มาอ่านช้าไปหน่อยสำหรับเรา เพิ่งมาตามอ่านก็ตอนที่เล่ม 4 จะปิดพรีอยู่แล้ว โชคดีมากที่ยังพรีทันในช่วงสองวันสุดท้าย 5555
เท้าความนิดนะคะว่าตอนเล่มแรกออกมาเราก็เห็นอยู่ เข้าไปอ่านตัวอย่างแล้วด้วย แต่รู้สึกว่าไม่น่าใช่แนวเท่าไหร่เพราะดูเจาะจงสายอาชีพเกินไปนิด ประจวบเหมาะกับที่ถึงแม้เราจะไม่ใช่สถาปนิกแต่ก็คลุกคลีกับคนกลุ่มนี้ในแวดวงของเราเอง มันเลยเบื่อ อ่านตัวอย่างผ่านๆ แค่พอรู้สึกว่าไม่น่าเข้ากับเราเท่าไรก็เลยเลิกสนใจ
แต่ว่าระหว่างนั้นก็เห็นกระแสหนังสือเรื่องนี้ดีมากๆ ช่วงที่เปิดพรี VBOX ยังมีคนบ่นกันเยอะว่าจะเว็บแตกเหมือนช่วงพรี
หรือเปล่า เราผู้ไหลไปตามกระแสได้ง่ายอยู่แล้วเลยชักจะสองจิตสองใจ มีแองเจิลตัวน้อยๆ กระซิบข้างหูว่า เอ...หรือหนังสือมันจะดีจริงๆ นะ อยากรู้ไม่ไหวก็เลยตัดสินใจซื้อเล่ม 1-3 มาอ่านซะเลย (ไม่ใช่คนรวย แค่เป็นคนฟุ่มเฟือยคนหนึ่งค่ะ 5555)
สรุป...
อ๊ากกกก คุณพระ! ชั้นรู้แล้วว่าทำไมคนเขาถึงอวยกันขนาดนี้! เพราะมันสนุกจริงๆ! คือเราไม่เคยอ่านนิยายของซีเหอชิงหลิงมาก่อนเลย เรื่องนี้เป็นเรื่องแรก และรู้สึกว่าเออเขาเขียนดีจัง แบบแงๆ หลงรักตัวละครในเรื่องมากกก ㅠㅠ
สี่พารากราฟผ่านไป เข้าเรื่องเลยแล้วกันว่าคุณผู้ช่วยสถาปนิกเป็นเรื่องราวของ
จางซืออี้ เด็กจบใหม่จากคณะสถาปัตยกรรมประเทศอังกฤษ ที่เรียนจบปุ๊บก็ gap สักช่วงหนึ่งเพื่อเที่ยวยุโรป ก่อนจะกลับมาจีนเพื่อหางานทำ แต่ในระหว่างที่เขาทุ่มเทเวลากับการทำพอร์ต (เพราะช่วงที่เรียนไม่ได้ใส่ใจเรียนนัก ผลงานเลยไม่ค่อยน่าดู) เขาก็ทะเลาะกับแฟนสาวด้วยเหตุผลที่ว่าเขาไม่มีเวลาให้เธอ แถมยังคิดว่าเขาเป็นคู่เกย์กับ
ฟู่ซิ่นฮุย เพื่อนสนิทของจางซืออี้อีกต่างหาก
จางซืออี้ก็อยู่ในช่วงอารมณ์ไม่มั่นคงจากการหางานอยู่แล้ว เขารำคาญก็เลยอ้าปากบอกเลิกกันง่ายๆ ทำเอาสาวเจ้าโมโห สาดกาแฟใส่เขา แต่ซืออี้ดันหลบทันทำให้กาแฟที่สาดนั้นไปโดนตัวหนุ่มหล่อที่นั่งอยู่ด้านหลังแทน
หลังจากนั้นซืออี้ถึงได้รู้ว่าชายหนุ่มคนนั้นคือ
