7
เมื่อตอนเด็กๆ -- ผมหมายถึงตอนที่ผมอายุประมาณห้าขวบหกขวบน่ะนะ -- ผมเคยนั่งมองหน้าผู้ใหญ่สองคน หญิงหนึ่ง ชายหนึ่ง พร้อมกับตั้งคำถามกับตัวเองว่า ‘นี่ใช่พ่อแม่ของเราจริงๆหรือ’
ผมไม่รู้ว่าเคยมีใครตั้งคำถามแบบนี้เหมือนผมไหม แต่ผมคิดสงสัยจริงจังในตอนนั้น เหมือนกับตอนที่คิดสงสัยว่าฟ้าแลบต่างกับฟ้าผ่าอย่างไร
ภาพของซุปถั่วผสมข้าวโอ็ตเละๆ เย็นชืด และจืดสนิท ลอยเข้ามาในในความทรงจำ ผมตักมันขึ้นมา หยุดค้างกลางอากาศ ก่อนจะจ้องมองแม่ที่กำลังเติมเกลือลงในชามซุปตัวเอง หน้าของแม่ดูเหมือนจะเหนื่อยตลอดเวลา มีอะไรอยู่ในใจตลอดเวลา และถ้าไม่ระวังตัวให้ดี แม่ก็อาจจะเสียงดังใส่ผมได้เกือบตลอดเวลา
‘ทำไมไม่ทำอย่างนู้น ทำไมไม่ทำอย่างนี้ ทำไมไม่ทำอย่างนั้น’ หรือ ‘เข้าใจที่แม่พูดไหม’ ‘ทำไมไม่รับปากแม่’ ‘เงียบแบบนี้คือดื้อ ไม่ทำตามที่แม่พูดใช่ไหม’ แต่ถ้าผมรับปากเข้าล่ะก็ คำพูดแม่จะกลายเป็น ‘ทำไมรับปากแล้วไม่ทำตามสัญญา’ ‘ผู้ชายที่ไม่รักษาสัญญา ย่อมไม่ใช่ลูกผู้ชาย’ ซึ่งนั่นไม่ยุติธรรมเลย หากคุณจะถามผมล่ะก็ -- ถ้าผมไม่พร้อมรับปาก จะมาบังคับให้ผมรับปากได้ยังไงกัน
แต่นั่นไม่เท่ากับการที่พ่อขมวดคิ้ว
เฮ้อ -- พ่อน่ะเหรอ...
ตอนนั้นผมมองพ่อที่กำลังเคี้ยวถั่วกับข้าวโอ๊ต พ่อเป็นผู้ชายที่ขมวดคิ้วตลอดเวลา เหมือนเครียดอยู่ในใจตลอดเวลา และอารมณ์เสียได้ตลอดเวลา โดยเฉพาะถ้าเรื่องที่พ่อได้ยินเป็นเรื่องเกี่ยวกับการใช้เงิน ที่นอกเหนือไปจากค่าใช้จ่ายจำเป็นในบ้าน อย่างค่าเช่าบ้าน ค่าน้ำ ค่าไฟแล้วนั้น จะถือเป็นค่าใช้จ่ายที่ไม่สมควรทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า รองเท้า ขนม นม หรือของเล่น
ครั้งหนึ่งบ้านเกือบระเบิดขึ้นมา เพราะผมซื้อตังเมมาเคี้ยวเล่น
“ฉันบอกแกแล้วใช่ไหม ว่าอย่าซื้อขนมมากินเล่น!”
และครั้งหนึ่งบ้านก็เกือบเป็นไฟขึ้นมา เพราะผมซื้อนมจากร้านสะดวกซื้อมาดื่ม
“นมในบ้านยังมีเหลืออยู่ แกจะไปซื้อมากินซ้ำซ้อนทำไม เปลือง!”
