9
ผมเบิกตาโพลง ปล่อยให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกเข้าครอบงำร่างกายตัวเอง เชื่อผมเถอะ -- ในนาทีสิ้นใจนั้น คุณไม่มีความรู้สึกหรอกว่ากระสุนทะลุส่วนไหนของร่างคุณ อาจจะเป็นปอด ตับอ่อน หรือขั้วหัวใจ -- แต่สุดท้ายคุณก็จะตระหนักได้อยู่ดี ว่าอวัยวะเหล่านั้นกำลังหยุดทำงาน และทิ้งให้คุณกลายเป็นเพียงซากศพเย็นยะเยือกและซีดเผือด
ผมมองร่างในชุดเสื้อคลุมสีน้ำเงินเข้มของซาร่า เธอยืนตัวแข็ง และมองตอบผมไม่ต่างกัน
ในไม่ช้า มือบางข้างนั้นก็ปล่อยกระบอกปืนร่วงลงพื้น ร่างของเธอมีรอยเลือดซึมออกมาตรงกลางอก ก่อนจะค่อยๆขยายออกเป็นวงกว้าง
ผมเห็นเจควิ่งตรงเข้าไปยึดปืนจากซาร่า ปล่อยให้ร่างของซาร่าล้มลงกับพื้น
“ฟิชเชอร์!” เจคเรียกชื่อฟิชเชอร์ออกมา -- ไม่ยักกะเรียกชื่อผม
และในนาทีนั้นเอง ผมก็ตระหนักได้ว่าไม่มีกระสุนเจาะทะลุร่างผมสักนัด นอกจากทะลุร่างของซาร่า -- และวิถีกระสุนก็ไม่ได้มาจากปืนของผม
-- แต่มาจากร่างของฟิชเชอร์
ฟิชเชอร์ไอค่อกแค่ก ยันตัวขึ้นมาจากพื้น มีเจคช่วยประคองให้เขาขึ้นมานั่งพิงเคาท์เตอร์ได้ ผมตรงเข้าหาฟิชเชอร์ และเปิดเสื้อสูทเขาออกเพื่อสำรวจดูบาดแผล
มันเฉี่ยวสีข้างเขาไป คงจะเป็นแผลลึกพอดู และเจ็บแสบน่าดู แต่ไกลกับคำว่าตายเยอะ
“นายทำพวกเราตกใจแทบแย่!” ผมร้องออกมาอย่างโล่งอก
ฟิชเชอร์ยักไหล่ “เล่นไปตามน้ำน่ะ” เขาพูดปนหอบ สีหน้าบิดเบี้ยวเพราะเจ็บแผล “ยิงยายนี่จากทางด้านหลัง ง่ายกว่ายิงจากทางด้านหน้าเยอะ”
คราวนี้เป็นซาร่าที่ไอค่อกแค่ก เธอกุมมือที่บาดแผลเอาไว้ ก่อนจะยันตัวขึ้นมาพิงประตูร้าน แล้วจ้องมองพวกเรา -- เธอเป็นหญิงบ้าที่ตายยากจริงๆ
เราสี่คนจ้องมองกันอยู่อึดใจหนึ่ง ต่างไม่มีคำพูด -- แต่แล้วก็มีเสียงนรกดังขึ้นมาจากที่ไกลออกไป
ตำรวจกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ -- ใครบางคนได้เรียกตำรวจมา และไม่ว่าจะแจ้งตำรวจด้วยวิธีใดก็ตาม มันทำให้เรารู้ตัวว่าเวลากำลังจะหมดลงแล้ว
ผมมองฟิชเชอร์กับเจค และหันไปมองลูซี่
“พาเธอหนีไป” ผมกระซิบบอกกับเพื่อนทั้งสอง “พวกนายฉลาดกว่าฉัน เก่งกว่าฉัน และกล้าหาญกว่าฉัน พวกนายจะดูแลลูซี่ให้ฉันได้ -- พาลูซี่ขึ้นเรือสำราญไปแทนฉัน -- ฉันจะถ่วงเวลาที่นี่เอาไว้เอง”
ฟิชเชอร์กับเจคมองหน้าผมเหมือนกำลังมองหอยทากข้างทาง
