากแรกๆเธอแค่ทำงานตามหน้าที่ที่ถูกจัดวางไว้ให้ (เช่น "ช่วยจัดเรียงอีเมลให้หน่อย") จนค่อยๆพัฒนาเรียนรู้และเริ่มทำโดยไม่ต้องถูกสั่ง (เช่น "อ่านอีเมลของธีโอดอร์แล้วเลือกว่าอันไหนควรตอบอันไหนควรลบโดยไม่ได้รับคำสั่ง") จากนั้นเธอก็ค่อยๆเป็นที่ปรึกษาของธีโอดอร์เมื่อเขาเสียใจ คอยเอาใจใส่พูดคุยด้วย ปัญหาชีวิต พูดคุยหยอกล้อหยอดมุขตลก บอกเล่าถามไถ่ถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เธอเริ่มเรียนรู้อ่านหนังสือและพัฒนาตนเองอย่างไม่หยุดหย่อน มีคำถามเกี่ยวกับความคิดความรู้สึกที่เกิดขึ้นโดยมีธีโอดอร์คอยอธิบายว่ามันคืออะไร ซาแมนต้ารู้สึกโกรธ หึงหวง เศร้า เสียใจ ดีใจ หัวเราะ ร้องไห้ และสุดท้ายไม่พ้นที่จะรู้สึกถึงความรักและผูกพันกับธีโอดอร์ในที่สุด

    เอาเป็นว่าผมจะไม่สปอยล์เนื้อเรื่องเผื่อว่าใครอยากไปดูเอง ประเด็นที่ผมอยากจะพูดถึงคือความรักระหว่างธีโอดอร์กับซาแมนต้าซะมากกว่า ซาแมนต้านั้นไม่มีแม้แต่ร่างกาย สิ่งเดียวที่ "เชื่อมต่อ" ระหว่างทั้งคู่ไม่ใช่สัมผัสเนื้อหนัง แต่เป็นเส้นใยไฟเบอร์ของการสื่อสารทางโทรศัพท์มือถือที่ไม่สามารถจับต้องและมองเห็นได้ ธีโอดอร์รักซาแมนต้าโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าหน้าตาของเธอนั้นเป็นอย่างไร และสำหรับเขาแล้วมันไม่ได้สำคัญอะไรเลยด้วยซ้ำ ถ้าเข้าใจกันดูแลกันเป็นที่พึ่งทางใจ (เพราะทางกายนั้นเป็นไปไม่ได้) คอยห่วงใยดูแลพูดคุยเป็นกำลังใจ อยู่ด้วยเสมอไม่ว่าเวลาไหนในชีวิต แค่นั้นก็เพียงพอแล้วสำหรับธีโอดอร์ มันอาจจะฟังดูแปลกๆเพราะมันเป็นความรักระหว่างคนกับคอมฯอย่างที่กล่าวไว้ข้างต้น แต่ในขณะเดียวกันมันก็ช่างบริสุทธิ์ไร้สิ่งเจือปน เป็นความรักในเวอร์ชั่นที่ปลดเปลื้องเปลือกนอกที่ตาเห็นอย่างหมดสิ้น (รูปร่างหน้าตา ฐานะทางสังคม ชื่อเสียงทรัพย์สินเงินทอง) เหลือแต่ "ความรัก" ที่เป็น "ความรัก" อย่างแท้จริง

    แม้ว่าเนื้อเรื่องในหนังความรักระหว่างมนุษย์กับสมองกลอัจฉริยะอาจจะยังไม่เกิดขึ้นในเร็ววันนี้ (อนาคตใครจะไปรู้หล่ะครับ) แต่ถ้าว่าด้วยเรื่องของความรักที่ผิดแปลกจากความเชื่อของสังคมทั่วไปเช่นความรักระหว่างเพศเดียวกัน (ชายชายหรือหญิงหญิงก็ตาม) เริ่มเป็นที่ "ยอมรับได้" มากขึ้นตามยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง เมื่อกลางปี 2015 ศาลสูงของประเทศยักษ์ใหญ่อย่างสหรัฐอเมริกาเพิ่งมีมติเสียงข้างมาก 5 ต่อ 4 เสียง รับรองการแต่งงานระหว่างคู่รักร่วมเพศ ทำให้สหรัฐเข้าสู่ทำเนียบของประเทศที่รับรองการแต่งงานของคู่รักเพศเดียวกันให้เป็นสิ่งถูกกฎหมาย (ต่อจากอาร์เจนตินา เบลเยียม บราซิล แคนาดา เดนมาร์ก ฟินแลนด์ ฝรั่งเศส ไอซ์แลนด์ ไอร์แลนด์ ลักเซมเบิร์ก เม็กซิโก เนเธอร์แลนด์ นิวซีแลนด์ นอร์เวย์ โปรตุเกส สโลวีเนีย แอฟริกาใต้ สเปน สวีเดน สหราชาอาณาจักร และอุรุกวัย) เป็นการตอกย้ำถึง "ความเท่าเทียม" ของความรักว่ามันสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ถึงแม้มันอาจจะดู "แตกต่าง" จากที่เราเคยเรียนรู้ประสบพบพาน แต่ถ้ามันเป็นความบริสุทธิ์ใจด้วยกันทั้งสองฝ่าย ด้วยหัวใจที่เต็มไปด้วยความเข้าใจ ความรู้สึกดีๆอบอุ่นหัวเราะและร้องไห้ไปด้วยกัน สุขและทุกข์ก็ฝ่าฝันไปด้วยกัน ถึงแม้ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นตามแบบอย่างที่เราเคยเข้าใจ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ควรจะถูกเรียกว่า "ความรัก" เหมือนกันไม่ใช่หรือ

    ในใจลึกๆผมรู้สึกกังวลและเป็นห่วงลูกของผมที่เพิ่งลืมตามาดูโลกใบนี้ได้ไม่นาน อนาคตผมไม่มีทางรู้หรอกว่าเขาเติบโตขึ้นมาแล้วจะมีความรักในรูปแบบไหน แม้อยากให้เขานั้นมีความสัมพันธ์แบบธรรมดาทั่วไประหว่างชายหญิง แต่ว่าด้วยเรื่องของความรักแล้วสิ่งเหล่านี้มันใช่ว่าบังคับกันได้ซะเมื่อไหร่ ที่กังวลนั้นไม่ใช่เพราะกลัวว่าตัวเองจะรับไม่ได้หรอกนะครับ แต่กลัวว่าลูกจะปิดบังและไม่กล้าที่จะบอกผมซะมากกว่า ถ้าลูกผมโตพอได้อ่านและเข้าใจถึงตรงนี้แล้วหล่ะก็ ผมคงอยากจะบอกให้เขารู้ว่า

    ความรักคือความรัก ไม่ว่ารูปแบบไหน มันเกิดขึ้นได้และมันเป็นแบบนั้นไม่ว่าใครจะพูดยังไงก็ตามที
Views

เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น

Log in