ซึ่งมันไม่เหมือนกันนะ กินนมในตอนที่อยากกินในเวลาเดินเล่น กับกินนมเพราะจำเป็นต้องกินเวลาอยู่ในบ้าน -- ถ้าคุณจะถามผมน่ะนะ
ดูเหมือนผมจะโตมาท่ามกลางปัญหาจุกจิกเล็กๆน้อยๆ -- มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่ แต่เป็นปัญหาเล็กๆน่ารำคาญ เหมือนกับชีวิตถูกบังคับแม้กระทั่งเรื่องเล็กๆน้อยๆ ต่างกับเจคและฟิชเชอร์ที่อิสระจนน่าเหลือเชื่อ ระหว่างที่พวกเขาพากันไปสร้างระเบิด ผมกลับหางานทำเล็กๆน้อยๆจนน่องแทบปูด ไม่ได้ทำอะไรตื่นเต้นมากไปกว่าตะเกียกตะกายหาเศษเหรียญมาใช้
“อะไรทำให้พวกนายมาเป็นเพื่อนกับฉันน่ะ” ผมเคยเอ่ยปากถามในตอนเด็ก
“เพราะนายตลก และซื่อบื้อไงล่ะ” ฟิชเชอร์กับเจคขำกันยกใหญ่
แต่เมื่อผมโตขึ้น ผมก็เข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าปัญหาหลักนั้นไม่ใช่อารมณ์ของพ่อกับแม่ที่ทำให้บรรยากาศอึดอึดและน่าเบื่อตลอดเวลา แต่ปัญหามันคือเงิน และสิ่งที่ทำให้พ่อกับแม่ผมกลายเป็นมนุษย์อารมณ์เสียตลอดเวลา ก็คือเงินไม่พอ ซึ่งอันที่จริงแล้ว มันไม่ใช่ความผิดของพ่อกับแม่เลย แต่มันเป็นความผิดของผมที่เกิดมาต่างหาก
ถ้าพ่อกับแม่ไม่มีผม ผมเชื่อว่าพวกท่านคงทำอะไรสนุกๆได้มากกว่าการคิดสูตรระเบิดฟิชเชอร์ หรือเปลี่ยนคู่ควงไม่ซ้ำหน้าด้วยซ้ำ ใครจะรู้ -- ผมหมายความว่าพวกท่านอาจจะล่องเรือไปหาเกาะส่วนตัวด้วยกัน เหมือนตำนานแม่เจคกับชาวประมงอันฉาวโฉ่ก็ได้ -- อะไรก็เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีผมเป็นภาระแบบทุกวันนี้
และนั่นเป็นครั้งแรก ที่ทำให้ผมตระหนักได้ว่า การเป็นพ่อคนแม่คนนั้น มันยิ่งใหญ่กว่าอารมณ์ฉุนเฉียว หรือคำด่าทออันหนวกหู -- มันเป็นสิ่งที่ต้องเสียสละเกือบทั้งชีวิตของตัวเองให้คนอื่น -- ให้คนที่เป็นลูก -- ให้ผมคนนี้
ซึ่งมันยากเกินกว่าที่ผมจะเข้าใจได้ถ่องแท้ จนกว่าผมจะได้สัมผัสมันจริงๆ
แต่ผมไม่คิดว่าผมจะได้สัมผัสมันเอาตอนที่กำลังปล้นร้านขนมหวานของคุณซาร่า
ผมจ้องมองลูซี่ ก่อนจะมองหน้าท้องของเธอที่อยู่ภายใต้ชุดกระโปรงฟูฟ่อง -- นี่อาจจะเป็นสาเหตุที่ทำไมระยะหลังก่อนเธอทิ้งผม เธอแต่งแต่ชุดตัวใหญ่ๆ ชายยาวคลุมสะโพก หรือไม่ก็เดรสที่มีระบายฟูเล็กน้อย --
“คุณไม่ได้ใส่กางเกงยีนส์เลย” นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมพูดออกมา ก่อนจะรู้ตัวว่ากำลังยิ้มอยู่
“ฉันไม่ได้ใส่กางเกงยีนส์เลยค่ะ” ลูซี่ตอบเบาๆ ยิ้มขึ้นมาบ้าง หลังจากเห็นสีหน้าของผม
“กี่เดือนแล้ว”
“ประมาณสามเดือนค่ะ”
ผมกำลังจะหัวเราะอยู่แล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะเสียงของโดฟกับอิ๊กกี้ และเสียงโห่ของกลุ่มนักกีฬาไฮสคูลแทรกขึ้นมา
“สามเดือนเหรอ!” อิ๊กกี้ร้องขึ้นมาพร้อมๆกับโดฟ สีหน้าเหมือนถูกใครสาดน้ำแข็งใส่
“เธอสวมเขานาย อิ๊กกี้” บรรดานักกีฬาพากันร้องบอก หัวเราะกับหายนะของเพื่อนอย่างไม่พยายามบิดบัง ทุกร่างหัวเราะร่าขณะที่นอนราบอยู่กับพื้น
“หุบปาก!” เจคหันไปแหว แต่ความขำขันทำให้ไม่มีใครสนใจเสียงขู่ของเจค
“เธอตั้งใจจับอิ๊กกี้ เพราะต้องการให้เขาเลี้ยงลูกในท้องของเธอเนียะนะ” โดฟยังโวยต่อไปด้วยน้ำเสียงเหลือเชื่อ พยายามไม่เสียสมาธิไปกับเสียงหัวเราะ
อิ๊กกี้ส่ายหน้าไปมา พึมพัมว่า “พอกันที” และ “ฉันไม่รู้อะไรแล้ว”
“คุณจะไม่รู้ได้ยังไง อิ๊กกี้ นี่มันเรื่องของคุณเลยนะ! เขาถูกสวมอยู่บนหัวแดงๆของคุณ! คุณต้องพูดอะไรบ้างสิ!”