“พูดอะไรของนาย” เจคแหว “เรามาด้วยกัน ก็ต้องไปด้วยกัน เราจะออกไปจากที่นี่ด้วยกัน พร้อมกับผู้หญิงของนาย เข้าใจไหม”
“เราหนีไม่ทันหรอก” ฟิชเชอร์ขัด สีหน้าดูนิ่งสนิท “เราจะหนีกันไม่ทัน ถ้าหากมีฉันเป็นตัวถ่วงไปด้วย แผลฉันไม่ถึงตาย แต่ก็ขยับตัวยากลำบากน่าดู กว่าจะไปถึงเรือสำราญ มีหวังโดนโยนเข้าซังเตไปก่อน พวกนายหนีไปก่อน ฉันจะเป็นคนถ่วงเวลาตำรวจไว้ที่นี่เอง”
“ไม่เอานะฟิชเชอร์ นายเป็นหัวหน้าของเรา นายต้องไปต่อ” ผมประท้วง
แต่เจคกลับนิ่งไป เขาเปิดดูบาดแผลของฟิชเชอร์ มองดูเลือดที่ไหลออกมา และสีหน้าอันเจ็บปวดของเพื่อนตัวเอง ก่อนจะหันมามองผม
และผมก็แปลความนัยน์ของสายตาคู่นั้นไม่ออก -- ผมไม่เคยแปลความนัยน์อะไรออกเลย ให้ตายสิ
“รู้อะไรไหม” เจคค่อยๆพูดออกมา “ว่าฉันติดหนี้พวกนายเอาไว้มหาศาล -- ทั้งเรื่องที่ให้กำลังใจฉันในตอนที่ทั้งเมืองประนามเรื่องแม่ฉันหนีไปกับชาวประมง ตอนที่ฉันโดนเหยียดหยามว่าฉันเป็นลูกโสเภณีชั้นต่ำ เป็นเด็กกำพร้า โง่เง่า ขาดการศึกษา และ -- อะไรนะ -- สวะสังคม”
คราวนี้ทั้งฟิชเชอร์และผมต่างมองเจคด้วยความงุนงง
“ฉันไม่เคยเข้มแข็งได้ด้วยตัวเอง ไม่ว่าคนอื่นจะคิดว่าอย่างไรก็ตาม ฉันรู้ตัวเองดีที่สุด -- ตั้งแต่วันที่แม่ปล่อยให้ฉันนอนแข็งเกือบตายที่ริมท่าเรือ ฉันก็ไม่เคยเหมือนเดิมอีกเลย และจะไม่มีวันกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก -- พนันได้เลย ว่าพวกนายก็รู้ดีว่าฉันเปลี่ยนไปนับจากวันนั้น” เจคดึงจดหมายฉบับหนึ่งออกมาจากเสื้อสูทของตัวเอง ก่อนจะชูให้ผมดู
“ฉันไม่รู้ว่านายหมายถึงอะไร” ผมว่า
มีเสียงคนขยับตัวรอบร้าน -- ดูเหมือนทุกคนจะเริ่มเป็นอิสระกัน เมื่อไม่มีใครถือปืนคุมสถานการณ์ และในจังหวะนั้นเองที่ลูซี่ทำให้สิ่งที่ไม่เคยมีใครคาดคิดเอาไว้
“อย่าขยับ!” ลูซี่ยืนจังก้าอยู่ข้างพวกเรา พร้อมกับขู่คำรามเสียงสูง โดยมีปืนของผมในมือ -- นี่เธอเอาไปตอนไหนนะ “อย่าท้าทายฉันนะ บอกไว้เลย อย่าลองดีกับหญิงท้องจากเขตหลังเมือง ถ้าไม่อยากกลับบ้านสภาพนิ้วด้วน” เธอย้ำ เมื่อเห็นอิ๊กกี้ขยับตัวยุกยิก
เจคปล่อยให้ลูซี่คุมสถานการณ์ เขาคลี่จดหมายออก แล้วชี้ไปที่คำลงท้ายจดหมายที่เขียนเอาไว้ว่า ‘จากแม่’
“นี่ไม่ใช่ลายมือแม่ฉันเลย คล้ายมากนะ -- แต่ยังไม่ใช่ -- หลอกฉันไม่ได้หรอก”
