เราห่างหายจากการอ่าน western literature มานานมาก หลังๆ เหมือนเริ่มซื้อมาดองไว้มากกว่า เพราะเรื่องสุดท้ายที่อ่านรู้สึกว่าจะเป็น
แล้วมาอ่านเรื่องนี้ได้ไง? ต้องเล่าย้อนไปนิดว่าเลื่อนไทม์ไลน์ทวิตเตอร์ไปเรื่อยๆ แล้วบังเอิญมีคนเอาปกเรือนแรมสีแดงมาทวิตบอกว่าโอ้โหสวยมาก ซึ่งมันสวยจริงๆ นะ หลังจากนั้นเราเลยไปหาข้อมูลในเพจสำนักพิมพ์ อ่านไปอ่านมารู้สึกว่าน่าสนใจ ก็เลยสั่งพรีออเดอร์เอาไว้แทบจะในทันที (ซื้อเพราะปกมีอยู่จริง 5555)
อันที่จริงรู้จักชื่อสำนักพิมพ์อ่าน๑๐๑ มาสักพักแล้วล่ะค่ะแต่ว่าไม่ได้ซื้อมาอ่านสักที ที่รู้จักสำนักพิมพ์นี้เป็นเพราะอาร์ตปกแท้ๆ เลยนะ สวยเตะตาทุกเล่ม เราสนเรื่อง
ค่ะ ว่าจะหาซื้อมาอ่านต่อหลังจากนี้ ส่วนเรือนแรมสีแดงนั้นตอนที่ได้เล่มจริงมารู้สึกปลื้มปริ่มมากกกก ดูในภาพที่ทางสำนักพิมพ์ลงเอาไว้ว่าสวยแล้ว ได้มาจับๆ คลำๆ เล่มจริงเองกับมือคือสวยจนล้มไปเลยโดยเฉพาะโปสการ์ดของเรื่องซาร์ราซีน
เรือนแรมสีแดง เป็นนวนิยายขนาดสั้นของบัลซัค มีด้วยกันทั้งหมด 3 เรื่องในเล่ม คือ ซาร์ราซีน (1830), เรือนแรมสีแดง (1831) และ หญิงรักร้าง (1832)
ฝั่ง
"ซาร์ราซีน" พูดถึงประติมากรหนุ่มชาวฝรั่งเศสนามว่า
แอร์แนสต์-ฌ็อง ซาร์ราซีน ที่ได้เดินทางไปยังอิตาลีอันเป็นปิตุภูมิแห่งศิลปะเพื่อหาแรงบันดาลใจในการสรรค์สร้างผลงาน และที่นั่นเองเขาได้พบกับ
"ความงามในอุดมคติ" ที่เขาตามหาจากนักร้องนำฝ่ายหญิงของโรงอุปรากรแห่งหนึ่งในกรุงโรมอย่าง
ซัมบิแนลล่า ซาร์ราซีนคลั่งไคล้หลงใหลในตัวเธอ เป็นความคลั่งไคล้เกินต้านจนแทบบ้าชนิดที่ว่า
"หากรักเธอไม่ได้ก็ต้องฆ่าเธอไปซะ" หล่อนทำให้เขาเกิดแรงบันดาลใจในสร้างงานประติมากรรมชิ้นเอกโดยมีเจ้าหล่อนเป็นต้นแบบ ส่วนในใจของซาร์ราซีนก็มาดหมายว่าจะได้เคียงคู่เธอ แต่แล้วในช่วงสุดท้ายเขากลับต้องพบกับความลับน่าตกตะลึง ความลับที่ทำให้เขาเข็ดขยาดขยะแขยง นำมาซึ่งจุดจบสุดท้ายของเรื่องราวทั้งหมดทั้งมวล
เราชอบบรรยากาศในเรื่องมาก เพราะบัลซัคหยิบเอาศิลปะหลากหลายแขนงมารวมไว้ด้วยกัน มีกลิ่นอายความอาร์ตในยุคนั้นแบบเต็มเปี่ยม แต่ถึงอย่างนั้นก็เขียนเสียดสีสังคมชั้นสูงของปารีสตั้งแต่หน้าแรกของเรื่อง ส่วนตัวเราไม่ได้มองว่าสิ่งที่ซาร์ราซีนรู้สึกต่อซัมบิแนลล่าคือความรัก อย่างที่บอกไปว่ามันคือความคลั่งไคล้จนแทบบ้า และเมื่อคาดหวังเอาไว้มากเขาก็ยิ่งเจ็บปวดมากเมื่อพบว่าสิ่งที่ตนคาดหวังไม่ใช่สิ่งที่ตนเชื่อมั่นว่าคือความจริง เราเองก็บอกไม่ถูกว่าใครผิดใครถูก ซาร์ราซีนก็น่าสงสาร ซัมบิแนลล่าก็ไม่ต่างจากกัน ขึ้นอยู่กับความคิดของคนอ่านมากกว่าว่าจะเอนเอียงไปทางไหน