“ฉันไม่อยากเป็นพ่อคนในตอนนี้ หรือในเร็วๆนี้แน่ หากเธอต้องการให้ฉันพูดอะไรชัดเจนน่ะนะ!!!” อิ๊กกี้โวยทับเสียงโดฟ
“ฉันขอโทษทุกคนจริงๆ” ลูซี่พูด น้ำตาคลอเบ้า “แต่ฉันคิดอะไรไม่ออกแล้วจริงๆ”
“ทำไมคุณไม่บอกผม” ผมถามลูซี่ ก้าวเข้าไปใกล้เธอมากขึ้น
“คุณไม่พร้อมจะเป็นพ่อคน ซันนี่ -- คุณเป็นคนดี อ่อนโยน และน่ารักมาก คุณเป็นพ่อที่ดีได้ นั่นไม่ต้องสงสัยเลย -- เพียงแต่….แต่มันยังไม่ใช่ตอนนี้ -- ตอนนี้คุณยังรับมือกับเรื่องแบบนี้ไม่ไหว คุณต้องจัดการปัญหาชีวิตของคุณ และฉันก็ต้องจัดการปัญหาชีวิตของฉัน แต่ในเมื่อเรามีลูกขึ้นมา ฉันก็ต้องรับมือให้ดีที่สุด”
“โดยการมาจับลูกคนรวยนี่นะ” โดฟแขวะ
ลูซี่หันไปเผชิญหน้ากับโดฟ ที่นอนราบอยู่บนพื้นไม่ไกลออกไป “ใช่ นั่นละ คือสิ่งที่ฉันคิด” เธอตอบอย่างขมขื่น “มันบ้า ฉันรู้ดี ฉันไม่ภูมิใจนักหรอก แต่สิ่งที่ฉันคิดและสัญญากับตัวเองในวันแรกที่รู้ว่ากำลังมีลูก ก็คือลูกฉันต้องไม่ตายคาเตียงโรงพยาบาลที่กำลังจะเจ๊ง ไม่ตายตอนเป็นทารก เพราะคนเป็นแม่ไม่มีเงินซื้อนมหรือจ่ายค่าแก๊ซทำความร้อนในฤดูหนาว และต้องไม่ตายทั้งเป็นตอนเติบโตขึ้นมา เพราะอยู่กับขี้ยาตามตรอกซอยมากกว่าอยู่กับแม่ และท่องสูตรคูณไม่เป็นเพราะคนเป็นแม่ไม่มีปัญญาจ่ายค่าเทอมส่งเข้าเรียนในโรงเรียนดีๆ ฉันอยากให้ลูกของฉันมีอนาคต มีชีวิตที่ดีกว่าฉัน ดีกว่าแม่ของฉัน ดีกว่าคนเขตหลังเมือง! -- มันไม่ใช่วิธีที่น่าภูมิใจ แต่มันเป็นวิธีที่ทำให้ลูกฉันมีชีวิตใหม่ได้ มากกว่าวิธีที่มียายเคยเป็นสาวเสิร์ฟ มีแม่เป็นสาวเสิร์ฟ และมีครอบครัวมาจากเขตหลังเมือง ที่ทำงานจนสันหลังขาด แล้วก็ยังไม่พอค่าเช่าห้องหรือค่านมลูก!”