กู้เซียว หัวหน้าทีม A ผู้ที่เรียกซืออี้มาสัมภาษณ์งานในบริษัทออกแบบสถาปัตยกรรมอู๋จิ้ง ดูเหมือนกู้เซียวจะไม่ได้ติดใจเอาความอะไร แถมยังรับน้องเข้ามาทำงานในบริษัท ไปๆ มาๆ ก็ได้รู้ว่ากู้เซียวคือพ่อเทพบุตรประจำโรงเรียน ไอดอลที่ทำให้ซืออี้อยากเรียนสถาปัตยกรรมเมื่อสมัยเรียนมัธยมปลายนั่นเอง
เนื้อเรื่องหลักๆ จะเป็นชีวิตการทำงานในบริษัทอู๋จิ้ง เราจะได้รู้ว่ากู้เซียวที่ดูเป็นชายหนุ่มยี่สิบปลายๆ คนนี้ไม่ได้สุขุมเหมือนภาพลักษณ์ที่แสดงออกแต่ว่าแอบขี้แกล้ง เข้มงวด แถมยังโหดมากๆ เวลาทำงาน ซืออี้เองถูกสั่งให้ทำงานซ้ำๆ แถมโดนติวเข้มจนทั้งวันได้แต่กลับไปบ่นกับรูมเมทและก่นด่ากู้เซียวในใจ
ในขณะที่จางซืออี้คิดว่ากู้เซียวยังไม่หายโกรธเขาเรื่องโดนสาดกาแฟใส่และกำลังหาทางแก้แค้นเขาอยู่นั้น เพื่อนร่วมงานกลับมองต่างออกไปเพราะทุกคนออกความเห็นตรงกันว่ากู้เซียวดูแลซืออี้เป็นพิเศษ แคคตัสที่กู้เซียวเลี้ยงไว้และไม่เคยยกให้ใครเขาก็ให้ซืออี้เลี้ยงหน่อเล็กของเจ้าต้นใหญ่ ตลับเมตรที่ใช้ติดตัวมาเป็นสิบปีก็ยกให้ซืออี้เป็นของขวัญวันเกิด จนจางซืออี้เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ...หรือว่าเขาจะชอบเราน้อออ
จางซืออี้ มนุษย์เพศชายวัยยี่สิบต้นๆ ที่เพศสภาพตรงจนไม่อาจจะงอได้เริ่มสงสัยในตัวเอง เพราะการกระทำหลายๆ อย่างของกู้เซียวมันสื่อไปในทางนั้นจริงๆ จากที่ตรงเป็นไม้บรรทัดก็เริ่มเปลี่ยนเป็นเส้นบะหมี่แทน
โดยเฉพาะเหตุการณ์กลับบ้านช่วงตรุษจีนที่ด้วยความเป็นคนบ้านเดียวกัน กู้เซียวจึงชวนให้จางซืออี้ติดรถกลับไปด้วย และเพื่อจะได้ออกเดินทางเช้าๆ รถไม่ติดก็เลยชวนให้จางซืออี้มาค้างบ้าน ซึ่งอีตอนนี้แหละที่ใช้จำนวนหน้ากระดาษได้เปลืองแต่ฟินมากๆ เมื่อทั้งสองคนเล่มเกม Truth or Dare อยากถามอะไรก็ถามมา ถ้าไม่กล้าตอบต้องถอดเสื้อผ้านะ แอ๊ะๆ เลือดที่มีในตัวหมดไปเพราะซีนนี้แหละ ไหลออกมาเต็มสองรูจมูกเพราะอีพี่มันแกล้งน้องแบบไม่ปราณีเลย ถอดเป็นถอดวะ!
