ไม่เคยอ่านงานของสืออู่มาก่อน แต่ตอนอ่านคำโปรยเรื่องบอกพล็อตคร่าวๆ แล้วรู้สึกว่าน่าสนใจดี บวกปกที่ชอบมากกกก ก็เลยโอเค ซื้อมาอ่านเถอะ
ตัวนักเขียนสืออู่มีนักอ่านชาวไทยชอบพอสมควรเลยนะ สำหรับเรื่องที่ได้รับการแปลไทยแล้วนอกจากเรื่องนี้ก็คือเรื่อง
หนิงอันคอมมิวนิตี้กับ
S.E.R.F สมมติฐานรัก แต่เราไม่เคยอ่านสักเล่ม แหะๆ
สรุปคือ...เราใหม่มากกับงานของสืออู่ แต่กับฆาตกรรมต้องมนตร์ที่เลือกซื้อมาอ่านเพราะหนึ่ง...ปกดี สอง...พล็อตน่าสนใจ
เรื่องราวพูดถึง
เฉินจิ่นซี เด็กหนุ่มอายุสิบแปดที่รับสารภาพว่าลงมือฆาตกรรมญาติตัวเองสิบสองคนภายในคืนเดียว คดีของเขาทำให้ตำรวจแบ่งเป็นสองฝ่าย ฝ่ายแรกเชื่อว่าเขาไม่ได้ทำเพราะหลักฐานไม่เพียงพอ ที่เขารับสารภาพเป็นเพราะต้องปกป้องใครอยู่แน่ๆ ส่วนอีกฝ่ายคือพวกที่อยากจบเรื่องนี้ให้เร็วที่สุด ในเมื่อเจ้าตัวรับสารภาพก็นับว่าจบเรื่อง
เฉินจิ่นซีเป็นเด็กหนุ่มที่เพิ่งพ้นวัยสิบแปดมาหมาดๆ ไม่มีอะไรบอกว่าเขาคือฆาตกรโหดเหี้ยม เพราะในสายตาของทุกคนเด็กหนุ่มสุภาพเรียบร้อยและอ่อนน้อม นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมคดีครั้งนี้มันชวนให้คนสับสนได้ขนาดนั้น
เจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบคดีคือ
เหลียงหย่วนเฟิง เขาเป็นคนจับกุมเฉินจิ่นซี แต่ก็เป็นตัวตั้งตัวตีในการพยายามหาเบาะแสมาหักล้างว่าเด็กหนุ่มไม่ได้ทำการฆาตกรรมคนเหล่านั้น แต่เฉินจิ่นซีไม่สนใจความหวังดีของอีกฝ่าย เขายืนกรานรับสารภาพและเข้าไปใช้ชีวิตอยู่ในเรือนจำ หวังเพียงแค่จะฝังตัวเองเอาไว้ในนั้นจนกว่าจะตาย
เจ็ดปีผ่านไป เด็กหนุ่มในวันวานเติบโตเป็นชายหนุ่มที่งดงาม เจ็ดปีที่ผ่านมานี้เหลียงหย่วนเฟิงเข้ามาเยี่ยมและมาพูดคุยกับเขาตลอด แล้วก็ได้รับการดูแลจากผู้ดูแลเรือนจำที่เป็นอาของเหลียงหย่วนเฟิง นั่นคือ
เหลียงอวี่ซิ่น ตอนที่เฉินจิ่นซีเข้ามาในเรือนจำวันแรกมีแต่คนกังวลว่าเขาจะถูกนักโทษในเรือนจำปฏิบัติไปในทางที่ไม่ดีเพราะเด็กคนนี้มีใบหน้างดงาม แต่เฉินจิ่นซีก็แสดงให้ทุกคนเห็นเลยว่าเขาไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถเข้ามายุ่งด้วยได้ ตลอดเวลาที่อยู่ในเรือนจำเขามักจะขลุกอยู่ในห้องชั้นในสุดของตัวเองเงียบๆ ประจวบกับพฤติกรรมน่าสะพรึงกลัวที่ทำตั้งแต่วันแรกที่ย่างเท้าเข้ามา ทำให้เกิดเสียงเล่าลือกันว่าห้องขังด้านในสุดขังปีศาจเอาไว้
มีเพียงคนไม่กี่คนที่รู้ว่าเฉินจิ่นซีมีพลังวิเศษที่สามารถฆ่าคนได้โดยไม่ต้องลงมือ เขาสามารถรับรู้ได้ถึงเจตนาร้ายของมนุษย์และสามารถดูดกลืนสิ่งเหล่านั้นได้ แม้เฉินจิ่นซีจะแสดงท่าทีไม่ยินดียินร้ายอะไรกับพลังนี้ แต่แน่นอนว่าพลังที่ว่าไม่ได้ทำให้เขามีความสุขสักนิด