ต่อมาคือ
"เรือนแรมสีแดง" เรื่องราวของทหารศัลยแพทย์คู่หู
ปรอสแปร์ และ
วิลเฮล์ม ที่ถูกเกณฑ์ไปร่วมรบในดินแดนเยอรมัน ทั้งสองคนได้เข้าพักในโรงแรมสีแดงแห่งหนึ่ง และที่นั่นเองได้เกิดคดีฆาตกรรมสุดสะเทือนขวัญที่เกี่ยวพันกับพวกเขา คนหนึ่งกลายเป็นผู้ต้องสงสัย อีกคนกลับหนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทายาทของฆาตกรยังคงใช้ชีวิตตามปกติ ครอบครัวของฆาตกรร่ำรวยเงินทองจากกองเลือดของคนตาย เกิดเป็นการตั้งคำถามว่าแท้ที่จริงแล้วเราควรเลือกสิ่งใดระหว่างความรักและมโนธรรมในใจตน
สำหรับเรื่องนี้มีความเป็นคริสต์เข้ามาค่อนข้างมากทีเดียว เราแอบคิดว่าฉากบรรยายอาจจะรุนแรงกว่านี้สักเล็กน้อยหรือไม่ แต่พ้อยท์คือการตั้งคำถามของตัวผู้เล่ามากกว่าว่าสุดท้ายแล้วเขาจะตัดสินใจอย่างไรกันแน่
เรื่องสุดท้ายคือ
"หญิงรักร้าง" เรื่องราวของ
กาสตง เดอ เนยล์ บารอนหนุ่มที่สุขภาพไม่ดีจึงต้องมาพักฟื้นร่างกายในเมืองชนบทของแคว้นนอร์ม็องดี ณ ที่แห่งนั้นเขาได้พบกับมาดามสูงศักดิ์
มาดาม เดอ โบเซอ็องต์ ราชนิกุลคนสุดท้ายแห่งราชสกุลบูร์กอญ ผู้โบกมือลาสังคมสูงศักดิ์ในปารีสมาพักใจในเมืองเดียวกัน
ตัวกาสตงในวัยยี่สิบต้นหลงใหลเสน่ห์ของหญิงฉลาดอายุใกล้สามสิบคนนี้แบบหัวปักหัวปำ เขาพยายามใช้ทุกสิ่งที่มีแสวงหาการสานสัมพันธ์กับมาดามผู้เย็นชาคนนั้นอย่างถึงที่สุด กระทั่งความสัมพันธ์ของทั้งคู่ก่อเกิดเป็นรักต่างวัยเนิ่นนานเกือบทศวรรษ ทว่าสุดท้ายแล้ว กาสตงก็ต้องเลือกระหว่างความรักและสิ่งยวนใจของชีวิตเข้ารูปเข้ารอยตามขนบสังคม และเขาไม่ทันได้คิดเลยว่ามาดามผู้นี้ครอบงำชีวิตเขา ไม่ใช่เขาที่ครอบงำชีวิตหล่อน
ถ้าถามว่าชอบเรื่องไหนที่สุดก็คงบอกได้ยาก สำหรับเรื่องซาร์ราซีนเราชอบการบรรยายถึงศิลปะแขนงต่างๆ ในเรื่อง ความคลั่งรักเกรี้ยวกราดของซาร์ราซีนถ้ามองในมุมมองของคนยุคปัจจุบันก็คงจะน่าขบขันไปหน่อย แต่สำหรับศิลปินที่หา muse ของตัวเองเจอแล้วล้วนคลั่งกันประมาณนี้ทั้งนั้น :P
ส่วนเรือนแรมสีแดงเราชอบการหยิบเอาคุณธรรมในใจกับอาการหลงผิดคิดเข้าใจไปว่าในเมื่อตนมีความคิดไม่บริสุทธิ์ในใจอยู่ก่อนแล้ว ก็คงจะเป็นตนเองที่ลงมือฆาตกรรมผู้อื่น กับการตั้งคำถามในช่วงท้ายเรื่องที่ว่าตัวข้าพเจ้าผู้เล่านั้นจะเลือกหนทางใดกันแน่
ส่วนเรื่องสุดท้ายอาจพูดได้ว่าชอบมากกว่าเรื่องอื่นๆ สักเล็กน้อย ก่อนจะอ่านเราแอบคิดว่าไม่แน่มันอาจจบในแนวเดียวกับ