ผมกับฟิชเชอร์นิ่งไป
“ฉันรู้ว่าพวกนายเขียนจดหมายเก๊ๆให้ฉัน ต้องการให้ฉันเข้าใจว่าแม่ยังรักและคิดถึงฉัน -- ทั้งๆที่ความจริงแล้วนั้น มันไม่ได้เป็นแบบนั้น จริงไหม” เจคจ้องมองจดหมายในมือ “แต่พวกนายก็เลือกที่จะช่วยและปกป้องฉันด้วยวิธีที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่พวกนายเคยทำนับตั้งแต่เกิดมา -- ปลอมจดหมาย -- ไม่น่าเชื่อ และน่าขนลุกที่สุด! แต่มันก็เป็นไปแล้ว --”
“นายรู้ตัวตอนไหน” ผมถาม
“ตั้งแต่ฉบับแรกเลย” เจคตอบ ทำเอาผมหน้าชาไปชั่วขณะ -- นี่มันรู้ตัวเร็วขนาดนั้นเลยเรอะ
“เป็นความคิดของซันนี่น่ะ” ฟิชเชอร์พูดเบาๆอย่างอ่อนแรง “มันบอกว่าจะเป็นวิธีช่วยไม่ให้นายซึมเศร้า”
เจคหัวเราะออกมา “ก็จริง เพราะตอนนั้นฉันกำลังจะเป็นบ้า” จากนั้นก็พูดอะไรบ้าๆออกมา “เพราะฉะนั้นถึงเวลาที่ฉันจะตอบแทนพวกนาย ฉันจะอยู่ถ่วงเวลาที่นี่เอง”
“หยุดงี่เง่าเถอะน่า! ยิ่งเถียงกัน ก็ยิ่งเสียเวลานะ”
“ไม่ต้องห่วง ฉันวางหมุดเอาไว้ตามถนนแล้ว พวกตำรวจคงมีแจ็คพ็อตโดนกันจนล้อฟีบบ้างล่ะ” ฟิชเชอร์หัวเราะคิกๆ “เพราะงั้นเราพอมีเวลาเถียงกันได้อยู่น่า ซันนี่ ใจเย็นๆ”
ผมกลอกตาใส่ฟิชเชอร์ “กดแผลตัวเองต่อไปเหอะน่า!”
“ฟังนะ” เจคบอกผม “สิ่งที่ดีที่สุดบนโลกใบนี้ คือการที่คนเป็นลูกได้มีโอกาสโตมากับพ่อแม่ตัวเอง -- แบบที่นายโตมากับพ่อแม่ตัวเอง -- มันไม่เกี่ยวหรอกว่าพวกนายจะขาดอะไรกันไปบ้าง มันเกี่ยวแค่ว่าพวกนายมีอะไรให้กันและกันบ้างต่างหาก พวกท่านอาจจะมีปากเสียงกัน เรื่องนายตกงาน เรื่องหลังคารั่ว และ -- อะไรอีกนะ --”
“เชื้อรา กับสวนที่รกน่ะ” ผมตอบรับเร็ว
“นั่นแหละ -- แต่ประเด็นคือนายมีโอกาสที่จะเติบโตมากับสิ่งที่เรียกว่าครอบครัว -- ซึ่งมันไม่ใช่สิ่งที่ทุกคนจะมีได้ และมันคือสถาบันที่แข็งแรงที่สุด ยิ่งกว่าโล่กันกระสุนไหนๆ”
แม้แต่ฟิชเชอร์ดูนิ่งไปกับคำพูดของเจค
“และทั้งนายทั้งลูซี่ ไม่มีใครหันหลังให้กับเด็กที่กำลังจะเกิดมา ตอนนี้นายมีโอกาสที่จะสร้างครอบครัวของตัวเองแล้ว อย่าทำให้มันกลายเป็นเรื่องผิดพลาด และโดดเดี่ยว แบบที่ฉันกับฟิชเชอร์เจอมา”
“นายหมายความว่าอะไร” ผมถาม
“มีตั๋วสองใบอยู่ในกระเป๋านาย” เจคว่า “ใช้มันกับลูซี่ให้คุ้มค่าล่ะ”
“ไม่เอานะ!” ผมร้อง “ฉันทิ้งพวกนายไปไม่ได้หรอก! จะบ้าเรอะ!”