เฉินจิ่นซีตั้งใจจะใช้ชีวิตที่เหลือในคุก แต่สุดท้ายเขาก็ต้องออกมาเพราะการขอร้องของเหลียงหย่วนเฟิงให้ไปช่วยงานในสถานที่แห่งหนึ่งที่ไม่ว่าใครเข้าไปก็ไม่สามารถกลับออกมาได้อีก โดยเหลียงหย่วนเฟิงยก
เนี่ยหย่งซู หลานสาวของเฉินจิ่นซีขึ้นมาดึงดูดความสนใจจากเขา
เนี่ยหย่งซูเป็นลูกสาวของพี่สาวเนี่ยจิ่นซีที่ตายไปพร้อมพี่เขยของเฉินจิ่นซี หลังจากเกิดเรื่องขึ้นแล้วถูกเลี้ยงดูโดยครอบครัวพี่ชายของพี่เขยเขา แต่เมื่อเฉินจิ่นซีออกจากคุกแล้วก็สามารถรับเนี่ยหย่งซูมาดูแลได้ แต่เนี่ยหย่งซูไม่เคยเอ่ยปากพูดอีกเลยนับตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ในครั้งนั้น
เรื่องราวหลังจากนั้นเราจะได้รู้จักความเป็นพ่อมดแม่มดตระกูลเฉินมากขึ้นว่าเป็นไงมาไง แล้วทำไมถึงเกิดเรื่องร้ายพวกนี้ขึ้นกับครอบครัวพี่สาวของเฉินจิ่นซี
สิ่งที่เราชอบและอินคือความสัมพันธ์ด้านครอบครัวของตัวละครในเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นตัวพระเอกกับอาของเขา หรือตัวนายเอกกับหลานสาว นอกจากนี้ที่ค่อนข้างว้าวคือกลายเป็นว่าทางเฉินจิ่นซีสนิทกับครอบครัวฝั่งพี่เขยตัวเองเสียอย่างนั้น สองครอบครัวเกื้อกูลกันมาตลอดแบบที่ครอบครัวแท้ๆ ของเขาไม่สามารถให้ได้ จุดนี้ถือว่าดีทีเดียว คืออ่านแล้วก็อิน
ไวบ์ตัวละครทำให้เราได้กลิ่นอายบางอย่างที่คล้ายๆ กับตัวเอกจากเรื่อง
อาชญากรรมรักในม่านเมฆ นายเอกดูค่อนข้างเย็นชา โลกส่วนตัวสูง พูดง่ายๆ คือมีความควีนในตัว ส่วนพระเอก (ได้รับการอธิบายว่า...) เป็นตำรวจเลือดร้อน แต่เหลียงหย่วนเฟิงแตกต่างจากเจ้ามะเร็งชายแท้จากเรื่องอาชญากรรมรักฯ ตรงที่แค่ถูกบรรยายว่าในอดีตเคยเป็น เพราะช่วงเวลาเจ็ดปีที่ผ่านมาได้เปลี่ยนเขาไปมากจนซอฟต์ลง ผิดกับเหยียนเสียมะเร็งชายแท้ของเราที่ทำให้คนปวดหัวอยู่บ่อยๆ (5555)
ตัวเหลียงหย่วนเฟิงตัวติดกับเฉินจิ่นซีแทบจะตลอดเวลา ความรู้สึกที่มีให้เฉินจิ่นซีเราสามารถดูออกได้ว่ามีทั้งความสงสารและความรู้สึกผิดผสมปนเปกันไป อาจเพราะเขารู้ถึงพลังพิเศษของอีกฝ่ายและใช้พลังนั้นกับเรื่องของตัวเองหลายครั้งหลายคราในเจ็ดปีที่ผ่านมา ดังนั้นเหลียงหย่วนเฟิงจึงตั้งมั่นแล้วว่าไม่ว่าเฉินจิ่นซีจะไปที่ไหนเขาก็จะไปที่นั่น จะคอยอยู่ข้างๆ อีกฝ่าย ต่อให้อีกฝ่ายสั่งให้ไปตายเขาก็ยินดี
ใช่แล้ว อาการของคนคลั่งรักแต่ยังไม่รู้ตัวนั่นแหละ
เหลียงหย่วนเป็นคนที่จะเปลี่ยนไปเป็นอ่อนโยนเมื่ออยู่เฉินจิ่นซี อีกฝ่ายให้ทำอะไรก็ทำ ในขณะที่เฉินจิ่นซีดูภายนอกช่างสุภาพเรียบร้อย แต่เมื่ออยู่กับเหลียงหย่วนเฟิงเขาก็สามารถถลึงตาใส่อีกฝ่ายหรือปาหนังสือใส่ได้โดยที่อีกฝ่ายไม่โกรธด้วยซ้ำ
สำหรับโดยรวมเราถือว่าโอเค อ่านได้เรื่อยๆ เล่มขนาดมาตรฐานประมาณ 400 หน้า ไม่เน้นเรื่องมุกตลกขำขัน อยู่แบบกลางๆ ไม่ได้ดีที่สุด แต่ก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร นั่นเพราะว่าบางครั้งเราอ่านๆ ไปแล้วไม่ค่อยเข้าใจว่าพูดถึงอะไรกันแน่ แบบว่าต้องพยายามจดจ่อกับรูปประโยคเสียหน่อย หลายครั้งที่มีเสียงในหัวดังขึ้นมาว่า