ลูซี่ดูดุร้ายขึ้นมาทันทีที่ตอบโต้โดฟ ดวงตาสีเขียวมีประกายเจิดจ้า และน้ำเสียงดุดันขึ้นมาจนน่ากลัว
“เชิญเธอตัดสินฉันได้ตามที่เธอจะสามารถคิดจินตนาการหาคำด่าได้ โดฟ แต่เชื่อเถอะ เธอไม่รู้หรอกว่าการโตขึ้นมาในเขตหลังเมืองนั้น มันทรมานแค่ไหน และฉันทนรับคำตัดสินโง่ๆจากคนอื่นได้ มากกว่าการทนดูลูกตัวเองโตมาแล้วถูกเรียกว่าเป็นเศษสังคมอีกคนหนึ่ง”
คำพูดอันเผ็ดร้อนนั้นทำให้ทั้งร้านเงียบไปชั่วขณะ ไม่มีเสียงคนขยับตัว หรือตอบโต้อะไร แม้แต่ฟิชเชอร์กับเจคเองก็ยังนิ่งชะงักไป จนกระทั่งเป็นอิ๊กกี้อีกนั่นแหละ ที่ทำลายความเงียบขึ้นมา
“นั่นมันไม่เกี่ยวกับผมเลย!” เขาร้อง พร้อมกับเสียงโห่จากเพื่อนๆของตัวเอง
“ลูซี่” ผมดึงเธอลุกขึ้นมา “ไปกับผมเถอะ”
“ไปไหน!” อิ๊กกี้ตะโกนถาม
“หุบปาก! ไอ้ตัวประกอบ! ไม่อย่างนั้น ฉันซัดดั้งนายซ้ำสองแน่!!!” ผมหันไปตะคอก และเจคก็รับต่อจากผมโดยการกดปากกระบอกปืนเข้าขมับพ่อยอดชายอิ๊กกี้อีกรอบ
“แต่เธอทิ้งนายนะ” โดฟพูดแทรก สีหน้าไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น “พนันได้เลยว่าเธอเริ่มนอกใจนาย ก่อนที่จะทิ้งนายไปด้วยซ้ำ และเธอควงอิ๊กกี้ของฉันทันทีที่เป็นโสด ฉันกล้าท้าเลย -- เธอทิ้งนาย เพราะต้องการสบายเท่านั้นแหละ!” จากนั้นก็มองไปที่ลูซี่อย่างดูถูก “ยายผู้หญิงหลายใจ!” -- ซึ่งอันที่จริงเธอใช้คำหยาบคายกว่านั้น
แต่ลูซี่เป็นผู้หญิงที่เจอคำรุนแรงมากกว่าคำนั้นมาหลายเท่า และตัดสินใจได้เร็ว ว่าใครที่ควรต่อปากต่อคำด้วย เธอจึงยังคงมองตอบผม ไม่สนใจคำพูดของโดฟ
“ลูซี่” ผมพูดด้วยเสียงหนักแน่น “ผมไม่สนอดีต หรืออะไรทั้งนั้น ผมสนแค่ว่าผมรักคุณ และผมอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีคุณ หนีไปกับผมเถอะ”
“ซันนี่” ลูซี่พูดเสียงสั่น “แต่ฉันจะเป็นภาระให้คุณนะ”
“ใช่!” คราวนี้พวกกลุ่มนักกีฬาไฮสคูลร้องลั่น สีหน้าเหลอหลา และดูวิตกแทนผมออกนอกหน้า “ตอนนี้อารมณ์อาจจะพาให้นายทำเท่อยู่ แต่ประเด็นคือเธอท้องลูกของนาย และพนันได้เลยว่านายไม่ตั้งใจที่จะมี! อย่าถือสานะ แต่พวกนายไม่มีปัญญาแบกรับภาระนี้ได้หรอก!”