ฟิชเชอร์ตบหน้าผมดังป้าป แต่คราวนี้เป็นเชิงหยอกล้อมากกว่าจะทำโทษ
“เจคพูดถูก ใช้ตั๋วนั่นไปกับผู้หญิงของนาย เผื่อว่าคนที่ฉันตกลงด้วยบนเรือนั่นคิดตุกติก นายค่อยใช้ตั๋วสองใบนี้แก้สถานการณ์ไปก่อน” ฟิชเชอร์บอก “ฉันในตอนนี้ หนีไปได้ไม่ไกลหรอก แต่อย่าห่วงเลย ฉันจะหาทางตามพวกนายไปเอง -- นี่ฉันคือใคร ฟิชเชอร์จอมวางแผนนะ -- ฉันหาทางไปจนได้ล่ะน่า”
“แล้วนายก็วางแผนได้แย่และอ่อนหัดที่สุดที่เคยมีมาในประวัติโจรปล้นเลย”
ฟิชเชอร์หัวเราะกับคำเสียดสีของผม แล้วผมกับเจคก็หัวเราะตามเขา
เสียงรถตำรวจเข้ามาใกล้ แต่ฟังดูจำนวนลดลงไป -- ชัดเจนว่าใครบางคนได้ติดกับดักฟิชเชอร์ไปแล้ว
“ฉันจะอยู่กับฟิชเชอร์เอง” เจคบอก “เราหาทางไปกันเองได้นี่ จริงไหม”
ฟิชเชอร์ทำท่าจะขัดในตอนแรก แต่สุดท้ายก็ยักไหล่ให้กับเจค ท่าทีดูสบายอารมณ์ผิดสถานการณ์
“ซันนี่” เสียงของลูซี่ดังขึ้นมาจากทางด้านหลัง ผมหันไปมองเธอ สีหน้าดูซีดเผือด เมื่อจ้องมองบาดแผลของฟิชเชอร์ และคราบเลือดบนพื้น
“ที่รัก” ผมบอกเธอ “ได้เวลาไปกันแล้วล่ะ”
เสียงปรบมือดังแทรกขึ้นมาท่ามกลางความเงียบ
และมันก็มาจากยายซาร่า จอมเพี้ยนแห่งร้านขนมหวาน --
ชัดเจนว่าเธอจะไม่ยอมตายจากพิษกระสุนนั่นง่ายๆ -- สภาพเธอดูแย่กว่าฟิชเชอร์ มีเลือดไหลออกมาจากมุมปาก และกลางอก แต่สีหน้ายังคงดูเย่อหยิ่งและเพี้ยนเหมือนเดิม
“จบอย่างมีความสุข หนีตามกัน หยั่งกะเพลงวิทยุแน่ะ” เธอพูดเสียงยินดีเกินจริง มีเสียงโดฟดังมาจากด้านหลังว่า เห็นไหม ฉันบอกแล้ว “แล้วยังไงล่ะ หนีไปขึ้นเรือสำราญเรอะ -- ตลกสิ้นดี -- ฉันจะคอยดูพวกเธอตอนถูกจับโยนเข้าซังเตตลอดชีวิต”
ผมจับมือลูซี่แน่น จ้องมองเธอ และพยักหน้าให้ “เราจะทำสำเร็จ ลูซี่”
เธอพยักหน้าตอบผมอย่างไว้วางใจ
เสียงตำรวจร้องบอกมาจากนอกร้านให้ใครสักคนมอบตัว
“แล้วไว้เจอกัน” ผมบอกฟิชเชอร์กับเจค
พวกเขาชูนิ้วให้ผม เป็นเชิงบอกลา -- มีฟิชเชอร์ส่งสัญญาณเพิ่มเติมว่าให้ออกไปทางห้องใต้ดิน ที่เขาเคยอธิบายเอาไว้ว่ามีทางเชื่อมออกไปยังท่อระบายน้ำข้างนอก
แล้วจู่ๆทั้งร้านก็ต้องนิ่งสนิท เพราะเสียงที่ตำรวจตะโกนบอกนั้น ไม่ได้เรียกตัวพวกเรา
