10
มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าคุณคงเข้าใจผมแล้วว่าทำไมผมถึงบอกว่านี่เป็นเรื่องบ้าบอที่เละเทะเหมือนกองมะเขือเทศสับ
พนันได้ว่าคุณไม่เคยต้องรับมือกับความกดดันมากนัก -- อย่างน้อยก็อาจจะสักเรื่องสองเรื่อง เช่นถูกพ่อบ่นเรื่องตกงาน แม่บ่นเรื่องไม่ตัดหญ้า และหวานใจบ่นเรื่องไม่มีอนาคต -- ซึ่งอย่างน้อยสองสามเรื่องนี้มันก็เป็นเรื่องกดดันสำหรับผมน่ะนะ -- แต่ไม่ใช่การรับมือกับหญิงบ้าที่จิตแตกเพราะล้มละลายไปกับกัญชาและขนมเค้ก สภาวะกำลังจะเป็นพ่อคน รวมกลุ่มกับเพื่อนมาปล้นร้านขนมหวานที่เพิ่งจะเจ๊ง และสำลักควันพริกไทยในเวลาเดียวกัน
แต่ทั้งผม ฟิชเชอร์ เจคและลูซี่ เจอทุกอย่างที่ว่าในเวลาเดียวกัน -- ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเรารนหาที่เอง -- แต่มันก็เยอะเกินไปหน่อย ถ้าคุณจะถามผมน่ะนะ
เหตุการณ์ที่ร้านขนมหวานของคุณซาร่าวันนั้น ทำให้เป็นที่พูดถึงกันไปทั่วเมือง ไม่ว่าจะเป็นในเมือง หรือเขตหลังเมืองก็ตาม
ในครั้งแรกคุณอาจจะนึกว่าเป็นเรื่องตลกล้อเล่น ที่เรื่องมันเริ่มต้นมาจากการที่เราคิดเอาเงินคืนจากความไม่ยุติธรรมในระบบภาษีของเมือง -- แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินมาถึงการเข้าปล้นร้านขนมหวานของคุณซาร่า การแย่งตัวลูซี่ และการมาถึงของซาร่าผู้จิตแตก ทุกอย่างก็ดูจริงเกินกว่าจะเป็นเรื่องโกหก -- ผมหมายความว่าใครจะไปคิดเรื่องโกหกแบบนี้ได้ล่ะ จริงไหม
คุณเคยเห็นใครใส่สูทไปปล้นร้านขนมหวานหรือเปล่า
คุณเคยเห็นใครเอาระเบิดพริกไทยมาใช้ในการหลบหนีตำรวจไหม
-- อาจจะไม่
แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว
และเพราะเหตุนั้น คุณซาร่าจึงถูกจับขึ้นศาล และดำเนินคดีด้วยข้อหามีกัญชาไว้ในครอบครองจำนวนมาก -- มากในที่นี่ ผมหมายความว่ามากจริงๆ คุณไม่มีทางนึกภาพออกแน่ว่าเธอใช้มันไปทำอะไรบ้าง นอกจากการทำขนมและเครื่องดื่ม
และสิ่งหนึ่งที่เราไม่รู้ -- แม้กระทั่งฟิชเชอร์ก็ยังไม่รู้ -- ก็คือหลังจากที่หล่อนเมาหัวราน้ำติดต่อกันมาหลายคืน หล่อนก็ได้คิดแผนการสุดอัศจรรย์ขึ้นมาในหัว และลงมือดำเนินการตามแผนที่ว่าก่อนที่จะกลับมาถึงร้านตัวเอง และแผนนั่นก็คือ --