ผมหยุดคิดกับคำพูดระคายหูนั่น -- แปลกดีที่มันหลุดออกมาจากปากนักกีฬาหน้าละอ่อน -- ผมขำกับความคิดนี้เล็กน้อย ก่อนจะตอบกับลูซี่ว่า “อะไรก็เป็นเรื่องเฮงซวยได้ ยกเว้นการที่ได้คุณมาเป็นภรรยา และอะไรก็เป็นเรื่องโชคร้ายได้ ยกเว้นการที่เราสองคนจะได้มีลูก -- อย่างน้อยแม่ก็เคยบอกผมเอาไว้อย่างนั้น”
ฟิชเชอร์ขยับตัวขู่ตะคอกผู้คนให้นอนราบไปกับพื้นอีกครั้ง เนื่องจากมีบางคนชันศอก ท้าวคางดูเราสองคนอย่างเกินหน้าเกินตา
“เรื่องสร้างครอบครัว มันก็เหมือนกับตอนที่คุณเลือกกางเกงยีนส์นั่นแหละลูซี่ ถ้าคุณเอาแต่รอให้ขาเพรียวเล็กเหมือนนางแบบในอุดมคติจินตนาการของคุณ คุณก็จะไม่มีวันได้กางเกงยีนส์มาใส่ ผมก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่ถ้าเราสองคนไม่ลองฝ่าฟันอุปสรรคไปด้วยกัน คุณก็ไม่มีวันรู้หรอก ว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหน”
“ต่อให้ฉันจะกลายเป็นยายเพิ้งอ้วนตุ๊ต๊ะอยู่บนเตียงก็ตามเหรอคะ” ลูซี่ถาม
“ต่อให้คุณจะเป็นตุ๊กตาล้มลุกอยู่บนเตียง ผมก็จะอยู่ข้างคุณ”
“ต่อให้เรื่องนี้จะทำให้คุณกลายเป็นเครื่องจักรทำงานหาเลี้ยงลูกไปตลอดชีวิตก็ตามเหรอคะ”
“คุณต้องไม่คิดอะไรซับซ้อนนะ”
ลูซี่ถลึงตาใส่ผม “ต้องคิดสิคะ!” เธอว่า “ถ้าฉันไม่อยากให้ลูกลงเอยเหมือนกับฉัน หรือแม่ฉัน ฉันจำเป็นต้องคิดให้มากๆ!”
“คิดมากกับคิดซับซ้อนมันต่างกันนะ” ผมบอกเธอ “บางอย่างมันไม่จำเป็นต้องซับซ้อนเสียหน่อย”
คราวนี้ลูซี่ดูสงบลง
“ชีวิตมันก็ต้องเป็นแบบนั้นล่ะ ลูซี่” ผมว่า ภาพของพ่อกับแม่ที่อยู่เคียงข้างผมมาตลอดปรากฏขึ้นมาในหัว “มันเป็นสิ่งที่คนเป็นพ่อกับแม่ต้องเสียสละ”
ลูซี่ร้องไห้ออกมา สีหน้าเหมือนคนเครียดจัดที่ได้รับการปลดปล่อย เธอกอดผมแนบแน่น ปากพึมพัมขอโทษผมซ้ำไปซ้ำมา “ฉันรักคุณค่ะ” เธอพูดด้วยน้ำตาอาบแก้ม
แล้วเสียงผิวปาก เสียงปรบมือเบาๆ ก็ดังมาจากรอบร้าน -- ดูเหมือนเรื่องของเราจะเป็นที่รู้จักกันไปทั้งร้านแล้ว -- ฟิชเชอร์กลอกตาไปมา ก่อนจะยักไหล่ให้ผม เป็นเชิงว่ายอมให้ผมรับเสียงปรบมือนี่ได้สักสองสามวินาที
ผมหัวเราะออกมา แล้วรู้สึกว่าโลกใบใหม่กำลังรอผมอยู่
แต่แล้วเสียงเขย่าประตูก็ดังขึ้น -- พวกเราหยุดชะงัก
บานประตูหยุดเขย่า และเสียงไขกุญแจก็ดังขึ้น ตามมาด้วยเสียงกระดิ่งที่ดังขึ้นจากประตูร้าน -- กริ๊ง -- ใครบางคนเพิ่งจะไขประตูเข้ามา
แน่นอนว่ามันทำให้ทั้งฟิชเชอร์ เจค กับผม ต่างหมุนตัวไปเผชิญหน้ากับร่างที่ก้าวเข้ามาในร้าน มือเราขยับในทันที และหันปากกระบอกปืนไปทางร่างนั้นอย่างรวดเร็ว พร้อมกับตะเบ็งเสียงขู่คำรามลั่นร้าน จนผู้คนต่างพากันกรีดร้องและคว่ำหน้าลงกับพื้นอีกครั้ง
“ยกมือขึ้นกลางอากาศ!”
