ช่างสักแห่งเอาช์วิทซ์ (The Tattooist of Auschwitz)ผู้เขียน : Heather Morris ผู้แปล : โสภณา เชาว์วิวัฒน์กุล
สนพ. Merry-Go-Round Publishing
เล่มเดียวจบ
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มที่เราตั้งตารอมากๆ ในงานหนังสือ รอจนท้อ รอจนโมโห แต่พอได้มาอยู่ในมือแล้วมันปลื้มใจมากจริงๆ
แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้นเรามาพูดถึงหนังสือเล่มนี้กันก่อนดีกว่า
ช่างสักแห่งเอาช์วิทซ์ หรือ
The Tattooist of Auschwitz เป็นหนึ่งในหนังสือที่คิดว่าหลายคนน่าจะพอได้ยินชื่อมาบ้าง เราเองก่อนหน้านี้ไปเจอแนะนำใน goodreads แต่ไทยยังไม่ได้นำเข้ามาแปล ตอนแรกกะจะอ่านแบบเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษไปก่อน แต่ต่อมาก็มีสำนักพิมพ์หนึ่งที่เราตามผลงานอยู่ได้ลิขสิทธ์มาแปลพอดีเชียว
หนังสือเล่มนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเรื่องจริงในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง พูดถึง
ลาลี โซโคลอฟ หนุ่มน้อยวัยยี่สิบเศษผู้มีเสน่ห์แพรวพราวแต่ต้องไปใช้แรงงานในค่ายกักกัน
เอาช์วิทซ์-เบียร์เคอเนา อันแสนโด่งดัง
และที่นี่เองที่เขาต้องมาเป็นนักโทษ ถูกตีตราด้วยรอยสักที่เป็นหมายเลขบนท่อนแขน และต่อมาไม่นานเขาก็กลายมาเป็นคนที่ทำหน้าที่
"ตีตรา" หมายเลขเหล่านี้ลงบนท่อนแขนของนักโทษคนอื่นๆ
ลาลีกลายมาเป็น
"ช่างสัก" หรือที่รู้จักกันในชื่อ
"แททูเวียเรอร์" ถูกยกระดับเหนือนักโทษธรรมดามานิดหน่อย แม้จะมีมื้อเย็นให้กินเพิ่ม มีที่นอนที่กว้างขวางขึ้นมาอีกนิด แต่ถึงอย่างนั้นก็ต้องมีผู้คุมที่พร้อมจะเป่าสมองเขาตลอดเวลาตามติดตัวในเวลาทำงานอยู่ดี
การผันตัวมาเป็น
"แททูเวียเรอร์" ของลาลีถือเป็นการทำหน้าที่ที่ทำให้เขารู้สึกขัดแย้งในตัวเอง การได้เห็นและได้รับรู้อะไรต่างๆ ในค่ายก็ยิ่งสร้างความหดหู่ให้กับเขา กระทั่งวันหนึ่งเขาได้สักแขนให้นักโทษหญิงคนหนึ่ง ในบรรดานักโทษนับพันนับหมื่นที่เขาสักแขนให้
กิทา คือผู้หญิงคนเดียวที่ประทับอยู่ในใจของลาลี
หลังจากนั้นลาลีพยายามหาทางติดต่อกับกิทา ทั้งคู่ลอบพบกันบ่อยๆ และลาลีก็หาช่องทางการแลกเปลี่ยนสิ่งของต่างๆ ทั้งของกินหรือเพชรพลอยที่รูดออกมาจากบรรดานักโทษที่ต้องจบชีวิตลงในค่าย บ่อยครั้งเขาจะเอามันมาให้กิทาผู้เป็นที่รัก แต่ก็ไม่ลืมที่จะเผื่อแผ่ของกินทั้งหลายให้กับเพื่อนในค่ายด้วยเช่นกัน
หนังสือเล่มนี้อ่านไปช่วงแรกๆ อาจจะไม่ได้รู้สึกอินกับมันมากเท่าไรนัก แต่กลับกลายเป็นว่าเมื่ออ่านต่อไปเรื่อยๆ เราเริ่มอยากรู้ว่าสรุปแล้วชีวิตในค่ายของลาลีจะเป็นยังไง ความสัมพันธ์ของเขากับกิทาจะเป็นยังไงต่อ ทั้งสองคนจะสามารถหลุดพ้นชะตากรรมในค่ายนรกนี่ได้หรือไม่ ทุกอย่างเริ่มจับใจคนอ่านอย่างเราโดยต้องพยายามห้ามตัวเองไม่ให้เปิดไปอ่านช่วงท้ายเล่มก่อนเพราะถ้าทำอย่างนั้นคงเป็นการทรยศลาลีอย่างแท้จริง