แต่นั่นแหละ ถึงเขาจะทำดีด้วยมากแค่ไหน แต่จางซืออี้ก็ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองมากเกินไปเพราะกู้เซียวนั้นบางครั้งก็ดูเย็นชาโดยที่เขาไม่รู้สาเหตุ พอดีกับที่ตอนนั้นมีพนักงานใหม่นามว่า
เถาเฝ่ย มาเข้าร่วมทีม A หน้าตาเหมือนนกยูงรำแพนหาง แถมยังเป็นรุ่นน้องสมัยมหาลัยของกู้เซียว ช่วงแรกๆ ทั้งคู่เลยตัวติดกันมากจนน้องมันหึง ใช่สิ อีกฝ่ายเก่งกว่าเขามากขนาดนั้น หน้าตาก็ดีจนผู้หญิงจริงๆ ยอมแพ้ น้องเสียใจ! ก็เลยหลบหน้าพี่กู้ตลอดเวลา
ช่วงนั้นดันเป็นช่วงเวลาที่ลำบากสำหรับจางซืออี้พอดี เพราะมีหลายสิ่งหลายอย่างประดังประเดเข้ามาในชีวิตน้องพร้อมๆ กัน ทั้งเรื่องงานและเรื่องชีวิตส่วนตัว ถ้าได้อ่านช่วงนี้จะเข้าใจว่าชีวิตเราครั้งหนึ่งจะเจอเรื่องแบบนี้กันทุกคน แบบว่าคิดว่าชีวิตเราแย่มากพออยู่แล้วแต่มันก็ยังสามารถแย่กว่านั้นได้อีก
แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดีแฝงอยู่ เพราะมันทำให้ปมความรักของน้องและกู้เซียวเคลียร์มากขึ้น ให้คนอ่านได้หายใจคล่องขึ้นหน่อย ถ้าบอกว่าเล่มแรกเน้นเรื่องความเป็นสถาปนิกแล้ว เล่มสองเป็นต้นไปนี่คือไม่มากเท่าแล้วค่ะ เน้นไปด้านการแจกอาหารหมามากกว่า (เอ๋งๆ) ซึ่งเราจะได้เห็นความสัมพันธ์ของทั้งคู่ที่ค่อยๆ พัฒนาไปข้างหน้า การปรับตัวเข้าหากันและกัน อิทธิพลที่ต่างฝ่ายต่างก็ส่งผลต่อกัน มีทะเลาะเบาะแว้งกันบ้างแต่ก็เป็นการทะเลาะเพื่อให้ได้ผลลัพธ์เป็นการขยับเข้าหากันมากขึ้น (ไม่ดราม่า)
ในเล่ม 3-4 นี่จะชัดมาก มันเหมือนเรากำลังมองคู่รักที่พัฒนาไปเป็นคู่แต่งงาน การอยู่ด้วยกันสองคนก็มีเรื่องให้ต้องปรับ การแสดงความรักความใส่ใจจะมีช่วงโปรโมชั่นมั้ยนะ ที่เขาสนใจเราน้อยลงหมายถึงเขาเบื่อเราแล้วมั้ย มันคือการค่อยๆ เฝ้ามองคู่รักคู่หนึ่งที่ต่างก็ใหม่กับเรื่องพวกนี้ทั้งคู่ค่อยๆ จับมือกันเดินไปข้างหน้า ประคับประคองกันไปเรื่อยๆ ทั้งในด้านของความสัมพันธ์และหน้าที่การงาน มันฮีลใจมากจริงๆ
แน่นอนว่านอกจากปัญหาเรื่องการปรับตัวเข้าหากันแล้วยังมีในเรื่องของความหึงหวงเข้ามาเกี่ยว เป็นเรื่องเบสิกมากเมื่อเรารักใครสักคน ปกติมักจะเห็นซื้ออี้หึงอยู่ฝ่ายเดียว แต่กับเล่ม 4 นี้คือกู้กงเค้าหึงเหมือนกันเพราะมีตัวละครใหม่อย่าง
ไป่รุ่ย เข้ามายุ่มย่ามกับน้องแบบออกนอกหน้าซะ *ปิดปากยิ้ม*
แต่ว่าไม่ดราม่านะ นิยายเรื่องนี้มันไม่มีดราม่าอ่ะ แวบเดียวตัวละครก็ปรับความเข้าใจกันแล้ว เป็นเรื่องที่ดีมากเหมือนกัน เวลามีปัญหาควรรีบหันหน้าคุยกันโดยเร็ว อย่าปล่อยให้มันยืดเยื้อ นี่คือสิ่งที่ทั้งคู่ได้สอนเราผ่านหน้ากระดาษค่ะ