“ออกมามอบตัวเดี๋ยวนี้ ซาร่า ลอดจ์!” ตำรวจประกาศผ่านมาจากหน้าร้าน “ไม่อย่างนั้นเราจะเข้าทำการจับกุมคุณเดี๋ยวนี้”
-- แต่เป็นซาร่า
แล้วทุกคนก็งงเป็นไก่ตาแตก จ้องมาทางฟิชเชอร์ เจค กับผม เป็นทางเดียวกัน
“ไม่ใช่พวกนายเรอะ” พวกเขาว่า
แต่ดูเหมือนในร้านจะมีแค่ฟิชเชอร์ที่ไม่สับสนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น เขาเหลือบมองซาร่าที่กำลังถอนหายใจอย่างหนักหน่วง
“ไม่ใช่แค่ฉันก็แล้วกัน ที่สุดท้ายต้องถูกจับ” ซาร่ากัดฟันตอบ ดูเหมือนแมวอารมณ์เสียที่ถูกดึงหาง “พวกนายไม่รอดไปง่ายๆหรอก”
“ทำไมพวกเขามาตามจับเธอ” เจคขมวดคิ้ว
ฟิชเชอร์ชี้นิ้วไปทางเมนูเครื่องดื่ม “จำโกโก้ที่พวกนายดื่มกันไปได้ไหม” เขาว่า “คิดว่ารสชาติคุ้นๆเหมือนอะไรไหม”
ผมนึกถึงรสสัมผัสของโกโก้วิปครีม ความหอมของมัน และรสชาติที่อร่อยชวนติดใจให้ดื่มซ้ำๆ --
-- มันเหมือน --
“กัญชา”
คำพูดที่ผมโพล่งออกมาทำให้ทั้งร้านร้องอุทานออกมาตามๆกัน เหมือนกำลังฟังเรื่องประจานอันน่าอับอายสุดจะทน
“ฉันไม่ได้ภูมิใจนักหรอก” ซาร่าว่า พร้อมกับจุดบุหรี่สูบ พ่นควันออกมายาวๆ สภาพดูปลงกับสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่สะดุ้งสะเทือนกับเสียงโห่ร้อง “ไม่อย่างนั้นจะให้ลูกค้ากลับมาซื้อบ่อยๆได้ยังไง ฉันจะขายเครื่องดื่มกับขนมออกไปเยอะๆได้ยังไง ถ้าไม่ใช้วิธีนี้ ในเมื่อพวกเธอเกือบทุกคนซื้อแค่คนละอย่างสองอย่าง แต่กลับนั่งแช่ในร้านข้ามวันข้ามคืน”
เสียงด่าทอดังกระฮึ่มรอบร้านทันที -- แต่อย่างที่บอก ซาร่าปลงกับมันแล้ว
ความอัปยศของซาร่า ทำให้ทั้งผมกับเจคหันไปมองถุงใส่เงินในมือของฟิชเชอร์อัตโนมัติ -- ถ้ายายนี่กำลังล้มละลาย แล้วในถุงเงินนั่น -- --
ฟิชเชอร์เทกองเศษเหรียญและธนบัตรจำนวนเล็กน้อยออกมาจากถุงใส่เงิน สีหน้าดูนิ่งสนิท เหมือนคนหมดคำพูด ในขณะที่ซาร่ามีแต่คำว่า “เจ้าพวกโง่” ส่งมาให้พวกเราอย่างชัดเจน