ใช่ -- ลงท้ายแล้วนั้น กลายเป็นว่ายายซาร่าเองก็เป็นโจรมือสมัครเล่นเหมือนกับพวกเรา จะต่างกันก็เพียงกึ๋นหล่อนแรงกล้ากว่าพวกเรามากนัก เพราะหล่อนไม่ได้เข้าไปปล้นร้านขนมหวานที่ไหน แต่หล่อนเจาะจงเอาเป็นเพชรสีแดงน้ำงามในตู้นิรภัยของร้านเพชรเลยทีเดียว! -- ซึ่งผมยอมรับว่ามันน่าหมั่นไส้ไม่น้อย หลังจากที่เธอวางท่าสั่งสอนเราเรื่องการสร้างตัวจากหยาดเหงื่อของตัวเอง การสู้ชีวิต และความอดทนอภิมหาศาล แต่ลงท้ายแล้ว เธอกลับไปปล้นชาวบ้านเหมือนเราไม่มีผิดเพี้ยน
แต่ในขณะที่ผมนึกหมั่นไส้เธออย่างสุดจะทนนั้น ผมก็สัมผัสได้ว่าภายในใจของฟิชเชอร์กำลังคลั่งเหมือนพายุในมหาสมุทร จนทำให้คิ้วเขากระตุกติดๆกันเกือบสิบครั้งต่อชั่วโมง เพราะเขาต้องยอมรับความจริงที่ว่าสุดท้ายแล้วมันก็มีเรื่องที่หลุดรอดสายตาเขาไป(จนได้) ดูเหมือนว่าการปล้นร้านเพชรของซาร่ากับการปล้นร้านขนมหวานของพวกเราจะเกิดขึ้นพร้อมกัน จนทำให้ฟิชเชอร์พลาดเรื่องนี้ไป และมันกลายเป็นบทเรียนอันเจ็บแสบสำหรับเขาไปแล้ว (ซึ่งภายหลังจากนั้น ฟิชเชอร์พยายามอย่างหนักที่จะรู้ว่าซาร่าปล้นเอาเพชรมาได้อย่างไร แต่ก็ไม่สำเร็จ เพราะไม่มีโอกาสเผชิญหน้ากับซาร่าอีกเลย)
เอาเป็นว่าวีรกรรมของเจ้าหล่อน ทำให้ตำรวจต้องยกขโยงกันมาตามจับเธอ -- สุดท้ายแล้ว ซาร่าโดนข้อหาเพิ่มอีกสองสามข้อหา ซึ่งผมก็ไม่ค่อยจะเข้าใจภาษากฎหมายเท่าไหร่ -- แต่เอาเป็นว่าเธอโดนจับเข้าคุก
ลูซี่ได้รับการปล่อยตัว และปฏิเสธว่าไม่ได้ถูกพวกผมที่เป็นโจรปล้นร้านทำร้ายแต่อย่างใด เธอเป็นอิสรชน ที่กำลังตั้งท้องลูกน้อยของเราเช่นเดิม -- ซึ่งต้องขอบคุณฟิชเชอร์ที่มีความสามารถมากพอที่จะแบล็คเมล์ปิดปากคนในร้านได้อย่างไม่น่าเชื่อ จึงทำให้ลูซี่พ้นข้อหาจากการถือปืนขู่คนในร้านได้
“ฉันมีข้อมูลของพวกนายทุกคน” เขาขู่สั้นๆ -- ซึ่งทุกคนรู้ว่าเขามีจริงๆ ไม่ว่าจะเรื่องผู้ชายที่มีบ้านเล็กบ้านน้อย การลอบซื้อขายยาผ่านเขตหลังเมือง หรือการขโมยเล็กๆน้อยๆต่างๆ -- ฟิชเชอร์รู้หมด และทั้งหมดที่เขาทำคือพูดคำสั้นๆอย่างชื่อผู้หญิง ชื่อสินค้า ชื่อพ่อค้าคนกลาง แต่มันก็มากพอที่จะทำให้ทุกคนปิดปากเงียบสนิท