พูดมาถึงตรงนี้มาคิดๆ ดูแล้วเรารู้สึกว่านิยายเรื่องนี้ไม่มีตัวร้ายแฮะ ต่อให้มีตัวละครบางตัวทำเรื่องที่อาจจะทำให้เราผู้อ่านรู้สึกไม่ชอบไปบ้างแต่เราก็ไม่สามารถเกลียดตัวละครนั้นได้จริงๆ จังๆ เลย อย่างเถาเฝ่ยนี่ออกมาช่วงแรกเราไม่ชอบนะ (คิดว่าหลายคนก็น่าจะเป็นเหมือนกัน) แต่หลังจากนั้นพอได้ทำความรู้จักเขาแล้วเรากลับชอบเถาเฝ่ยมากๆ ชอบสุดๆ แบบเฮ้ยหลงรักว่ะ 5555
ตัวนิยายมันเป็นแนว Feel good / Silce of life อ่านได้เรื่อยๆ และสามารถหยิบหลายๆ อย่างมา adapt กับชีวิตจริงได้ อย่างกู้เซียวก็คือเป็นผู้ใหญ่มาก สามารถวิเคราะห์เรื่องราวต่างๆ ได้ดี ทำงานเก่ง ใครๆ ก็มองว่าเขาไม่มีที่ติ เป็นเหมือนเทพเจ้า แต่ถ้าได้รู้จักจริงๆ เขาก็แค่ผู้ชายธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น ข้อเสียก็มีเหมือนอย่างชาวบ้านเขา
หรือกับตัวจางซืออี้เองที่เอาตามตรงสำหรับเราก็มีหลายจุดในตัวน้องที่เราไม่ชอบ อาจเพราะจางซืออี้เป็นตัวละครที่เกิดมาในครอบครัวที่มีกำลังทรัพย์ อยากได้อะไรก็ได้ อยากทำอะไรก็ทำ น้องเลยเป็นพวกที่ทำอะไรไม่จริงจัง เก่งแบบเป็ด เมื่อได้ออกมาเรียนรู้ชีวิตจริงในโลกแห่งการทำงานแล้วก็เหมือนได้ค่อยๆ เรียนรู้ ใช้เงินแบบเดือนชนเงิน (เพราะหน้าบางไม่อยากขอที่บ้าน) เงินไม่พอก็ยังจะไปกู้บัตรเครดิต ติดโซเชี่ยล แบบว่าสมัยเรียนก็มีฟู่ซิ่นฮุยคอยเอาอกเอาใจ กินอะไรก็แทบจะป้อน นิสัยเลยมีความเด็กอยู่มากๆ
แต่ว่าตั้งแต่เล่มสามไปเราจะเห็นพัฒนาการของน้องแบบก้าวกระโดดเลย เพราะน้องโตขึ้น ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น ความคิดอ่านก็ไม่เหมือนเดิม อาจเพราะได้อยู่กับกู้เซียวทำให้เขาได้รับอะไรต่างๆ จากอีกฝ่ายมา ตั้งแต่การแต่งตัว วิธีการคิด การทำงาน การมองคน ซึ่งอ่านมาถึงช่วงนี้เรารู้สึกภูมิใจในตัวจางซืออี้มากๆ เหมือนเลี้ยงเองกับมือ เลี้ยงผ่านหน้ากระดาษและเงินในบัญชี แงๆ
นอกจากนี้ตัวละครอื่นๆ ก็มีเรื่องราวของเขาที่ทำให้เราได้เรียนรู้หลายๆ อย่าง ตัวละครหนึ่งที่บทน้อยมากแต่ส่วนตัวเราประทับใจมากก็คือ
เลี่ยวจวิ้น นักศึกษาปริญญาโทที่ซืออี้ได้เจอในช่วงเล่มสี่ เพราะคนคนนี้มีส่วนอย่างมากต่อการตัดสินใจก้าวเท้าจากจุดเดิมที่ซืออี้ยืนอยู่ เพื่อที่เขาจะขยับไปข้างหน้าได้อย่างไม่ลังเลเสียที
หรือกับธีมเรื่องที่พูดถึงวงการสถาปนิก บางช่วงอาจเยอะไปหน่อย อ่านข้ามๆ ไปก็ไม่เป็นไรค่ะ แต่ถ้าสนใจก็อ่านเอาเป็นความรู้รอบตัวได้ สนุกดี ทั้งเรื่องการทำงาน การออกแบบ การแก้แบบ การดีลงาน การนำเสนองาน เรื่องราวต่างๆ ในวงการนี้ สำหรับเราค่อนข้างคุ้นเคยเพราะบริษัทเราก็แนวเดียวกับอู๋จิ้ง (แต่นอกจากงาน design แล้วยังมีงาน consult ด้วย) เลยได้ใกล้ชิดกับสถาปนิกและวิศวกรมากหน่อย แต่หลายๆ เรื่องเราก็เพิ่งมารู้จากการอ่านนิยายเรื่องนี้เลยนะ อย่างการสร้างห้องน้ำในอาคารหรือลานจอดรถที่ต้องใส่ใจมาก ถือว่าอ่านแล้วได้ความรู้ดีเลย เปิดโลกมาก