Tess of the d'Urbervilles ถึงแม้จะมีความเฉียดใกล้กันอยู่เล็กน้อยในบางจุดจบ แต่ตัวละครอย่างมาดาม เดอ โบเซอ็องต์นั้นเป็นผู้หญิงที่ฉลาดเฉลียวห่างไกลจากเทสส์อยู่มาก แต่ถึงอย่างนั้นเจ้าหล่อนก็ต้องเจ็บปวดเพราะรักอยู่ดี
สำหรับใครที่ไม่ชินกับการอ่านวรรณกรรมสมัยก่อนอาจจะรู้สึกว่าอ่านยากอยู่บ้าง และเหตุการณ์คลั่งรักหรือตกหลุมรักแบบโงหัวไม่ขึ้นนั้นมันดูน่าขำ เพราะแน่นอนว่าเราจะต้องคิดว่าเฮ้ยแกเพิ่งเจอหน้ากัน แกจะชอบเขาแทบดิ้นตายขนาดนี้เลยเหรอ แต่มันก็เป็นเรื่องปกติของวรรณกรรมยุคนั้นแหละนะ 555 อีกหนึ่งจุดที่น่าสนใจคือหนังสือมีช่วงที่วิเคราะห์เนื้อหาโดยผู้แปลด้วยค่ะ อ่านแล้วจะเข้าใจเนื้อเรื่องมากยิ่งขึ้น
และสิ่งหนึ่งที่ต้องขอชื่นชมคือการใช้ภาษาในการแปล เมื่อก้าวข้ามผ่านกำแพงภาษาแล้วเจอนักแปลไม่ดีเข้า ต่อให้เรื่องนั้นผู้เขียนจะเขียนออกมาได้ดีขนาดไหนแต่สุดท้ายก็พังได้เหมือนกัน แต่ว่าเรือนแรมสีแดงแปลออกมาได้มีอรรถรสมาก การเลือกใช้คำทำให้เรามีอารมณ์ร่วมและเห็นภาพได้ชัดเจน ยิ่งพอดีว่าช่วงนี้เราเรียนภาษาฝรั่งเศสอยู่ด้วยเลยยิ่งรู้สึกอินมากๆ กับการแปลในครั้งนี้ 555
อ่านจบแล้วรู้สึกเสียดายที่ว่าทำไมไม่สั่งเพลงรำลึกบาปมาพร้อมกัน ความจริงเรื่องอื่นๆ ก็น่าสนใจนะ ตอนนี้หนังสือที่สำนักพิมพ์หยิบมาแปลยังมีไม่มาก คิดว่าควรรีบซื้อไว้ก่อนขาดตลาดจะดีที่สุด ใครที่สนใจนิยายฝรั่งเศสแปลดีมีคุณภาพก็ต้องไม่พลาดแล้วล่ะ
Best Quote 1 : การพูดถึงอันตรายกับคนคลั่งรักก็มิต่างจากการเสนอขายความบันเทิงมิใช่หรือ
Best Quote 2 : เช่นเดียวกับคุณธรรม อาชญากรรมก็มีระดับ
Best Quote 3 : บางทีหล่อนอาจคิดว่า หล่อนเพียงคนเดียวที่จะทนทุกข์จากการแยกทางกัน นอกจากนี้ หล่อนต่างหากที่มีสิทธิ์ปฏิเสธการแบ่งปันซึ่งแสนจะต่ำช้า ภรรยาตามกฎหมายอาจยอมรับได้ด้วยเหตุผลลึกซึ้งทางสังคม แต่หญิงคนรักย่อมเกลียดชังการแบ่งปัน ความรักบริสุทธิ์ของหล่อนคือสิ่งอธิบายความรู้สึกนี้
Note: ช่วงที่สั่งซื้อแบบพรีออเดอร์ไปเราเลือกให้ส่งไปยังที่อยู่ปัจจุบันค่ะ แต่ว่าโควิดระบาดระลอก 3 แล้วได้ work from home พอดีเลยอยู่บ้านเสียยาว ตอนแรกยังลังเลว่าถ้าทักไปขอเปลี่ยนที่อยู่จัดส่งจะเป็นยังไง เพราะปลายสัปดาห์ก็จะเริ่มจัดส่งแล้วด้วย กลัวจะทำให้ทางสำนักพิมพ์ลำบากมากๆ แต่ว่าทางแอดมินก็บริการดีมากเลยค่ะ เราเปลี่ยนที่อยู่ได้ทันเวลาพอดี สุดท้ายก็เลยได้อ่านสมดังหวัง ถ้ารอกลับไปที่อยู่ปัจจุบันไม่รู้จะได้อ่านเมื่อไหร่ ยังไงก็ขอบคุณในความใส่ใจของทางสำนักพิมพ์มากๆ เลยนะคะ
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in