อาจจะเพราะ "ความรัก" มันเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่ควรเกิดแบบนี้ก็ได้ ทำให้ลาลีพยายามที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป นอกจากจะได้รู้ถึงชีวิตประจำวันของนักโทษในค่ายที่โด่งดังที่สุดในโลกอย่างค่ายเอาช์วิทซ์-เบียร์เคอเนาแห่งนี้แล้ว เรายังได้รู้ถึงการเข้ามาของทหารรัสเซีย และบทสรุปสุดท้ายของการพยายามเอาชีวิตรอดของนักโทษคนหนึ่งด้วย
หลังจากอ่านจบต้องยอมรับจริงๆ ว่าลาลีถือเป็นผู้ชายคนหนึ่งที่นอกจากจะรูปหล่อแล้วยังเอาตัวรอดได้เก่ง โดยหลังจากจบเรื่องนี้สิ่งที่จับใจเรามากที่สุดคือบทบรรยายช่วงท้ายของนักเขียน เธอเล่าถึงการพบหน้ากันระหว่างเธอและ
ลุดวิก ไอเซนเบิร์ก เจ้าของชื่อที่เพื่อนๆ เรียกกันว่าลาลีได้อย่างน่าประทับใจและแสนเศร้าในเวลาเดียวกัน
หากจะพูดให้เข้าใจง่ายคือ หนังสือเรื่องนี้มีส่วนคล้ายคลึงกับ
บันทึกลับของแอนน์ แฟรงค์ แต่เล่าในมุมมองพระเจ้าและในตอนสุดท้ายลาลียังถือว่าโชคดีกว่าแอนน์เท่านั้นเอง
Best Quote 1: ลาลีกลับมาที่ห้อง และหยิบของที่ได้จากพวกเธอวางบนเตียงนอน เขาค่อยๆ เปิดมันออกอย่างเบามือ ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในผ้าขี้ริ้วทั้งสี่ห่อมีอะไรบ้าง ปรากฏว่าในนั้นมีเหรียญและธนบัตรสกุลสโลทิสของประเทศโปแลนด์ เพชร ทับทิม นิลเป็นเม็ดๆ นอกจากนั้นยังมีแหวนทองและแหวนเงินประดับพลอยอย่างละหนึ่งวง ลาลีค่อยๆ ถอยหลังเมื่อเห็นทุกอย่างถนัด จนกระทั่งชนกับประตูที่อยู่ด้านหลัง เขากำลังถอยหนีที่มาแสนเศร้าของสิ่งหล่านี้ ทุกชิ้นผนึกแน่นกับช่วงเวลาสำคัญในชีวิตเจ้าของคนก่อน
Best Quote 2: นัดยาพูดด้วยเสียงเบาที่สุดที่เขาเคยได้ยินมาในชีวิต แต่เธอไม่ได้กระซิบ นี่คือเสียงปกติของเธอ ลาลีได้คำตอบในที่สุดว่าเพราะอะไร เสียงของเธอจึงทำให้เขาเศร้านัก...เพราะมันปราศจากความรู้สึก ไม่ว่าเธอจะเล่าถึงวันชื่นคืนสุขยามที่ยังมีครอบครัว หรือความทุกข์ยากของการที่ต้องมาอยู่ที่นี่ น้ำเสียงของเธอไม่เคยเปลี่ยน
Best Quote 3: เขาโน้มตัวลงไปและเด็ดก้านสั้นๆ ของดอกไม้นั้นอย่างเบามือ เขาจะหาวิธีนำมันไปมอบให้กิทาในวันพรุ่งนี้ เมื่อกลับถึงห้อง ลาลีวางดอกไม้อันล้ำค่าไว้ข้างเตียงอย่างระมัดระวัง ก่อนจะหลับไปในคืนนั้นโดยไม่ฝันถึงสิ่งใด แต่แล้วเช้าวันต่อมา เมื่อเขาลืมตาตื่น กลีบดอกไม้กลับหลุดร่วงและหงิกงออยู่รอบๆ ใจกลางสีดำนั้น มีเพียงความตายที่จีรังในที่แห่งนี้
Best Quote 4: "คุณคิดอะไรอยู่" เขาถาม
"ฉันกำลังฟัง ฟังเสียงของผนัง"
"มันบอกคุณว่าอะไร"
"ไม่ได้บอกอะไรเลย มันแค่หายใจแรง และร้องไห้ให้กับคนที่ออกไปในตอนเช้าและไม่ได้กลับมาอีก"
Note: ค้างไว้ตอนต้นว่าจะเล่าเรื่องคนรอมันท้อหน่อย คือหนังสือมีแพลนเข้างานหนังสือวันเสาร์ที่ 5 ช่วงบ่าย เราก็ไปรอตอนบ่ายๆ รอแล้วรอเล่าก็ไม่มา ฝนก็ตก รถก็ติด สงสารทีมที่เอาหนังสือจากโรงพิมพ์มาส่งเหมือนกันแต่ก็สงสารตัวเองไม่น้อย วันนั้นเราเดินเตร่หลายชั่วโมง นั่งรออีกหลายชั่วโมง พอเห็นเพจอัพว่าหนังสือมาแล้วก็รีบเดินไปซื้อ ทุกอย่างเกิดขึ้นภายในเวลาไม่ถึงสามนาที แต่เรารอนานมากกกกก 5555 รอซื้อนานไม่พอ กว่าจะรอได้ขึ้นรถออกจากอิมแพ็คก็นาน เป็นงานหนังสือที่น่าสยองที่สุดเท่าที่เคยเจอมาเลย แงงงง
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in