และนั่นอธิบายได้ทุกอย่าง ว่าทำไมฟิชเชอร์ถึงยกนิ้วโป้งมาให้เรา ในนาทีที่เขาเห็นเงินในเครื่องคิดเงินตอนแรก ถ้าผมเป็นฟิชเชอร์ ผมก็คงไม่สั่งให้เพื่อนในขบวนหยุดแผนการดังเอี้ยด แล้วล่าถอยไปง่ายๆเหมือนเต่าหดเข้ากระดอง ในเมื่อเราเปิดโรงซะยิ่งใหญ่อลังการเหมือนฝูงนกพิราบแตกกระเจิงไปซะขนาดนั้น และตอนนี้มันทำให้เรายอมรับความเป็นจริงว่าเรามันบ้าที่มาปล้นร้านขนมหวานที่กำลังจะล้มละลาย ร้านที่มีแค่หญิงเพี้ยน เศษเงิน กับขนมเค้ก
“เธอไปรับกัญชามาจากใคร” เจคถาม
“ไม่!” ฟิชเชอร์ขัด “อย่าเอ่ยชื่อเขา”
เป็นที่รู้กันว่ารายใหญ่จากเขตหลังเมือง เป็นชื่อต้องห้าม
“นายรู้ว่าที่นั่นใครใหญ่” ซาร่าพ่นควันสีเทาออกมา มือควานหาบางสิ่งในกระเป๋าอีกครั้ง ปล่อยให้เสียงขู่ของตำรวจดังต่อไป “แต่ที่นี่ -- ในร้านนี้ -- ฉันใหญ่ที่สุด จะติดซังเต หรือจะตาย ฉันเป็นคนเลือกเอง” พูดจบก็ใส่แว่นทรงพิลึก เหมือนแว่นประดาน้ำเข้ากับหน้าตัวเอง
แล้วเธอก็ทำเรื่องบ้าบิ่นที่สุดออกไป
กระเป๋าที่เราคิดว่ามีแต่ขวดเหล้าของเธอนั้น กลับมีอย่างอื่นอยู่ในนั้นด้วย --
มันคือระเบิดขนาดเล็ก
เล็ก -- แต่มากพอที่จะทำลายบริเวณนี้ให้เสียหายได้ ไม่ต้องบอกเลย
ยายนี่มีระเบิดพลีชีพ!
ฟิชเชอร์มองระเบิดในมือเธอ ก่อนจะมองสีหน้าของเธอ แล้วหันมามองพวกเรา มองทั้งผม เจค กับลูซี่
สีหน้าของฟิชเชอร์ในตอนนั้น ยากที่จะลืมได้ มันเป็นสีหน้าของคนตกใจสุดขีด
“หลบ!!!” เขาร้องบอก ขณะที่ซาร่าพุ่งทะยานออกไปนอกร้าน แล้วเขวี้ยงระเบิดนั่นออกไป
ทั้งผมและเจคตอบรับคำสั่งฟิชเชอร์อย่างว่องไว สัญชาตญาณเอาตัวรอด ทำให้เราช่วยกันดึงโต๊ะกาแฟที่อยู่ข้างตัวมาบังเป็นโล่ระหว่างเรากับประตูร้าน
บรึ้ม!
แรงปะทะกระแทกเข้ามาในร้าน ตามมาด้วยเสียงโวยวายของตำรวจ และเสียงหวีดร้องของผู้คนในร้าน ผมคาดว่าจะเห็นเศษกระจกและคราบเลือดลอยกระจายในอากาศ -- แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น
เพราะระเบิดของยายซาร่า ไม่ใช่ระเบิดพลีชีพ
แต่เป็นระเบิดพริกไทย!
เสียงไอค่อกแค่กดังสนั่น ตามมาด้วยเสียงโอดครวญทรมาน เพราะแสบเบ้าตากับโพรงจมูกสุดจะบรรยาย
แล้วเสียงหัวเราะของยายซาร่าก็ดังขึ้นท่ามกลางกลุ่มควันสีเทา
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in