ส่วนพวกผมน่ะหรือ --
“ฉันผิดหวังในตัวแกจริงๆ” พ่อพูดเสียงเบา ดวงตาหรี่มองผมอย่างเจ็บปวด
“ผมขอโทษครับพ่อ”
“แกทำให้แม่เสียใจมาก ซันนี่”
“ผมขอโทษครับ”
“และแกก็ทำให้ฉันหัวใจสลาย”
“ผมขอโทษครับ”
“แกเพิ่งทำวันเกิดครบรอบยี่สิบห้าปีพังพินาศไปด้วยน้ำมือของตัวเอง”
“ผมขอโทษครับ”
พ่อถอนหายใจ สีหน้าไม่ได้ดูโกรธเคืองมากนัก แต่ดูเจ็บปวดขณะที่ยืนมองผมอยู่หลังกรงขังเล็กๆ
“ที่ผ่านมาฉันกดดันแกมากไปใช่ไหม” พ่อถามตรงๆ
ผมส่ายหน้า “นี่เป็นเรื่องผิดพลาดที่ผมทำเองครับ ไม่เกี่ยวกับพ่อหรือแม่”
พ่อยังคงทุกข์ใจ “โชคยังดี ที่พวกแกไม่ได้ทำความผิดรุนแรงไปกว่านี้ จนถึงขั้นประหาร”
“ผมขอโทษครับ” เสียงเบาๆดังมาจากฟิชเชอร์และเจคที่อยู่ห้องข้างๆ
พ่อนิ่งไปนาน ก่อนจะเงยหน้าสบตามองผม “อย่าห่วงไป ฉันกับแม่แกจะดูแลลูซี่เอง” พ่อบอก “ดีเหมือนกัน ฉันกับแม่แกจะได้ไม่เหงาเวลาคิดถึงแก”
ผมพยักหน้า รู้สึกผิดและเจ็บปวด
ดวงตาของพ่อเหลือบมองห้องขังข้างๆผม ก่อนจะพยักหน้า
“ก็คงต้องเป็นไปแบบนี้ล่ะนะ ถ้าไม่อยากจมอยู่ที่นี่” พ่อบอกอย่างมีความนัย “แล้วไว้เจอกัน”
แล้วหลังจากนั้น เราทั้งสามคนก็ถูกย้ายมาจำคุกที่อาคารใหม่ ที่แข็งแรง และคุมเข้มขึ้นกว่าเดิมสองเท่า ซึ่งตอนนั้นผมไม่รู้ว่าผมจะไม่ได้เห็นหน้าพ่อกับแม่ และลูซี่อีกนาน -- นานมาก -- นานจนน่าใจหาย
“ชีวิตมันเฮงซวย” เสียงแหบห้าวดังขึ้นภายในห้องเล็กๆห้องหนึ่ง -- เล็กมากจนผมรู้สึกเกือบไม่มีอากาศหายใจ -- แหงล่ะ ว่าห้องนี้มันมีพื้นที่ให้ผมเดิน ส่องกระจก อ่านหนังสือ และซิทอัพ -- แต่ถึงอย่างนั้นบรรยากาศรอบตัวก็พาทำให้ผมรู้สึกหลอดลมตีบตันอยู่ตลอดเวลา และผมได้สรุปกับตัวเองว่าถ้าไม่ใช่เพราะความอับทึบของอากาศที่ไม่ถ่ายเท มันก็ต้องเป็นเพราะเสียงบ่นจากห้องข้างๆ
จากห้องขังฟิชเชอร์
เจคหลับไปแล้ว
แต่ผมตื่นอยู่ -- และฟิชเชอร์ก็รู้
ในตอนแรกผมไม่อยากจะฟังเขาพล่าม แต่หลังจากที่คิดไตร่ตรองดูแล้ว ผมถึงสังเกตได้ว่าฟิชเชอร์เงียบมานานหลายวันแล้ว เงียบจนผู้คุมขังต้องแวะมาตรวจดูความเรียบร้อยว่าฟิชเชอร์หลับตายไปแล้วหรือเปล่า