"ฮะ? อะไรนะ?" อยู่บ้าง (มีพิมพ์ผิดพิมพ์สลับอยู่เหมือนกัน)
แล้วก็อีกเรื่องที่เราถือว่าเราไม่ชอบสำหรับหนังสือเล่มนี้คือวิธีการเล่าเรื่อง คือในครึ่งเล่มแรกจะชอบเล่าแบบนึกย้อนกลับ
"บ่อยมาก" เราเลยคิดว่าถ้าคนเขียนเขียนมากกว่าหนึ่งเล่ม แบบว่าดึงรายละเอียดออกมามากกว่านี้ มันน่าจะดีกว่า
คือคนเขียนมักจะเขียนเส้นเรื่องให้ดำเนินไปเรื่อยๆ แล้วตัดสลับไปถึงเรื่องในความคิดหรือเรื่องในอดีตของตัวละครอยู่บ่อยเกินไปจนเรารู้สึกว่ามันทำให้เสียอรรถรส ยกตัวอย่าง บรรยายให้ A มาเจอกับ B แล้วนึกไปถึงช่วงที่กินข้าวด้วยกันเมื่อเดือนที่แล้ว บรรยายช่วงนั้นแวบนึง แล้วก็ตัดกลับมาสถานการณ์ปัจจุบัน A พา B ไปเจอ C ทั้งสามคุยกันพักหนึ่ง แล้วบรรยายถึงเหตุการณ์ที่ C นึกถึงบทสนทนาที่ตัวเองกับ D คุยกันเรื่องที่ว่า B เคยทำอะไรมา อะไรทำนองนี้ เห็นมั้ย ขนาดอ่านที่เราเขียนยังงงเลย 5555
พูดง่ายๆ คือมันมีการตัดฉากย้อนไปอยู่หลายหน แน่นอนว่าการเขียนแบบนี้มันปกติอยู่แล้วล่ะ แต่อันนี้เราว่าบางซีนมันสามารถเล่าแบบไล่ไทม์ไลน์ไปได้ไม่จำเป็นต้องมายัดไปทีละส่วนแบบนี้ เพราะนี่ใส่มาเยอะและบ่อยเกินไป ในหนึ่งตอนมีตัดไปบรรยายเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้นแล้วหลายหนมาก จนทำให้บางครั้งเราสับสนว่าอันนี้เป็นไทม์ไลน์ปัจจุบันหรือกำลังพูดถึงอดีตกันแน่ เสียอรรถรสพอสมควร เพราะงั้นเลยรู้สึกว่าถ้าคนเขียนค่อยๆ เล่าไปทีละตอนแทนที่จะจับเหตุการณ์ตรงนั้นตรงนี้มายัดไปตามเส้นเรื่องแทบจะตลอดเวลามันน่าจะดีกว่า จำนวนหน้ากระดาษเพิ่มขึ้น แยกเล่มมาอีกหน่อย แต่ทำให้คนอ่านเข้าใจรายละเอียดและทำให้เรื่องมันคมกว่าเดิมไม่ดูรีบๆ ยัดๆ ให้จบๆ ไปอ่ะ
ถามว่าสนุกมั้ยก็คือสนุก พล็อตน่าสนใจ อ่านแล้วอยากรู้ว่าจะเป็นยังไงต่อ แต่ก็แอบมึนกับไทม์ไลน์นิดหน่อยอย่างที่บอก ตอนจบดูรีบๆ ไปหน่อย แถมเป็นตอนจบที่นักเขียนบอกเองว่า
เป็นตอนจบที่ (อาจนับว่า) ดี อีกต่างหาก
อันนี้ขอไม่พูดถึง บอกแค่ว่าพระนายได้อยู่ด้วยกัน แต่มีบางเรื่องที่ต้องจับมือกันก้าวข้ามไปเมื่อเวลานั้นมาถึง ส่วนตัวเราเสียดายนิดหน่อย แต่ปกสวยมากจนไม่รู้ว่าควรพูดว่าตัวเองชอบหรือไม่ชอบดี (เกลียดอ่ะ 5555) เพราะงั้นคงบอกได้แค่ว่ามันอยู่ที่ตัวคนอ่านค่ะ บางคนชอบบางคนไม่ชอบ เราแค่มาบอกเล่าความคิดเห็นในส่วนของเราให้ฟังเนอะ แต่ยืนยันว่าถ้าใครชอบอ่านแนวนี้ก็คิดว่าควรตำนะ
(ส่วนตัวคิดว่าใช้คำว่าพ่อมดแม่มดมันดูแฟนตาซีไม่เข้ากับความสามารถของตัวเอกในเรื่องเท่าไหร่ ถ้าเป็นคนทรง หมอผี อะไรพวกนี้น่าจะไหวกว่าปะ หรือไง? 5555)
เข้าสู่ระบบเพื่อแสดงความคิดเห็น
Log in