แต่ที่ชอบที่สุดคือการหยิบจับเอาชีวิตวัยทำงานมาใส่ในเรื่องอ่ะ มันรีเลทได้ดีกับมนุษย์วัยทำงานจริงๆ นะ ตัวละครหลายๆ ตัวในเรื่องเราจะได้เห็นพวกเขาค่อยๆ ดำเนินชีวิตของตัวเองไปตามเส้นทางของแต่ละคน ปัญหาในการทำงาน การตัดสินใจลาออก ทัศนคติที่มีต่อวงการอาชีพ ฯลฯ
และแน่นอน...การเปิดตัว บอกเลยว่าการเปิดตัวกับพ่อๆ แม่ๆ ของทั้งคู่ไม่ธรรมดามาก ทำเอาเราลุ้นและเอาใจช่วยไปด้วย และเราก็ได้เห็นมุมมองใหม่ๆ ในเรื่องคือการประเด็นที่ว่าเวลาเราจะเปลี่ยนแปลงความคิดของคนที่อยู่คนละ gen กับเรา วิธีที่ได้ผลที่สุดไม่ใช่การให้เราไปคอยยัดเยียดความคิดเหล่านั้นให้เค้า แต่ต้องให้คนที่อยู่ใน gen เดียวกันกับเป้าหมายของเราไปกล่อมต่างหาก
โดยภาพรวมคือเราชอบนิยายเรื่องนี้มากกกกก เป็นอีกครั้งที่ต้องบอกตัวเองว่าบางครั้งอ่านแค่ตัวอย่างที่เว็บลงให้อ่านแล้วไม่สามารถบอกได้จริงๆ ว่านิยายเรื่องนั้นดีหรือไม่ดี เพราะตอนเราอ่านตัวอย่างเราไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ แต่พอได้อ่านเล่มเรากลับพบว่าตัวเองชอบมากซะงั้น นึกดีใจอยู่ที่ตัดสินใจซื้อมาอ่าน
ยิ่งไปกว่านั้นคือปก-สวย-มาก-แม่! เราเห็นในภาพแล้วไม่ได้อะไรเท่าไหร่ แต่วินาทีที่ได้ของจริงมาในมือ เปิดปกกระดาษไขออกแล้วมองปกเต็มๆ มันสวยอลังมากเลยทุกคน ฟุ้งมาก จิบลิไดคัทต่างๆ ก็น่ารัก หยิบมาดูแล้วก็อมยิ้มค่ะ
ที่สำคัญตอนจบคือเพอร์เฟ็ค (จะบอกว่าจางซืออี้โชคดีมากที่ได้คบกับกู้เซียว ปรนเปรออะไรขนาดนั้น เห็นแล้วก็อิจฉาแทน) ฉากหวานๆ ก็มีเยอะ คนอ่านอย่างเราก็กินอาหารหมากันจนพุงกาง หูมงหางแมวอะไรกันก็ไม่รู้ ฮึ่ยยย *บิดผ้าเช็ดหน้า*
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคือเราได้เห็นคนสองคนตั้งเป้าอนาคตไว้ด้วยกัน จับมือเดินข้างไปเรื่อยๆ ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง มันคือนิยายที่เน้น "การเติบโต" และ "การก้าวหน้า" อย่างชัดเจน หน้าสุดท้ายของเรื่องทำได้ดีมากๆๆๆๆ เราอ่านแล้วอยากจะร้องไห้ อย่างที่บอกไปว่ารู้สึกได้เลยว่าลูกชายจางซืออี้ของแม่โตขึ้นมากจริงๆ และที่โตมาได้ดีขนาดนี้ก็เพราะกู้เซียวแท้ๆ *น้ำตาไหลหมดโอ่ง*
เอาเป็นว่าเราอาจฟันธงไม่ได้ว่าทุกคนอ่านแล้วจะชอบเหมือนเรามั้ย แต่สิ่งที่เราบอกได้คือนิยายเรื่องนี้มันไม่ได้ให้แค่ความบันเทิงกับเราแน่นอน มันมีอะไรสอดแทรกให้เราได้รับไปมากกว่านั้น อ่านแล้วอิ่มเอมใจ ยิ้มแก้มปริได้ทั้งวัน ได้มุมมองในการชีวิตและการทำงานใหม่ๆ เพียบเลย ต้องขอบคุณทางโรสที่ซื้อลิขสิทธิ์เรื่องนี้มาแปลให้เราได้อ่านกันจริงๆ พอจบแล้วก็รู้สึกใจหายไม่น้อย แต่พอได้เห็นการเดินทางที่ยาวนานของพวกเค้าจนมาถึงจุดที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแบบนี้ได้ เราก็รู้สึกดีใจมากจริงๆ ค่ะ :)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in