แต่แล้ววันนี้เขาก็กลับพูดร่ายยาวขึ้นมา และดันทุรังที่จะให้ผมฟังอย่างเป็นจริงเป็นจัง ดังนั้นผมจึงสรุปกับตัวเองว่าผมควรฟังเขาให้ดี
“ซันนี่ มันถึงเวลาที่นายต้องฟังแผนใหม่ของฉัน” เสียงของฟิชเชอร์ดังชัดเจน ไม่มีแววล้อเล่นในน้ำเสียงนั้น
คราวนี้ผมลุกขึ้นมานั่งขัดสมาธิกับพื้น รู้สึกความเย็นยังอยู่บนแผ่นหลังตัวเอง
“เราควรปลุกเจคไหม” ผมถาม
“ฉันฟังอยู่” เสียงเจคตอบกลับมาจากห้องขังข้างๆห้องฟิชเชอร์ ฟังดูเหมือนเขาเพิ่งตื่นจริงๆ
เสียงถูมือดังมาจากห้องขังของฟิชเชอร์ ผมนึกภาพออกได้ชัดเจนว่าเขากำลังนั่งขัดสมาธิ และถูมือไปมาอยู่ใต้คางอย่างที่จะชอบทำในเวลาที่พร้อมร่ายแผนการ
และแผนนั่นทำให้ภาพของพ่อกับแม่ และลูซี่ปรากฏขึ้นมาในใจผมทันที
ลูซี่ที่กำลังอุ้มท้องลูกของเรา กำลังยื่นมือมาให้ผม -- พร้อมกับพายถั่วของแม่ผม
“แผนใหม่ของเรา” ฟิชเชอร์กระซิบ “เราจะแหกคุกกัน”
และนั่นคือปฐมบทใหม่ของกองซากมะเขือเทศ คราวนี้ใหญ่โตมโหฬารยิ่งกว่าที่ร้านขนมหวานของยายซาร่าหลายเท่า ซึ่งแหงล่ะ ว่าตอนนั้นทั้งฟิชเชอร์ เจค และผม ต่างก็ไม่รับรู้ถึงความเละเทะเป็นมะเขือเทศสับนั่น
เละแค่ไหนน่ะหรือ ...
บรึ้ม!!
ผมจำได้ดีว่าตอนนั้นเสียงระเบิดของฟิชเชอร์ดังลั่นเหมือนเสียงฟ้าถล่ม มันรุนแรงและทรงพลังกว่าครั้งสุดท้ายที่ผมกับเจคเห็นมากนัก และกองเศษอิฐเศษปูนก็พุ่งกระจายไปทั่ว มีเสียงร้องโหยหวน เสียงรครางเจ็บปวด และเสียงสบถอันดังลั่น
แต่นั่นมันเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่ไม่ใช่เรื่องนี้ -- ไม่ใช่เรื่องที่คุณกำลังอ่านอยู่
เพราะฉะนั้น ผมขอจบลงเพียงเท่านี้ และขอตัวไปฟังแผนของฟิชเชอร์ก่อน -- อย่างที่ผมบอก มันใหญ่โตกว่าเดิม และใช้เวลานานกว่าเดิม แต่สุดท้ายแล้วผมจะต้องออกมาเจอทุกคนให้ได้
แล้วไว้เจอกันจนกว่าจะถึงตอนนั้น,
ซันนี่
ขอบคุณที่แต่งเรื่องราวสนุก ๆ ให้ได้อ่านกัน เป็นกำลังใจให้ค่ะ หวังว่าจะได้อ่านนิยายสนุก ๆ แบบนี้อีกในอนาคตนะคะ <3
จะพยายามพัฒนาฝีมือต่อไปค้า <3 :)
สนุกมาก!!
ชอบวิธีการเล่าเรื่องแบบนี้มากเลย อ่านแล้ววางไม่ลง รอติดตามตอนต่อไปครับ
จะพยายามพัฒนาฝีมือ แต่งต่อไปค่ะ :)