“อย่าขยับ!”
“ทิ้งกระเป๋านั่นลง!”
ร่างในชุดคลุมสีน้ำเงินเข้มดูนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ก่อนจะค่อยๆถอดหมวกถักออก เผยให้เห็นเส้นผมสีดำขลับที่ทิ้งตัวลงมาจนถึงกึ่งกลางแผ่นหลัง สองมือนั้นชะงักกลางอากาศ ก่อนจะโบกนิ้วชี้ข้างหนึ่งขึ้นมาเหมือนขอเวลานอก
“สรุปฉันต้องยกมือ ห้ามขยับ หรือทิ้งกระเป๋านะ”
แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้น กวาดตามองไปทั่วร้าน มองดูทั้งฟิชเชอร์ เจค ผม กระบอกปืน รวมถึงพนักงานกับลูกค้าที่นอนราบไปกับพื้น ลูซี่ที่ผมกอดรั้งเอาไว้ อิ๊กกี้ที่ชูสองมือกลางอากาศเด่นกว่าคนอื่น และที่สำคัญ -- ถุงเงินในมือของฟิชเชอร์
เรารู้ในนาทีนั้นเองว่าเธอคือใคร
“โอ้ ตายจริง--” ซาร่าแห่งร้านขนมหวานอุทานเบาๆ ปล่อยกระเป๋าทิ้งลงพื้น ถอนหายใจอย่างหนักหน่วง สองมือเท้าสะเอว “โอ้ ตายจริง--” จากนั้นก็ขยับมือข้างหนึ่งเข้าไปในเสื้อคลุมอย่างรวดเร็ว
โดยไม่ทันตั้งตัว ร่างที่ขยับตัวช้าเหมือนหอยทากสีน้ำเงินนั่น ก็กลายเป็นลิงชิมแปนซีเล่นกลที่ว่องไวเหนือความคาดหมาย -- และสิ่งที่ออกมาจากเสื้อคลุมนั่นก็ไม่ใช่กล้วย หรือขนมเค้ก -- แต่มันเป็นสิ่งที่ทรงพลังยิ่งกว่านั้น -- หลายเท่า
มันคือปืนกระบอกใหญ่สีดำขลับแวววาว
เธอจ่อปืนกระบอกใหญ่นั่นไปทางฟิชเชอร์ ก่อนจะลั่นไกดัง ปัง!
อีกครั้งที่เสียงหวีดร้องดังลั่นร้าน เพียงแต่คราวนี้ทั้งผมและเจคต่างก็ตะลึงกับภาพที่เห็น ร่างของฟิชเชอร์เซเล็กน้อย ก่อนจะลั่นกระสุนสวนกลับไปดัง ปัง!
กระสุนนัดนั้นทำให้ซาร่าเซ แต่ไม่ล้มลง -- คราบเลือดค่อยๆปรากฎเป็นวงกว้างที่บริเวณต้นแขน แต่ดูเธอไม่สะทกสะท้านอะไร แถมยังยักไหล่เล็กน้อยอีกด้วย
โครม!
ร่างของฟิชเชอร์ล้มลง และเลือดก็ค่อยๆไหลเจิ่งนองบนพื้น
“ฟิชเชอร์!” ผมร้องเรียก ขณะที่จ้องกองเลือดนั่น
เราหันไปมองร่างในชุดคลุมสีน้ำเงินอีกครั้ง คราวนี้กระบอกปืนเพิ่มขึ้นกลายเป็นสองกระบอก และต่างชี้ตรงมาทางผมกับเจค ดวงตาสีดำสนิทคู่นั้นจ้องมองมาอย่างเยือกเย็น -- และดุร้าย ไม่สะเทือนสักนิดในขณะที่เลือดของฟิชเชอร์ไหลเต็มพื้น จนทำให้ร่างเขาดูเหมือนกำลังจมอยู่ท่ามกลางกองมะเขือเทศสับ
ผมผลักลูซี่ไปหลบด้านหลัง และสั่งให้เธอนอนราบกับพื้น ก่อนจะหันมาเผชิญหน้าผู้หญิงตรงหน้าอีกครั้ง
และเธอคนนี้นี่เอง -- ซาร่าแห่งร้านขนมหวาน -- ที่ทำให้เกิดกองมะเขือเทศสีแดงสดระเบิดร้าน
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in